ความอดทนที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวของจิ้นหยวนหมดลง เขาเองก็ไม่คิดว่าจะได้คำตอบอะไรจากเธอตั้งแต่แรกแล้ว ถึงเธอจะไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรเสียหลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่
เขามองดูเธอเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ด้วยความรำคาญใจ ลุกขึ้นแล้วเอ่ย “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะให้คนคอยจับตาดูเธอเอาไว้ ห้ามเธอออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว ถ้ามีเหตุจำเป็นต้องออกไปข้างนอกจริงๆ ต้องมีคนติดตามไปด้วย”
เธอตัวสั่นงันงก ไม่คิดเลยว่าตัวเองไม่ยอมรับก็ต้องรับบทลงโทษด้วย “คุณมีสิทธิ์อะไรไม่ทราบ? ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย คุณจะโทษฉันทุกอย่างไม่ได้นะ”
จิ้นหยวนครางเสียงฮึ ก้าวเท้าเดินออกไป ที่เขาถามเธอก็เพื่อความแน่ใจเท่านั้น ไม่ได้หวังให้เธอยอมรับตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
หร่วนเซียงเซียงมองตามจิ้นหยวนที่เดินจากไปอย่างไม่แยแสเธอสักนิดแล้วร่างกายทรุดร่วงลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
จิ้นหยวนยืนคุยกับหลินจื้อเฉิงอยู่ตรงนอกประตู “ก่อนหน้านี้มีโครงการที่ตระกูลจิ้นสนใจ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว?”
หลินจื้อเฉิงชะงักอึ้งไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “ดูเหมือนจะไปได้ดีนะครับ พี่ใหญ่คิดจะ…”
จิ้นหยวนแหงนหน้ามองท้องนภา ท้องฟ้ายามนี้เป็นสีฟ้าสดใส ก้อนเมฆสีขาวราวปุยนุ่นลอยละล่องอย่างสบายอกสบายใจอยู่บนนั้น แตกต่างจากอารมณ์ของเขาในยามนี้อย่างสิ้นเชิง
เขาถอนหายใจเบาๆ “หาวิธีทำให้โครงการนี้ไปอยู่ในมือตระกูลฉี จะต้องทำให้โครงการนี้อยู่ในมือของคุณชายใหญ่ตระกูลฉีให้ได้ สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก เขาน่าจะสนใจ”
หลินจื้อเฉิงเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของจิ้นหยวนทันที เขาเหงื่อแตกพลั่ก พี่ใหญ่คิดจะทำให้ตระกูลหร่วนกับตระกูลฉีปะทะกัน โครงการนั้นเหมือนจะเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ แต่มีเพียงพี่น้องของพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าความจริงแล้วเนื้อชิ้นนั้นเป็นเนื้ออาบยาพิษต่างหาก
เขาพยักหน้ารับคำสั่ง เขาติดตามจิ้นหยวนมานาน ย่อมรู้ดีว่าเขาอยากทำลายตระกูลฉีให้ย่อยยับมากขนาดไหน แค่เรื่องที่เฉียวซือมู่หายตัวไปเกี่ยวข้องกับฉีหย่วนเหิงก็ทำให้จิ้นหยวนรู้สึกเกลียดตระกูลฉีมากแล้ว แต่ตระกูลฉียิ่งใหญ่มากเกินไปจนพวกเขาลงมือทันทีทันใดไม่ได้
แล้วตอนนี้ตระกูลหร่วนยังคิดทำเรื่องไม่หวังดีต่อจิ้นหยวนอีก ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยให้หมากัดกับหมาน่ะดีแล้ว สารเลวด้วยกันทั้งคู่
จิ้นหยวนแหงนมองท้องฟ้าเงียบๆ สักพักจึงเอ่ยขึ้น “นายไปเถอะ เดี๋ยวฉันกลับเอง”
หลินจื้อเฉิงถอนหายใจเล็กน้อย หมุนตัวแล้วเดินจากไป
เหลือไว้เพียงจิ้นหยวนที่ยังคงยืนหน้าเครียดอยู่ที่เดิม
หลังจากคริสเจอเฉียวซือมู่ทำงานล่วงเวลาโดยบังเอิญและส่งเธอกลับบ้าน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตการทำงานของเธอก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ เอลลี่ถูกเจ้านายเรียกตัวเข้าพบ หลังจากกลับออกมาแล้วสายตาของเอลลี่ที่มองเธอยังคงไม่เป็นมิตรเหมือนเดิม แต่เอลลี่ก็ไม่หาสารพัดเหตุผลทำให้เธอต้องทำงานล่วงเวลาเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม ตอนนี้เธอรู้สึกดีใจมาก เพราะในที่สุดเธอก็สามารถเลิกงานตรงเวลาเหมือนคนอื่นๆ แล้ว มันช่างดีอะไรอย่างนี้
วันหนึ่ง เธอเข้าไปส่งเอกสารให้เจ้านายที่ห้อง จึงตั้งใจถือโอกาสเอ่ยกับเขา “ขอบคุณนะคะ”
คริสชะงักมือเล็กน้อยจนทำให้เธอตกใจ แย่แล้ว อย่าบอกนะว่าเขาเป็นคนประเภทที่ไม่ชอบพูดเรื่องส่วนตัวในเวลางาน?
โชคดีที่เขาเงยหน้าขึ้นแล้วคลี่ยิ้มให้เธอ “ไม่ต้องเกรงใจ แค่ทางผ่านเท่านั้น”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นค่ะ ฉันหมายถึงในที่สุดฉันก็ไม่ต้องทำงานล่วงเวลาแล้วน่ะค่ะ” เธอเห็นว่าเขาไม่ได้แสดงความไม่พอใจ จึงส่งยิ้มกลับให้เขา
เขาส่ายศีรษะน้อยๆ “ถ้าคุณอยากขอบคุณผมจริงๆ ก็เลี้ยงข้าวผมสักมื้อสิครับ”
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะตอบแบบนี้ เธอชะงักอึ้งไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจ “ถ้าจะให้เลี้ยงข้าวล่ะก็ ฉันคงไปร้านดีๆ ไม่ไหวหรอกนะคะ”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเห็นเขาขับรถปอร์เช่ เธอก็ดูออกแล้วว่าเขาจะต้องเป็นคนที่เข้าออกแต่ร้านที่ดีที่สุดเท่านั้น และราคาคงแพงจนน่าตกใจแน่ๆ ดูจากสถานะทางการเงินในตอนนี้ของเธอแล้ว เธอคงเลี้ยงข้าวเขาไม่ไหวแน่ๆ
แต่เขากลับเอ่ยว่า “ผมหมายความว่า คุณเลี้ยงอาหารจีนผมได้หรือเปล่า? ที่บ้านคุณน่ะ”
“คุณหมายความว่าให้ฉันทำกับข้าวเลี้ยงคุณเหรอคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
“ก็ใช่นะสิ ผมเบื่ออาหารข้างนอกจะแย่อยู่แล้ว” เขาเอ่ยพลางหมุนปากกาในมือเล่นพลาง
“ถ้าอย่างนั้น… ก็ได้ค่ะ แต่ฉันขอบอกเอาไว้ก่อนนะคะ ฝีมือฉันไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ถึงเวลาอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกันนะคะ” แบบนี้ก็ดีนะสิ เธอแค่ซื้อวัตถุดิบสำหรับทำกับข้าวสามอย่างกับซุปอีกหนึ่งอย่าง แค่นี้ง่ายจะตาย ที่สำคัญ ประหยัดสุดๆ
คำตอบของเธอทำให้คริสยิ้มในตา ท่าทางเขาดีใจมาก “ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้ แล้วเจอกันคืนสุดสัปดาห์นี้นะครับ”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเขาก้มหน้าลงอ่านเอกสารต่อ เธอจึงค่อยๆ เดินออกจากห้อง
เธอหันกลับไปมองห้องทำงานของคริสที่อยู่ด้านหลังเพราะรู้สึกแปลกพิลึก ไม่ใช่มั้ง คนต่างชาติชอบอาหารจีนมากเลยเหรอ? แต่ทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงได้ยินว่ามีคนไม่ชอบล่ะ?
ช่างมันเถอะ ถึงเวลาเธอก็แค่จ่ายตลาดแล้วทำอาหารง่ายๆ ไม่กี่อย่างก็พอ
เธอส่ายศีรษะพลางหมุนตัวเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง ทันใดนั้น เธอเห็นเอลลี่ยืนอยู่ข้างหน้า ใบหน้าแข็งกระด้างดูแข็งทื่อมากกว่าเดิม ความดูถูกเหยียดหยามแทบจะพุ่งออกมาจากดวงตาสีฟ้าคู่นั้น
เธอแอบสงสัยว่าตัวเองไปล่วงเกินอะไรเธอเข้าอีกหรือเปล่า? ทำไมต้องทำหน้าเหมือนแม่เลี้ยงใจร้ายแบบนั้นด้วย?
เธอไม่เข้าใจเลย และไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองไปทำอะไรให้เอลลี่ไม่พอใจ เอลลี่ถึงได้เห็นเธอขัดหูขัดตาไปหมดแบบนี้
เจนนี่กลับเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “เฉียว เธอคุยอะไรกับเจ้านายเหรอ?”
“แค่เข้าไปส่งเอกสารแล้วเจ้านายถามเรื่องงานอีกนิดหน่อยน่ะ” เธอไม่อยากคุยโวโอ้อวด ถ้าเกิดเธอบอกว่าเจ้านายจะไปกินข้าวที่บ้านเธอ เดี๋ยวจะกลายเป็นหัวข้อให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์เสียเปล่าๆ เธอจึงเลือกที่จะไม่พูดถึงมันดีกว่า
แต่ดูเหมือนคำโกหกของเธอจะหลอกเจนนี่ไม่ได้ เจนนี่ย่นจมูกอย่างไม่เชื่อ “โกหก เมื่อกี้เจ้านายยิ้มให้เธออ่อนโยนมาก หรือว่าเขาจะชอบเธอ?”
เฉียวซือมู่ตกใจ “นี่เธอพูดเหลวไหลอะไรกัน?” แต่น่าแปลก ทำไมเจนนี่ถึงรู้ว่าเจ้านายยิ้มให้เธอล่ะ? เธอหมุนตัวหันกลับไปมองถึงได้รู้ว่าห้องทำงานของคริสมีหน้าต่างกระจกใสบานใหญ่ และจากบริเวณโต๊ะทำงานของพวกเธอ สามารถมองเห็นคริสกำลังนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ
เธอได้แต่แอบกลอกตาอยู่ในใจ เพิ่งรู้ว่าทำไมเจนนี่ถึงพูดแบบนั้น เธอคงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในนั้นหมดแล้ว
เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ที่เอลลี่ทำหน้าน่ากลัวขนาดนั้นก็เป็นเพราะเหตุนี้เหมือนกัน? หรือว่าเธอชอบคริส?
ความคิดของเธอบรรเจิดในฉับพลัน เจนนี่ดึงแขนเสื้อเธอเบาๆ “เฉียว เธอกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”
เธอดึงสติกลับมาแล้วยิ้มเก้อๆ “เปล่า ฉันแค่กำลังคิดว่า เอลลี่ก็อายุไม่น้อยแล้ว ไม่รู้ว่าเธอแต่งงานหรือยัง?”
เจนนี่ที่เป็นพนักงานเก่ารีบเอ่ยตอบทันที “ก็ยังไม่แต่งนะสิ เธอก็ดูสิ วันๆ ทำหน้าเย็นอย่างกับน้ำแข็งแบบนั้น ดูก็รู้แล้วว่าต้องไม่มีผู้ชายคอยให้ความชุ่มชื่นแน่ๆ”