“พี่ใหญ่ ทำไม่พี่ถึง…” โอวหยางตวนเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
จิ้นหยวนหลุบตาลงมองเฉียวซือมู่ “กลับไปกับผม!”
ไม่ใช่คำถามความสมัครใจ หากแต่เป็นคำบอกกล่าวให้เธอรู้ถึงการตัดสินใจอันแน่วแน่ของเขา เอ่ยจบพลางยื่นมือออกไปจับมือเธอ เธอรีบก้าวเท้าถอยหนีหนึ่งก้าวพลางไพล่มือซ่อนไว้ด้านหลัง “ฉันไม่กลับ!”
ดวงตาของจิ้นหยวนเย็นเยือกในบัดดล มันเย็นยะเยือกจนเธอสั่นสะท้าน เขาเอ่ยขึ้นเสียงเย็นเยียบ “คุณจะคบกับผู้ชายคนนั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่!” เธอปฏิเสธทันควัน “เหตุผลของฉันมีแค่เรื่องเดียว ไม่มีเรื่องอื่นอีก ถ้าคุณไม่เชื่อก็ตามใจ” เอ่ยจบแล้วก้าวเท้าถอยหนีอีกหลายก้าว หวังจะฉวยโอกาสปิดประตู แต่จิ้นหยวนไม่มีทางให้เธอทำสำเร็จ เขารีบดันประตูเอาไว้ “ผมไม่เชื่อ” แววตาดุดันของเขาจ้องเธอเขม็ง “พิสูจน์สิ”
“จะให้พิสูจน์ยังไง? กลับไปกับคุณอย่างนั้นเหรอ?” เขายังคงจับจ้องเธอนิ่ง เธอหัวเราะออกมา “จิ้นหยวน คุณรู้จักคำว่าให้เกียรติกันหรือเปล่า? ฉันบอกเรื่องที่ฉันกังวลตั้งกี่ครั้งแล้ว ทำไมคุณถึงไม่ยอมเข้าใจสักที?”
การต้องเผชิญหน้ากับคนก่อกวนไม่เลิกอย่างเขา ต่อให้เธอนิสัยดีมากแค่ไหนก็ต้องทนไม่ไหวกันบ้างล่ะ
จิ้นหยวนอยากจะพูดอะไรอีก แต่เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน เขามุ่นหัวคิ้วดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือแวบหนึ่ง จากนั้นหันไปเอ่ยกับโอวหยางตวน “ดูเธอเอาไว้”
จากนั้นปลีกตัวออกไปรับสายอีกทาง
เธอถอนหายใจโล่งอกไปเปราะหนึ่ง ใครกันหนอที่ใจดีช่วยเธอเอาไว้ทัน
เธอนึกขึ้นมาได้ทันทีว่าต้องรีบปิดประตูเป็นการด่วน ทันใดนั้น โอวหยางตวนปราดเข้าไปขวางตรงหน้าเธอเอาไว้ “คุณเฉียว ขอโทษครับ ตอนนี้คุณยังปิดประตูไม่ได้”
“นาย…” เฉียวซือมู่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดตรงๆ แบบนี้ จึงได้แต่ถลึงตาใส่เขาเพราะไม่ได้ดั่งใจ
โอวหยางตวนหลุบตาลง ทำราวกับมองไม่เห็นสายตาไม่พอใจของเธอ
บรรยากาศระหว่างทั้งสองอึดอัดขึ้นมาทันที
ใบหน้าเธอเรียบเฉย แต่ในใจกลับร้อนเป็นไฟ ท่าทางจิ้นหยวนจะต้องพาเธอกลับไปให้ได้ แล้วตอนนี้เธอจะหนีเขาอย่างไรดี?
เธอกัดริมฝีปากล่างแน่น คิดหาสารพัดวิธีภายในเวลาไม่กี่นาที แต่ละวิธีก็ใช้ไม่ได้สักอย่าง ขณะที่เธอกำลังร้อนใจว่าจะทำอย่างไรดีอยู่นั้น จิ้นหยวนก็เดินกลับมาพอดี
เธอสังเกตเห็นว่าแววตาของเขามีแววบางอย่างเพิ่มเข้ามา เหมือนความผิดหวัง เหมือนความเสียใจ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
เธอมองเขาหน้าตาเหลอหลา จู่ๆ เขาก็ยื่นมือออกมาลูบผมยาวสลวยของเธอเบาๆ พลางเอ่ยเสียงขรึม “วันนี้ผมจะปล่อยคุณไปก่อน ผมต้องไปแล้ว”
เอ่ยจบแล้วยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้โอวหยางตวน พวกเขารีบถอยออกไปอย่างเงียบเชียบทันที
เฉียวซือมู่แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “คุณ… คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ?” พระเจ้า คงไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอกใช่ไหม
แววตาของจิ้นหยวนแปลกไป “คุณไม่อยากกลับไปกับผมไม่ใช่เหรอ คุณชนะแล้ว” เอ่ยจบแล้วก้าวเท้าถอยหลังหนึ่งก้าว เขามองเธอนิ่ง “ผมจะกลับมาอีก คราวหน้าคุณจะไม่มีทางปฏิเสธผมได้ง่ายๆ อย่างวันนี้อีก มู่มู่”
เขางึมงำชื่อเธออยู่ในปาก เสียงของเขาแหบพร่าหากแต่จับใจ เธอหน้าแดงซ่าน ความคิดเกือบจะหลุดลอยไปถึงเรื่องน่าอายที่ไม่ควรคิด
หลังจากเอ่ยจบแล้วจิ้นหยวนก็หมุนตัวอย่างเด็ดเดี่ยว เดินก้าวยาวๆ จากไปทันที
ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้? เขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะพาเธอกลับไปด้วยไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงยอมปล่อยมือง่ายดายแบบนี้ล่ะ? หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์ที่เขาเพิ่งรับสายเมื่อครู่นี้?
ในสมองเธอเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่น่าเสียดาย คนที่สามารถให้คำตอบเธอจากไปเสียแล้ว
เสี้ยววินาทีนั้น ภาพแห่งความสุขที่เธอและเขาเคยใช้ชีวิตร่วมกันผุดขึ้นตรงหน้าเธอเป็นฉากๆ เธออยากจะพุ่งออกไปตะโกนเรียกเขาเอาไว้ แล้วบอกกับเขาว่าเธอยินดีกลับไปกับเขา แต่สติสัมปชัญญะยับยั้งเธอเอาไว้เสียก่อน
เธอกำมือแน่น ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเธอกำมือแน่นจนเล็บจิกเนื้อตัวเอง
บรรยากาศในห้องกลับมาสงบอีกครั้งจนเธอรู้สึกหวาดหวั่น เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ค่อยๆ ปิดประตูลง
วันนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายจนเธอมึนงงไปหมด จนแทบไม่รู้เหนือใต้ออกตกแล้ว
เธอยืนเหม่อลอย เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอกดรับสาย “เฉียว คุณเป็นยังไงบ้าง?”
คริสเป็นคนโทรมา ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าจิ้นหยวนกลับไปแล้ว
ตอนนี้เธอมีความในใจอัดแน่นอยู่เต็มอก จึงเอ่ยตอบเสียงเบา “ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่ยังงงๆ นิดหน่อย”
“ผมขอโทษ เป็นเพราะผมหุนหันพลันแล่นเกินไปแท้ๆ “ เธอคิดไม่ถึงว่าคริสจะเป็นฝ่ายเอ่ยขอโทษก่อน
เธอรีบเอ่ยตอบทันควัน “ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณสักนิด คุณแค่บังเอิญมาเจอเข้าพอดีก็เท่านั้นเอง” ใครจะไปรู้ว่าแค่เธอไม่ได้รับสายโทรศัพท์แล้วคริสจะบุกมาหาเธอถึงที่บ้าน และเธอก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าคริสจะจินตนาการไปไกลจนเข้าใจผิดคิดว่าจิ้นหยวนเป็นหัวขโมย
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นพร้อมกันอย่างประจวบเหมาะพอดิบพอดี แถมเรื่องราวยังหักมุมอย่างกับละครน้ำเน่าหลังสองทุ่มอีกต่างหาก ทำเอาเธอมึนงงจนถึงตอนนี้
จะว่าไปแล้ว คริสคือคนที่ได้รับความกระทบกระเทือนมากที่สุดต่างหาก ให้ตายเขาก็คิดไม่ถึงว่าชายชาวตะวันออกคนนั้นจะมีลูกน้องมากมายอยู่ในมิลาน แถมยังปรากฎกายอย่างทันท่วงทีอีกต่างหาก ดูเหมือนเขาจะดูถูกชายคนนั้นมากเกินไปเสียแล้ว
แต่ว่า ต่อให้เขาเก่งกาจมากแค่ไหนแล้วอย่างไรล่ะ? ตอนนี้เขาก็ต้องจากไปแต่โดยดีไม่ใช่หรือ?
เขายิ้มบางๆ พลางเอ่ยกับเฉียวซือมู่ “คุณตกใจมากขนาดนี้ ต้องพักผ่อนเยอะๆ นะครับ พรุ่งนี้ค่อยกลับไปทำงานก็ได้”
“ค่ะ” เธอตอบรับความหวังดีของเขา เธอลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะวางสายลง “คริส…”
“ว่าไงครับ?”
“ความจริงฉันโกหกคุณ เมื่อวานที่ฉันขอลางานก็เพราะเจอเขานี่แหละค่ะ” แม้นี่จะเป็นเรื่องเล็ก แต่เธอรู้สึกว่าถ้าไม่ได้อธิบายให้เข้าใจ เธอคงไม่สบายใจแน่
คริสกลับหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไรครับ ผมรู้เรื่องนี้แล้ว”
“จริงเหรอคะ?” เธอตกใจเล็กน้อย “คุณรู้แล้วอย่างนั้นเหรอคะ?”
“ครับ เมื่อวานหลังจากคุณกลับออกจากงานไปแล้ว ผู้ชายคนนั้นก็เดินตามคุณออกไปทันที เจนนี่จำเขาได้แม่น กลับมาแล้วยังอุตส่าห์มารายงานให้ผมทราบ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งถึงเมื่อกี้นี้ผมถึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อย่างนี้นี่เอง ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ” เธอเอ่ยอย่างจริงใจ
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณอยากจะขอโทษจริงๆ ล่ะก็ คุณเล่าเรื่องของชายตะวันออกคนนั้นให้ผมฟังได้ไหมครับ?”
“ได้สิคะ”
“คือว่าอย่างนี้ ความจริงเราสองคนเพิ่งจะเลิกกันไม่นาน แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนกับว่ามันผ่านไปนานมากแล้ว…”
อาจจะเป็นเพราะวันนี้เธอเพิ่งจะผ่านเรื่องราวเยอะแยะมากมายจนเธอวางเกราะป้องกันในใจลง และยอมเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเองให้เขาฟัง
ความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงและเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายระหว่างเธอกับจิ้นหยวนเหมือนละครน้ำเน่าไม่มีผิด เธอเลือกเล่าเพียงบางเรื่องที่สำคัญเท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอก็เสียเวลาไม่น้อยในการเล่าเรื่องตัวเองให้เขาฟัง
เธอเล่าจนคอแหบแห้ง หน้ามืดตาลาย จนต้องยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่
“ถ้าอย่างนั้น เฉียว คุณยังรักเขาอยู่หรือเปล่า?” จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนเธอนิ่งอึ้ง