เสียงเย็นชาของจิ้นหยวนเอ่ยขึ้น “ถ้าฉันไม่ปล่อยล่ะ?” เขาพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษาไม่มีผิด ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงที่คุ้นเคย เฉียวซือมู่อาจจะคิดว่าคนพูดเป็นชาวต่างชาติจริงๆ
คริสเข้าใจว่าจิ้นหยวนเป็นคนร้ายหวังชิงทรัพย์ จึงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจอีกต่อไป “ฉันขอเตือนเลยนะ รีบปล่อยสุภาพสตรีท่านนี้เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นนายจะรับผิดชอบผลที่จะเกิดขึ้นไม่ไหว”
“เหรอ?” จิ้นหยวนไม่สนใจคำข่มขู่ของเขาแม้แต่น้อย เขาหรี่ตาแคบ โอบกอดเฉียวซือมู่กับอกแน่นขึ้นอย่างท้าทาย “ตอนนี้ฉันไม่อยากปล่อย แล้วนายจะทำยังไง?”
เธอได้แต่กู่ร้องในใจ เข้าใจความคิดของจิ้นหยวนแล้ว
ผู้ชายคนนี้หึงจนหน้ามืดขึ้นมาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น
คริสมองอย่างไม่เป็นมิตร “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
เอ่ยจบพลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างล่าง ชายฉกรรจ์สวมชุดดำยกโขยงกันวิ่งขึ้นมาชั้นบน
เฉียวซือมู่หน้าซีดเผือดในบัดดล ให้ตายสิ นี่เธอลืมตัวตนอีกสถานะของคริสไปได้อย่างไรกัน? เขายังเป็นมาเฟียด้วยนี่!
นี่เธอปล่อยให้จิ้นหยวนไปท้าทายคริสได้อย่างไร? ทำไมเธอถึงลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ไปได้?
จิ้นหยวนกอดเธอแน่นขึ้น เธอหันไปมองเขาแวบหนึ่ง สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม เธอได้แต่แอบนับถือเขาอยู่ในใจ เรื่องดำเนินมาไกลขนาดนี้ เธอไม่เปิดปากพูดอะไรสักหน่อยคงไม่ได้แล้ว
เธอกระแอมเบาๆ และกำลังจะอ้าปากพูด แต่จิ้นหยวนที่ตัวติดอยู่ข้างหลังเธอกลับชิงเดินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “คิดว่าคนเยอะกว่าแล้วจะแน่กว่าหรือไง แน่จริงก็มาสู้กันตัวต่อตัวสิ ว่ายังไง?”
“ขอแค่ปล่อยเธอ นายอยากทำอะไรยังไงก็ได้” คริสเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ พลางจ้องเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ
“ดี” จิ้นหยวนเอ่ยจบแล้วปล่อยเฉียวซือมู่อย่างที่พูดจริง เขาก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ร่างกายสูงใหญ่ยืนจังก้าต่อหน้าคริส “ตัวต่อตัว บอกให้คนพวกนั้นถอยไป”
ตอนนี้คริสชักรู้สึกทะแม่งๆ เหมือนมีอะไรสักอย่างผิดปกติ แต่เขาไม่มีเวลาสนใจอะไรมากมายนัก เขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณ กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขายกมือขึ้นทันที ในมือถืออาวุธที่เป็นกระบอกสีดำเล็งไปที่จิ้นหยวน
เฉียวซือมู่ตกใจ ม่านตาของจิ้นหยวนหดลีบลงเล็กน้อย ไอความเย็นยะเยือกแผ่กระจายรอบกาย “นี่นายไม่คิดจะรักษาคำพูดใช่ไหม?”
คริสส่ายศีรษะเล็กน้อยพลางยิ้มเยาะ “ทำไมต้องรักษาคำพูดกับพวกหัวขโมยด้วย เตรียมตัวไปรับกรรมในคุกเถอะ”
เขาเอ่ยจบแล้วหันไปมองเฉียวซือมู่ ใบหน้าที่เคยเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันที เขายื่นมือออกไปให้เธอ “มาเถอะ เฉียว มาหาผม”
“ไม่ค่ะ” เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะดิกๆ “คริส คุณเข้าใจผิดแล้ว เขาไม่ใช่หัวขโมย เขาเป็น… เป็นเพื่อนฉัน คุณรีบสั่งให้คนพวกนั้นเก็บปืนเถอะค่ะ”
คริสหรี่ตาแคบลง จ้องมองเธอนิ่ง สักพักจึงคลี่ยิ้มพลางเอ่ย “นี่คุณไม่เชื่อใจผมเลยเหรอ? ผมควบคุมเขาเอาไว้ได้แล้ว ตอนนี้เขาทำร้ายคุณไม่ได้แล้ว ทำไมคุณถึงยังโกหกเพื่อช่วยเขาอีก? มาหาผมเดี๋ยวนี้!”
เฉียวซือมู่ร้อนใจ “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ฉันพูดความจริง เขาไม่ใช่หัวขโมย…”
“ดื้อจริงๆ เลย…” คริสเดินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวหวังดึงตัวเธอให้ไปหาตัวเอง แต่กลับถูกจิ้นหยวนขวางเอาไว้ “หลีกไป!”
คริสคิดไม่ถึงว่าเขาถูกปืนหลายกระบอกเล็งศีรษะเอาไว้ยังกล้าดีขนาดนี้ จึงมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอกนะ แต่ตอนนี้ ฉันเริ่มจะเชื่อคำพูดเธอซะแล้วสิ”
“ฉันพูดจริงนะ ไม่ได้หลอกคุณ เขาเป็นเพื่อนฉันจริงๆ คุณสั่งให้พวกเขาเอาปืนลงเถอะค่ะ!” เธอร้อนใจดั่งไฟลน เธอโตจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยพบเคยเจอเหตุการณ์น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นห่วงจิ้นหยวน ป่านนี้เธอคงเป็นลมหมดสติไปนานแล้ว
คริสไม่ฟังเธอสักนิด เขาลูบคางเกลี้ยงเกลาของตัวเองเล่นเบาๆ สายตาจับจ้องจิ้นหยวนนิ่ง “ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจนายผิดไปจริงๆ ด้วย แต่ว่า ตอนนี้ฉันเห็นนายขัดลูกตาจนอยากจะยิงสมองนายให้กระจุยไปเลย ทำไงดีล่ะ?”
เขาเอ่ยจบพลันได้ยินเสียงสูดหายใจอย่างแรง และเสียงนั้นมาจากเฉียวซือมู่
ทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้? เธอทำผิดอะไรตรงไหนหรือเปล่า? เธอยืนหน้าเหยเกอยู่ท่ามกลางชายหนุ่มสองคนที่กำลังคุมเชิงกันอยู่ ได้แต่เอ่ยขึ้นอย่างหมดแรง “พวกคุณอย่าทำอย่างนี้ได้ไหม คริส ขอร้องล่ะ ช่วยวางปืนลงก่อนได้ไหมคะ”
จิ้นหยวนก้มลงมองเธอแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยของเธอ หัวใจที่ถูกเธอทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสค่อยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง เขายิ้มให้เธอพลางเอ่ย “ผมไม่เป็นไร คุณวางใจเถอะ”
“อะไรนะคะ?” เธอยังคิดไม่ทัน จึงได้แต่มองเขาด้วยความงุนงง
จิ้นหยวนมองริมฝีปากแดงระเรื่อที่อ้าน้อยๆ สีหน้าเหลอหลาดูน่ารักมาก เขาฝังจุมพิตลงบนริมฝีปากเธอเบาๆ อย่างห้ามใจไม่ไหว “คนดี ผมไม่เป็นอะไรหรอก”
“โอ๊ะ? ฉันอยากรู้เหมือนกันว่านายจะมีทีเด็ดอะไรบ้าง? ดวงตาคริสลุกเป็นไฟยามเห็นปฏิสัมพันธ์ของทั้งสอง เขาจ้องจิ้นหยวนอย่างเอาเรื่อง
จิ้นหยวนหันกลับไปมองเขาด้วยสายตาเย็นเยือก “เดี๋ยวนายก็รู้เอง”
เขาเอ่ยจบพลันได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่วิ่งขึ้นบันได เพียงชั่วพริบตา ชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ก็ปรากฏกายขึ้น
ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นถือปืนในมือ ท่าทางดุดันโหดร้ายและน่ากลัว คริสและลูกน้องของเขาตกอยู่ในวงล้อมของพวกเขาทันที
คริสหน้าถอดสี จ้องจิ้นหยวนตาเขม็ง “นายเป็นใครกันแน่?”
ทำไมชายหนุ่มชาวตะวันออกถึงมีลูกน้องเยอะแยะมากมายขนาดนี้?
จิ้นหยวนยิ้มเยาะ “นายไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มที่สอง เขาเดินเข้าไปหาจิ้นหยวนแล้วเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม “พี่ใหญ่ คนของเราพร้อมแล้ว พี่ใหญ่สั่งมาได้เลยครับ”
เอ่ยจบแล้วหันไปทักทายเฉียวซือมู่ “คุณเฉียว”
เฉียวซือมู่จำได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในพี่น้องของจิ้นหยวนที่ชื่อโอวหยางตวน เธอเคยเจอเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นเธอก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลย เป็นเพราะเขาอยู่ต่างประเทศตลอดอย่างนั้นเหรอ?
เฉียวซือมู่ที่ยังรับไม่ทันกับเหตุการณ์หักมุมได้แต่พยักหน้าหงึกหงักอย่างงงๆ “สวัสดี”
โอวหยางตวนยิ้มบางๆ ยืนตัวตรงแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “วางใจเถอะครับ ถึงคนที่ชื่อคริสคนนี้จะเก่งใช้ได้ แต่ใช่ว่าจะเหลือบ่ากว่าแรงของเรา”
คริสจำโอวหยางตวนได้ เขากัดฟันกรอด “โอวหยาง ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?”
ตอนนี้คริสกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขายกมือเป็นสัญญาณให้ลูกน้องถอยทันที จากนั้นหันไปเอ่ยกับเฉียวซือมู่ “คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะมีเพื่อนแบบนี้ด้วย” เขาชำเลืองมองจิ้นหยวนแวบหนึ่งขณะที่เอ่ยคำว่าเพื่อนออกมา เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขานั้นไม่ธรรมดา “ถ้าอย่างนั้น ผมคงไม่รบกวนเวลาของพวกคุณแล้ว”
เอ่ยจบแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันที ดูเหมือนโอวหยางตวนจะไม่ถูกกับเขาสักเท่าไหร่ เมื่อเห็นเขาเดินออกจากห้องจึงก้าวเข้าไปขวางทางเอาไว้ แต่ถูกจิ้นหยวนห้ามเอาไว้เสียก่อน “น้องหก ปล่อยเขาไป”
โอวหยางตวนชะงักอึ้งไปชั่วครู่ ได้แต่มองดูคริสเดินจากไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย