เจนนี่เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน เธอหันกลับไปมองเห็นเฉียวซือมู่ทำหน้าแปลกๆ จึงชะงักเล็กน้อย “ทำไมถึงมองฉันแบบนั้นล่ะ?”
เฉียวซือมู่หน้าแข็งทื่อ หัวเราะฮาๆ อย่างเก้อๆ “ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกว่าคำพูดเธอฟังดูแปลกๆ”
คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวอย่างเจนนี่เวลานินทาคนอื่นลับหลังจะพูดจาได้โหดร้ายขนาดนี้ ท่าทางปกติเอลลี่จะไม่เป็นที่รักของคนอื่นจริงๆ
“แปลกตรงไหนเหรอ? เจนนี่คิดๆ แล้วรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้พูดผิดตรงไหนนี่นา เธอส่ายศีรษะน้อยๆ รู้สึกคนตะวันออกนี่แปลกๆ
แต่นี่ไม่สำคัญ เพราะเธอยังไม่ได้คำตอบที่สำคัญที่สุดจากเฉียวซือมู่เลย เธอยิ้มตาหยีแล้วโยนเรื่องของเอลลี่เอาไว้ข้างหลัง “เฉียว บอกฉันมาตามตรง คริสสนใจเธอใช่ไหม ฉันทำงานที่นี่เป็นปีแล้ว เห็นเขายิ้มแค่ไม่กี่ครั้งเอง ชูมือขึ้นมาทั้งสองข้างยังนับไม่ครบนิ้วเลย”
เฉียวซือมู่ขึงตาใส่เธอ “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก บางทีอาจจะเป็นเพราะวันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษก็ได้” เอ่ยจบแล้วหันไปมองข้างหลังตัวเองเล็กน้อย “เอลลี่กำลังมองเราอยู่แน่ะ”
“จริงเหรอ?” เจนนี่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเอลลี่กำลังจ้องมาที่เธอสองคนหน้าเข้มจริงๆ เธอจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก รีบก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อทันที
เฉียวซือมู่ถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดก็สลัดสาวขี้บ่นขี้สงสัยออกไปได้เสียที
เอลลี่ก็มีประโยชน์เหมือนกันแฮะ
หลายวันผ่านไป เจนนี่ยังคงคอยถามเธอเรื่องนี้ไม่หยุด เธอได้แต่บ่ายเบี่ยง จนในที่สุดเจนนี่ก็ต้องยกธงขาวยอมแพ้อย่างเสียไม่ได้
ในที่สุดก็ถึงสุดสัปดาห์อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะคริสแท้ๆ ตอนนี้เธอถึงสามารถเลิกงานตรงเวลาเหมือนคนอื่นๆ แม้เธอจะถูกเอลลี่จับตามองอยู่บ่อยๆ แต่เธอเรียนรู้ที่จะไม่สนใจเธอ ขอแค่เธอตั้งใจทำงาน เธอก็ไม่สามารถเล่นงานเธอได้อีก
หลังเลิกงานเธอแวะไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ขายสินค้าเอเชียที่อยู่ใกล้บ้านเธอที่สุด จากนั้นนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน ความจริงเธออยากนั่งรถไฟฟ้าที่ราคาถูกกว่ามากกว่า แต่เมื่อเห็นว่าตัวเองต้องหิ้วของพะรุงพะรังจึงต้องตัดใจนั่งรถแท็กซี่แทน
หลังจากกลับถึงบ้าน เธอเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเยอะ จึงค่อยๆ เตรียมวัตถุดิบอย่างไม่รีบร้อน อะไรที่ควรจัดการก่อนก็จัดการก่อน ทั้งล้างทั้งหั่น กระทั่งเตรียมทุกอย่างจนครบถ้วน เธอจึงดูเวลาอีกครั้งแล้วลงมือหุงขาว จากนั้นเปิดคอมพิวเตอร์แล้วอ่านข่าวอย่างสบายอารมณ์
เสียงกริ่งประตูดังขึ้นหลังจากเธออ่านข่าวไปได้หลายข่าว เธอกะพริบตาปริบๆ อืม… เป็นคนตรงเวลาจริงๆ
เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู เห็นชายหนุ่มสวมชุดไปรเวทสีเทายืนอยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้าผุดรอยยิ้มทรงเสน่ห์ ดวงตาสีเขียวเป็นประกายวิบวับ ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลเป็นพิเศษ
เธอพยายามบังคับไม่ให้หัวใจเต้นแรง ส่งรอยยิ้มให้เขา “เชิญค่ะ”
คริสถือไวน์แดงเดินยิ้มเข้ามาในบ้าน เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในห้องเล็กๆ ห้องนี้ทันที แม้บนโซฟาจะมีหมอนอิงวางกระจัดกระจายและไม่เป็นระเบียบ แต่มันกลับดูมีชีวิตชีวามาก เทียบกับบ้านของเขาที่หน้าตาเหมือนบ้านตัวอย่างไม่มีผิดแล้ว ที่นี่ดูสบายและน่าอยู่กว่าเยอะเลย
ผู้มาเยือนล้วนเป็นแขก ถึงเสน่ห์ร้ายรายของเขาจะทำให้เธอเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ แต่เธอก็ยังไม่ลืมว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน เธอก้มตัวลงเปิดตู้เย็นใบเล็กแล้วหยิบเครื่องดื่มออกมาหนึ่งขวด “ขอโทษนะคะ ในบ้านมีอยู่แค่นี้ พอจะดื่มได้ไหมคะ?”
เธอชอบดื่มน้ำผลไม้ จึงมักจะตุนน้ำผลไม้เอาไว้เสมอ
คริสเลิกคิ้วเล็กน้อย “ได้ครับ”
เขาเอ่ยพลางวางขวดไวน์แดงในมือลงบนโต๊ะเบาๆ ขวดไวน์ดีไซน์เรียบหรูดึงดูดสายตาเธอทันที
“ขวดนี้น่าจะไม่ธรรมดานะคะ” เธอหยิบมันขึ้นมาพินิจพิจารณาอย่างละเอียดแล้วคลี่ยิ้มให้เขา “ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ถึงจะแพงยังไงมันก็เป็นแค่ไวน์ขวดเดียวเท่านั้น…” เขาเอ่ยจบแล้วชะงักเล็กน้อย ราวกับว่าอยากจะพูดอะไรอีกแต่กลับไม่ได้พูดมันออกมา
เธอแสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทีของเขา จากนั้นวางขวดไวน์แดงในมือลงบนโต๊ะเหมือนเดิม “ฉันขอตัวเข้าไปทำอาหารในห้องครัวก่อนนะคะ ถ้าคุณเบื่อๆ ก็อ่านหนังสือบนโต๊ะได้นะคะ” เธอเอ่ยพลางชี้นิ้วไปยังโต๊ะหนังสือที่ตั้งอยู่มุมหนึ่ง บนโต๊ะมีหนังสือลดราคาที่เธอเพิ่งซื้อมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
“ครับ” เขามองจนเธอหายเข้าไปในห้องครัวแล้วจึงลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะหนังสือที่เธอบอก เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นว่าหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะมีแต่หนังสือเฉพาะทางน่าเบื่อทั้งนั้น
ผู้หญิงที่เขารู้จักก่อนหน้านี้มีแต่ประเภทที่ชอบแต่งตัวหรือไม่ก็ชอบพูดคุยเรื่องแฟชั่นเสื้อผ้าคอเลคชั่นล่าสุด ราวกับว่าความหมายในชีวิตของพวกเธอก็คือเสื้อผ้าหรูหราพวกนั้น แต่หญิงสาวคนนี้กลับแตกต่างจากพวกเธออย่างสิ้นเชิง
มันให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่มาก เขาหรี่ตาแคบ หวนนึกถึงใบหน้าด้านข้างที่งดงามของเธอยามจดจ่อกับงานตรงหน้า พลันอุณหภูมิหัวใจเพิ่งสูงขึ้นเล็กน้อย
เขาวางหนังสือลง หันมองไปทางห้องครัว กลิ่นหอมฉุยของอาหารที่ไม่คุ้นเคยลอยออกมาจากในนั้น
เมื่อก่อนเขาก็เคยกินอาหารจีน และยังเป็นอาหารจีนที่ปรุงโดยเชฟมีชื่ออีกต่างหาก แต่เขารู้สึกว่ารสชาติก็งั้นๆ มาเวลานี้ กลิ่นหอมที่เขาเพิ่งได้กลิ่นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กลิ่นหอมนี้ช่างยั่วใจเหลือเกิน
เขาเดินตามกลิ่นหอมเข้าไปในห้องครัวอย่างอดใจไม่ไหว จากนั้นหยุดยืนอยู่ข้างหลังเฉียวซือมู่ที่กำลังง่วนอยู่กับการปรุงอาหารอย่างเงียบๆ จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น “คุณกำลังทำอะไรน่ะ?”
เฉียวซือมู่ไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังตัวเอง พอเขาพูดขึ้นมาเธอจึงตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปเห็นว่าเป็นคริสเธอจึงตบอกตัวเองเบาๆ เพราะความตกใจ “ตกใจหมดเลย ฉันกำลังทำเนื้อหมูผัดเปรี้ยวหวานอยู่ค่ะ รสชาติออกเปรี้ยวๆ หวานๆ ฉันคิดว่าคุณน่าจะชอบ”
ดูเหมือนอาหารที่มีรสเปรี้ยวหวานจะได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติไม่น้อย และยังทำง่ายมากอีกด้วย ตอนที่เธอคิดว่าจะทำเมนูอะไรดีนั้น เธอจึงนึกถึงเมนูนี้ขึ้นมาเป็นอันดับแรก
ส่วนอาหารอีกสองอย่างเธอก็พยายามเลือกเมนูที่น่าจะถูกปากพวกเขาเป็นหลัก
“กลิ่นหอมมาก น่าจะอร่อยมาก” มีนักกินอยู่ทั่วจริงๆ ด้วย กลิ่นหอมอมเปรี้ยวหวานเตะจมูกขนาดนี้ แม้แต่คริสที่ปกติเป็นคนสุขุมเยือกเย็นยังอดใจไม่ไหวจนดวงตาสีเขียวเปล่งประกายวูบวาบ
เธอหันไปเห็นแววตาของเขาแล้วต้องรีบหันหน้ากลับทันที ดวงตาของเขามีพิษ มองนานๆ อาจจะตกหลุมพิษได้
ในที่สุดกับข้าวสี่อย่างกับน้ำซุปอีกหนึ่งอย่างก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ คริสชอบเนื้อหมูผัดเปรี้ยวหวานมากเป็นพิเศษจนแทบจะไม่ค่อยได้ดื่มไวน์แดงที่ตัวเองหิ้วมาด้วย
แต่ในสายตาของเฉียวซือมู่ เธอรู้สึกว่าการรับประทานอาหารจีนคู่กับไวน์แดงนั้นเป็นเรื่องที่ประหลาดไปหน่อย
ในที่สุด อาหารเต็มโต๊ะก็ถูกคริสกินจนเกลี้ยงจาน อีกนิดเดียวก็แทบจะเลียจานอยู่แล้ว ไม่สิ ต้องบอกว่าเขากินเกลี้ยงจนจานสะอาดยิ่งกว่าเลียจานเสียอีก เธอตกตะลึงพรึงเพริด ชาวต่างชาติกินเก่งขนาดนี้เลยเหรอ?
หลังรับปประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย คริสหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ดปากเบาๆ อย่างสง่างาม เขาเงยหน้าขึ้นพลันเห็นเธอกำลังมองเขาอย่างตกตะลึง เขาหน้าแดงเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก “คุณทำอาหารจีนได้อร่อยมาก อร่อยกว่าร้านอาหารจีนในไชน่าทาวน์เสียอีก”
เธอพยักหน้าอย่างเฉยชา ความจริงฝีมือเธอยังห่างไกลจากเชฟตั้งเยอะ แต่ไม่รู้เพราะอะไร เมื่อก่อนจิ้นหยวนก็ชอบกินอาหารฝีมือเธอมากเหมือนกัน แต่ภายหลังเขากลัวว่าเธอจะเหนื่อยมากเกินไป จึงไม่ยอมให้เธอเข้าครัวอีก