เธอพยายามลืมตาสู้แสงไฟเจิดจ้าที่สาดส่องใส่หน้าเธอด้วยความประหลาดใจ เห็นเพียงคนขับรถใส่หมวกปิดบังใบหน้า มุมปากเผยยิ้มชั่วร้าย
คนคนนั้นคิดจะฆ่าเธอ!
เพราะเธอเข้าใจผิดคิดว่าเป็นรถของคริส ทำให้ตอนนี้รถคันนั้นขับเข้ามาใกล้เธอมาก แถมยังเร่งความเร็วกะทันหันอีก ชั่วพริบตาเดียวรถคันนั้นเกือบจะขับมาถึงตรงหน้าเธอแล้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป เร็วจนเธอหลบไม่ทัน หัวใจเธอเย็นวาบ
เสี้ยววินาทีนั้น จู่ๆ รถอีกคันขับพุ่งออกมาจากทางด้านหลังเธอ รถคันนั้นขับเฉียดตัวเธอไปเพียงนิดเดียว จากนั้นพุ่งเข้าชนรถคันที่หมายจะเอาชีวิตเธออย่างแรง
รถสองคันประสานงากันอย่างจังจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว หน้ารถยุบไม่เหลือชิ้นดีทั้งสองคัน
เธอตกตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นกรีดร้องเสียงแหลมเพราะตกใจสุดขีด
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดึงดูดคนเดินถนนไม่น้อย บวกกับเสียงกรีดร้องหวีดแหลมของเธอ แม้แต่คนที่ความรู้สึกช้าที่สุดยังรู้เลยว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เพียงไม่นาน ผู้คนต่างรุมล้อมอยู่รอบกายพวกเธอ
เธอหวาดผวา ร่างกายสั่นเทา มีคนจะเข้าไปช่วยประคองเธอ แต่เธอดิ้นหนีแล้วพุ่งตัวไปที่รถของคริสทันที เธอใช้กำปั้นเล็กๆ ของตัวเองทุบประตูรถอย่างแรง “คริส คริส!”
คริสเป็นคนขับรถพุ่งเข้าชนรถคันที่หมายจะเอาชีวิตเธอ เขาคงเห็นว่าไม่ทันการณ์แล้ว ถึงได้ตัดสินใจใช้วิธีที่ทำให้บอบช้ำทั้งสองฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก
นาทีนี้เธอเห็นคริสหมดสติไปแล้ว เขาฟุบอยู่บนถุงลมนิรภัยไม่ไหวติง ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
เธอร้องเรียกเขาอยู่นานแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากเขาเลย เธอกลัวจับใจ เขาจะไม่ตายใช่ไหม ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าควรทำอย่างไรดี ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอคนเดียว ถ้าเธอระวังตัวมากกว่านี้ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น!
เขาจะต้องไม่เป็นอะไร เธอมองคริสที่นอนสลบไสลอยู่ในรถ พยายามเปิดประตูรถด้วยความร้อนใจดั่งในเผา แต่รถสองคันชนกันรุนแรงจนหน้ารถยุบ ประตูรถบิดเบี้ยว เธอพยายามใช้แรงมากแค่ไหนก็เปิดประตูรถไม่ออกเสียที
เธอดึงประตูรถจนมือเลือดไหลซิบแต่ก็ไร้ผล เธอหันไปขอความช่วยเหลือคนที่รุมล้อมอยู่รอบกาย “ขอร้องล่ะ ช่วยเขาด้วย…”
ผู้คนต่างแสดงความเห็นใจ พวกเขาพูดแต่ภาษาอิตาลีที่เธอไม่เข้าใจสักคำ
ในที่สุดก็มีคนดูออกว่าเธอไม่เข้าใจภาษาอิตาลี จึงพูดภาษาอังกฤษกับเธอแทน “ประตูรถถูกชนจนบุบ พวกเขาก็เปิดไม่ออกเหมือนกัน มีคนโทรไปที่สถานีตำรวจแล้ว อีกเดี๋ยวก็มีคนมาช่วยแล้ว”
“ใช่ สถานีตำรวจ!” ความชุลมุนวุ่นวายทำให้เธอลืมเรื่องแจ้งความไปเลย เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอย่างลนลาน มือสั่นเทาพยายามกดเบอร์โทรศัพท์ของสถานีตำรวจในพื้นที่
อุบัติเหตุครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงมาก รถตำรวจมาถึงสถานที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
เธอเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินลงมาจากรถแล้วเดินตรงเข้ามาหาเธอทันทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เธอโล่งอกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงเสียที พลันร่างกายโงนเงนเพราะหมดแรง
ใครบางคนรีบเข้ามาช่วยประคองเธอเอาไว้ และเอ่ยบางอย่างกับเธอ ดูเหมือนจะเป็นคำปลอบใจ เธอหันไปยิ้มให้คนใจดีคนนั้น คนที่ประคองเธอเอาไว้เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอได้แต่ยิ้มให้เธอคนนั้นโดยที่พูดอะไรไม่ออก ภาพน่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่ทำให้เธอตกใจจนสูญเสียพลังงานไปจนสิ้น
รถกู้ภัยสีแดงตามมาถึงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน คนมุงดูเหตุการณ์พากันก้าวเท้าถอยหลังเพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่กู้ภัย เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาพยุงเธอเอาไว้ ตอนนี้สมองเธอมึนเบลอไปหมด เธอมองคนพวกนั้นแล้วเอ่ยถามขึ้น “พวกเขาจะทำอะไร?”
ถ้าเป็นเวลาปกติเธอต้องรู้อยู่แล้วว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยจะต้องงัดประตูออกเพื่อนำตัวคนเจ็บออกมา แต่ตอนนี้สมองเธอมึนเบลอจนคิดอะไรไม่ออก
เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนนั้นมองเธอแวบหนึ่งหากแต่ไม่ได้พูดอะไร
และเธอได้คำตอบอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่กู้ภัยใช้เครื่องมือหน้าตาแปลกๆ ที่เธอไม่รู้จักงัดประตูรถให้เปิดออกออก จากนั้นนำตัวคริสออกมาจากตัวรถอย่างระมัดระวัง นายแพทย์สวมชุดกาวน์สีขาวรีบวิ่งเข้ามาตรวจร่างกายของเขา นายแพทย์เอ่ยอะไรบางอย่าง จากนั้นคริสก็ถูกหามขึ้นเตียงรถเข็น
เธอรีบวิ่งถลาเข้าไปจับเสื้อนายแพทย์คนนั้นเอาไว้ “ขอร้องล่ะ คุณหมอ คนคนนั้นอาการเป็นยังไงบ้างคะ?” เธอตกใจกลัวจนตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรไปแล้วเธอจะทำอย่างไร
โชคดีที่คำตอบของนายแพทย์คนนั้นฟังดูดีกว่าที่เธอคิด “เบื้องต้นคนเจ็บไม่มีอันตรายถึงชีวิต ส่วนอาการอื่นๆ ต้องส่งไปตรวจที่โรงพยาบาลถึงจะรู้”
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก ร่างทั้งร่างแทบจะทรุดลงกองกับพื้น
นายแพทย์คนนั้นตอบคำถามแล้วมองเธออีกแวบหนึ่ง “ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคนเจ็บเหรอ?”
เธอเอ่ยตอบ “ฉันเป็นเพื่อนเขา เมื่อกี้เขาจะช่วยฉัน ก็เลย…”
เธอพูดไม่ไหวแล้ว หันหน้าไปอีกทางพลันเห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยเพิ่งงัดประตูรถอีกคันเปิดออก จากนั้นนำร่างชายเลือดท่วมศีรษะออกมาจากตัวรถ
นายแพทย์คนนั้นรีบเดินเข้าไปตรวจร่างกายของเขา จากนั้นคนคนนั้นก็ถูกหามขึ้นเตียงรถเข็น
เธอร้อนใจมาก รีบตะโกนบอก “เขาเป็นคนร้าย เมื่อกี้เขาจะขับรถชนฉันให้ตาย…”
เจ้าหน้าที่ตำรวจต่างมองหน้ากัน จากนั้นเดินเข้ามาถามเธอ “เมื่อกี้คุณพูดจริงใช่ไหม?”
เธอรีบพยักหน้าหงึกๆ “เป็นเรื่องจริงค่ะ เมื่อกี้คนคนนั้นคิดจะขับรถชนฉันให้ตายคาที่ แต่เพื่อนฉันเห็นเข้าเสียก่อน ก็เลยขับรถชนรถเขา ไม่อย่างนั้น ป่านนี้คนที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลคงเป็นฉันไปแล้ว”
อาจจะเป็นเพราะอาการของคริสไม่หนักมาก ทำให้เธอมีพลังและความกล้าจนสามารถเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นฉากๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณไปกับเราด้วย”
“แล้วเพื่อนฉันล่ะคะ?” เธอไม่อยากไปสถานีตำรวจ เธออยากไปเฝ้าคริสที่โรงพยาบาลมากกว่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเอ่ยตอบ “คุณไม่ต้องเป็นห่วง เขาจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด คุณจำเป็นต้องไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจก่อน เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ร้ายแรงมาก”
เธออยากปฏิเสธไม่ไป แต่ทุกคนต่างจ้องมาที่เธอเป็นตาเดียว เธอจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาแล้วตามพวกเขากลับไปที่สถานีตำรวจอย่างไม่มีทางเลือก
หลังจากให้ปากคำเสร็จเรียบร้อย และเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรตกหล่นอีก เธอจึงถูกปล่อยตัวกลับ
ก่อนเธอกลับ เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนนั้นเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดและจริงจัง “จากคำให้การของคุณ มีคนตั้งใจจะฆ่าคุณ คุณต้องระวังตัวให้ดี บางทีคนพวกนั้นอาจจะลงมือกับคุณอีก”
เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยขอบคุณเธอ “ขอบคุณค่ะ ฉันจะระวังตัวให้ดี”
เธอคิดไม่ออกจริงๆ ว่ามีใครที่นี่ที่คิดจะเอาชีวิตเธอ เธอไม่เคยล่วงเกินใคร และไม่เคยไปขัดผลประโยชน์ใครด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เธอคิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบเสียที เธอเดินออกมาจากสถานีตำรวจ สายลมหนาวเหน็บพัดผ่านมากระทบใบหน้าเธอเบาๆ หัวใจเธอสั่นสะท้านเพราะความกลัวจับใจ
ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือเรื่องของคริส เธอสูดหายใจลึกๆ จากนั้นเรียกรถแท็กซี่เพื่อตรงไปยังโรงพยาบาล
คริส คุณต้องไม่เป็นอะไรนะ
ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เธอกลัวจนตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง ใบหน้าซีดเผือด คนขับแท็กซี่ต้องคอยชำเลืองมองเธอตลอดทางเพราะระแวงว่าเธออาจจะเป็นพวกขี้ยาที่กำลังลงแดง แต่เธอไม่สนใจเขา ได้แต่มองอาคารบ้านเรือนนอกหน้าต่างรถไปตลอดทาง
ถ้าเธอรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ให้ตายเธอก็ไม่มีทางออกจากบ้านเด็ดขาด