ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม การใช้เส้นสายเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด มิน่าเล่า เอลลี่ถึงได้ไม่ชอบเธอมาก
เธอยิ้มขื่นหลังคิดได้ “ที่แท้เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือคุณนี่เอง”
ฉีหย่วนเหิงส่ายศีรษะเบาๆ “เปล่า เป็นเพราะตัวคุณเองต่างหากล่ะครับ ผมแค่ขอให้เขารับคุณเข้าทำงานเท่านั้น หลังจากนั้น ทุกอย่างที่คุณได้มา เกิดจากความพยายามของตัวคุณเอง ผมไม่ได้ทำอะไรเลย”
เขารู้จักนิสัยเธอดี เธอเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีและไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณใคร เรื่องที่เขาเคยช่วยเหลือเธอเอาไว้ก่อนหน้านี้ทำให้เธอรู้สึกติดหนี้บุญคุณเขามากพออยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเขารู้ว่าเธออยากจะหางานทำ เขาจึงคิดวิธีที่ไม่ทำให้เธอรู้ว่าเป็นฝีมือเขา โดยการขอให้เพื่อนตัวเองประกาศรับสมัครพนักงาน จากนั้นรับเธอเข้าทำงานอย่างแนบเนียน
ต่อมาภายหลังเขางานยุ่งมาก และยังต้องบินกลับประเทศด้วย พอกลับมาถึงก็ได้รับข่าวว่าคริสเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนทำให้เขาเจอเธอเข้าอย่างจังโดยไม่ได้คาดคิด และจำต้องบอกความจริงให้เธอรู้
เฉียวซือมู่รู้สึกอึดอัดใจมาก เธอคิดว่าที่เธอได้งานนี้เป็นเพราะความสามารถของตัวเอง ไม่คิดเลยว่าความจริงจะเป็นแบบนี้
ฉีหย่วนเหิงเห็นสีหน้ายุ่งยากใจของเธอแล้วกระวนกระวายขึ้นมาทันที เขารีบอธิบาย “ความจริงผมแค่อยากจะช่วยคุณเท่านั้น…”
เธอส่ายศีรษะแล้วเอ่ยตัดบท “ฉันรู้ค่ะ ขอบคุณคุณมาก แต่ความจริงที่ได้รับรู้มันทำให้ฉันรู้สึก… ผิดหวังนิดหน่อย เพราะฉะนั้น ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ แล้วพบกันค่ะ”
เอ่ยจบพลางลุกขึ้นยืน เธอมองไปยังประตูห้องไอ.ซี.ยู.แวบหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ เดินจากไป
ฉีหย่วนเหิงมองเบื้องหลังของเธอที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปด้วยสีหน้าที่ดูแย่มาก
ทันใดนั้น ลูกน้องคนหนึ่งของเขาเอ่ยขึ้น “ทำไมไม่บอกเธอล่ะครับว่าช่วงนี้…”
เขาเอ่ยตัดบท “ไม่ต้องพูดแล้ว เธอไม่รู้น่ะดีแล้ว”
ลูกน้องคนนั้นหุบปากทันที ไม่กล้าเอ่ยอะไรกับเขาอีก
เฉียวซือมู่กลับถึงบ้าน กวาดสายตามองห้องที่เงียบเชียบ ความกระวนกระวายใจพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง เธออาบน้ำเสร็จแล้วปีนขึ้นเตียงนอนทันที หลับตาลงทีไรก็เห็นภาพใบหน้าซีดเผือดหลับตาแน่นของคริสผุดขึ้นมาทุกที เธอได้แต่ลืมตาจ้องดวงไฟสีเหลืองนวลบนเพดานแล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ
หลายวันต่อมา เธอแวะไปเยี่ยมคริสหลังเลิกงานทุกวัน เพื่อนร่วมงานรู้ว่าคริสประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่ไม่มีใครรู้ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเธอ
วันเวลาล่วงเข้าสู่วันที่ห้า ในที่สุดคริสก็ฟื้นขึ้นมาจากอาการสลบไสล
เธอโล่งอกเหมือนยกภูเขาออกจากอกทันทีที่รับรู้ข่าวดีนี้ เธอรีบวิ่งไปยังห้องคนไข้ทันที
คริสส่งยิ้มให้เธอทันทีที่เห็นเธอวิ่งเข้ามาในห้อง “ไฮ เฉียว ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เธอมองเขานิ่ง น้ำเสียงสั่นเครือ “ในที่สุดคุณก็ฟื้นซะที ฉันนึกว่า… นึกว่าคุณ…”
เธอดีใจมากจนพูดไม่ออก คริสกลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องปลอบใจเธอแทน “ผมไม่เป็นอะไรแล้ว แค่อุบัติเหตุเล็กๆ เอง”
เธอปาดหยาดน้ำตาที่คลอเบ้าออก นั่งลงข้างเตียงผู้ป่วย “ทำไมคุณต้องทำแบบนั้นด้วย? ถ้าเกิดคุณไม่ฟื้นขึ้นมาจะทำยังไง?”
คริสส่ายศีรษะเบาๆ “ตอนนั้น นอกจากวิธีนี้ก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ถ้าปล่อยให้เขาขับรถชนคุณ คุณคงไม่รอด แต่ถ้าเป็นผม สภาพอาจจะดีกว่าคุณ คุณดูสิ ตอนนี้ผมก็ไม่เป็นอะไรแล้วไม่ใช่หรือไง?”
เธอเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ค่า คุณเองก็เกือบไม่รอดเหมือนกัน คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองสลบไปกี่วัน? สลบไปตั้งห้าวันเลยนะคะ!”
เธอโบกมือข้างหนึ่งไปมาเบาๆ ตรงหน้าเขา “รับปากฉันสิคะ ต่อไปคุณจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้อีก ได้ไหมคะ?”
ดวงตาสีเขียวของเขาเปื้อนยิ้ม “ครับ”
เธอถูกสายตาของเขาจ้องมองจนเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย รีบหันศีรษะไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาเขา “คุณเพิ่งฟื้น ตอนนี้คงเหนื่อยมาก คุณพักผ่อนเถอะค่ะ”
เอ่ยพลางลุกขึ้นยืน จังหวะนั้นมีนางพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพอดี “ร่างกายคนไข้ยังอ่อนแอมาก อย่าให้คนไข้คุยนานเกินไปนะคะ”
เธอยังคงฟังไม่ออกเหมือนเดิมว่านางพยาบาลคนนั้นพูดว่าอะไร แต่เธอพอจะเดาออกว่าคงกำลังไล่ให้เธอกลับไปเร็วๆ เธอยิ้มแหยๆ แล้วหันไปมองคริสที่กำลังทำหน้าผิดหวัง “พรุ่งนี้ฉันจะมาเยี่ยมคุณใหม่ คุณต้องพักผ่อนเยอะๆ เข้าใจไหมคะ?”
เอ่ยจบแล้วเดินออกจากห้องทันที เธอรู้สึกว่าแผ่นหลังของตัวเองถูกสายตาร้อนเป็นไฟของเขาแผดเผาจนเป็นรูสองรูแล้ว
เธอพยายามอดทนเอาไว้ ประตูถูกปิดลง กั้นเธอจากสายตาของเขา ร่างกายที่เคยแข็งเกร็งค่อยๆ ผ่อนคลายลง เธอเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ยาวหน้าห้อง ค่อยๆ จัดระบบความคิดในสมองเสียใหม่
ทันใดนั้น เงาดำทอดลงตรงหน้าเธอ เธอเงยหน้าขึ้น เห็นฉีหย่วนเหิงกำลังยืนฉีกยิ้มให้เธอ “คุณจะให้เกียรติผมเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อไหมครับ?”
เธอจ้องเขานิ่งสักพัก จากนั้นพยักหน้าให้เขาช้าๆ “ได้ค่ะ”
เธอมีเรื่องอยากจะถามเขาอยู่พอดีเหมือนกัน
ร้านอาหารที่ฉีหย่วนเหิงจองเอาไว้ตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ได้เปรียบตรงที่เงียบสงบ การบริการดีเยี่ยม เธอยกแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นจิบ “คุณมีธุระอะไรจะคุยกับฉันคะ?”
เขาหัวเราะเบาๆ “ทำไมคุณต้องคิดว่าผมต้องมีธุระถึงจะคุยกับคุณด้วยล่ะ? แค่คุยกันแบบเพื่อนไม่ได้เหรอครับ?”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้วค่ะ” เธอเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ช่วงแรกๆ ที่เธอรู้จักเขา เธอคิดว่าเขาเป็นคนอ่อนโยนไร้พิษภัย แต่ถ้าตอนนี้เธอยังคิดเหมือนเดิมอยู่อีก เธอก็คงโง่มาก ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องที่เขาชิงไหวชิงพริบกับจิ้นหยวนโดยไม่มีใครแพ้ใครชนะ เธอก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคนเก่งกาจมากขนาดไหน จิ้นหยวนเป็นประเภทแสดงอำนาจและความต้องการของตัวเองออกมาตรงๆ แต่ฉีหย่วนเหิงเป็นประเภทเสแสร้งและตบตาเก่ง เขาซ่อนความเลือดเย็นและความฉลาดหลักแหลมเอาไว้ภายใต้ภาพลักษณ์อ่อนโยนไร้พิษภัยก็เท่านั้น
“คุณนี่เข้าใจผมดีจริงๆ สมแล้วที่ผม…” เขาหยุดพูดต่อ หากแต่มองเธอนิ่งด้วยสายตาลึกล้ำ
เธอชะงักเล็กน้อย ใบหน้าร้อนผ่าว รู้สึกว่าช่วงนี้โชคด้านความรักของเธอจะแรงเหลือเกิน
เธอแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจคำพูดของเขา เลี่ยงไปถามเรื่องอื่นแทน “เรื่องอุบัติเหตุ คุณได้เรื่องอะไรแล้วใช่ไหมคะ?”
ฉีหย่วนเหิงสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจนหลังจากเธอแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายของเขา “ครับ คุณรู้หรือยังว่าคนที่คิดจะขับรถชนคุณตายแล้ว?”
เธอตกใจ “ตายแล้ว? อาการเขาสาหัสมากเลยเหรอคะ?” ตอนที่เขาถูกหามออกมา เธอเห็นว่าใบหน้าของเขามีแต่เลือด ท่าทางอาการของเขาจะหนักกว่าคริสมาก
แต่ฉีหย่วนเหิงกลับส่ายศีรษะปฏิเสธ “อาการเขาสาหัสมากก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นหนักหนาจนถึงตาย โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเมืองนี้ คนไข้ที่ถูกส่งมารักษาตัวที่นี่ ขอแค่ยังมีลมหายใจ โอกาสรอดชีวิตสูงถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์”
“แล้วทำไม…” เธอไม่เข้าใจ
เขายกถ้วยกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อย แววตาเคร่งเครียด “การผ่าตัดประสบความสำเร็จมาก แต่วันที่สอง เขากลับถูกพบเป็นศพอยู่บนเตียงคนไข้ ไม่มีใครรู้สักคนว่าเขาตายยังไง”
เธอตกใจเพราะคาดไม่ถึง เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าทำไมเขาถึงหน้าดำคร่ำเครียดขนาดนั้น “คุณหมายความว่าเขา… เขา…”
เขาเอ่ยต่อคำพูดเธอ “หลังจากตรวจสอบเบื้องต้น เราพบว่าเขาตายเพราะยาพิษ ดูเหมือนว่าจะมีคนฉีดยาพิษเข้าไปในสายน้ำเกลือแล้วปล่อยให้เขาตายในขณะที่หมดสติ ทำให้เราไม่มีเบาะแสสืบเรื่องนี้ต่อ”
เธอตัวสั่นไปทั้งร่าง น่ากลัวเกินไปแล้ว ทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?