ตอนที่ 6 ข้อสงสัยทั้งหมดเป็นความผิดพลาด (1)
ยามนี้หนิงเซ่าชิงนั่งเบื่อหน่ายอยู่ที่หน้าโต๊ะราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก แม้ในมือถือหนังสือแต่สายตากลับให้ความสนใจหญิงสาวที่กำลังง่วนอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว
ครั้นมองไปที่ร่างบาง ประกอบกับเสียงเพลงที่บรรเลงเคล้าคลอเสียงของหยาดฝนภายนอก
ช่างเป็นภาพที่ลงตัวเหมาะเจาะ
บางที การฝากอีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ไว้ ณ หมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทแห่งนี้ก็ดูท่าไม่เลวนัก
อย่างน้อย ในทุกๆ วันก็ไม่ต้องคอยคิดหาทางวางแผนรับมือหรือกังวลว่าจะต้องถูกใครหักหลังอีก
ขณะที่เขากำลังเหม่อลอย จู่ๆ บรรยากาศภายในบ้านดูจะเงียบผิดปกติ เงาของคนที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำงานตรงนั้นหายไปไหนเสียแล้ว
หนิงเซ่าชิงมองหาด้วยความตกใจกลับพบว่ามั่วเชียนเสวี่ยมายืนอยู่ด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดวงตากลมโตจ้องมองมาที่หนังสือในมือของเขาอย่างนึกสนใจ
การกระทำของนางทำให้เขาหมุนตัวกลับหลังทันที แต่ดูท่ามั่วเชียนเสวี่ยจะไม่ยอมลดละความพยายาม นางยืนชะเง้อมองจากทางด้านหลังเขาอย่างสุดแรง
ทันใดนั้น หูของเขาดันเฉียดสัมผัสเข้ากับริมฝีปากของร่างบางและริมฝีปากของเขาก็เกือบจะประทับเข้าที่คางของคนด้านหลังเช่นกัน
ใบหน้าร้อนผ่าวลามไปถึงใบหูทั้งสองข้าง หนิงเซ่าชิงกระแอมเสียงต่ำอย่างเก้อเขิน
กลับกันสายตาของมั่วเชียนเสวี่ยยังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มนั้นจึงไม่ได้สนใจท่าทางของเขาแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเช่นนั้น หนิงเซ่าชิงกลับไม่มีท่าทีโมโหแต่อย่างใดเพียงยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจ มือข้างหนึ่งปิดหนังสือพลางเอ่ยถาม
“เจ้าเป็นคนที่ไหน”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถามเรื่องส่วนตัวของนาง
มั่วเชียนเสวี่ยจะไปรู้ได้อย่างไรว่าตัวตนเดิมในร่างนี้เป็นคนที่ไหน จึงทำได้เพียงตีหน้าซื่ออ้างว่าเป็นเพราะพิษไข้จึงจำได้ไม่แน่ชัดว่าเรื่องราวในชีวิตเป็นมาอย่างไร
แต่อย่างที่รู้ว่าหนิงเซ่าชิงไม่ใช่อาซ้อฟาง เขาไม่ใช่คนที่เชื่ออะไรง่ายๆ เช่นนั้น “ผ่านมาหลายวันแล้ว ยังคิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อยหรือ”
“อืม…เมื่อไม่นานมานี้พอนึกขึ้นได้อย่างหนึ่ง ดูเหมือนว่าข้าจะเป็นสาวใช้ในตระกูลที่ร่ำรวยอะไรทำนองนั้นหรือเปล่านะ” พูดตอบกลับกับตนเองอย่างว่าง่าย ช่างดูไม่เหมือนคนที่จำอะไรได้เลยสักนิด แม้จะรู้ตัวอักษรแต่คงไม่กล้าเล่าความเท็จว่ามาจากตระกูลผู้ลากมากดีอะไร หากกุเรื่องว่าเป็นสาวใช้ในตระกูลที่ร่ำรวยเห็นทีอาจจะพอลดความสงสัยอยากรู้ลงไปได้บ้าง
หนิงเซ่าชิงเงียบไปแล้วเอ่ยถามต่อ “แล้วตระกูลร่ำรวยที่ว่าคือตระกูลใดกัน”
“อึก…เรื่องนั้น เรื่องนั้นข้าก็จำได้ไม่แน่ชัดนัก”
หนิงเซ่าชิงจ้องนาง เห็นได้ชัดว่าแววตาคู่นั้นไม่ได้เชื่อในคำพูดของนางแม้สักนิดแต่ก็ไม่ได้สาวความอะไรต่อ
หลังจากเงียบไปสักครู่ เขาก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับลุกขึ้นยืน สองมือวางหนังสือลงแล้วเดินเข้าบ้านไปโดยไม่พูดไม่จา
มั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจว่าเขาจะคิดอย่างไร เมื่อเห็นเขาเดินจากไปจึงรีบหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วหันกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่คนตัวสูงอยู่เมื่อสักครู่พลางเปิดอ่านมันอย่างเพลิดเพลิน โดยไม่ทันสังเกตเห็นสายตาสอดส่องของใครบางคนที่ได้กลับเข้าไปในบ้านแล้ว
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับบันทึกทางประวัติศาสตร์ ซึ่งมั่วเชียนเสวี่ยสนใจเรื่องราวเหล่านี้มาก
นางเรียนรู้มาจากอาซ้อฟาง ทั้งเรื่องราวในชีวิตประจำวันของครอบครัวเกษตรกร เหตุการณ์ที่สำคัญบนโลกใบนี้ ลักษณะภูมิประเทศ เศรษฐกิจและขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น คำถามคืออาซ้อฟางรับรู้สิ่งเหล่านี้มาได้อย่างไร
หนังสือเล่มนี้เล่าถึงเรื่องรอยแยกของกาลเวลาเอาไว้ว่า ครั้งหนึ่งจิ๋นซีฮ่องเต้ได้เนรเทศชายหญิงจำนวนห้าร้อยคน ในตอนนั้นพวกเขาถูกทหารหลายพันนายทำร้ายอย่างทารุณ เป็นเหตุให้คนจำนวนห้าร้อยต้องลอยคออยู่กลางทะเลเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อเอาชีวิตรอด จนกระทั่งมาถึงแผ่นดินใหญ่แห่งนี้
ณ แผ่นดินแห่งนี้มองแล้วนับว่ากว้างขวาง แบ่งออกเป็นสี่เมืองเก้าราชวงศ์สิบห้ารัฐ
หลังจากการระดมพลได้เริ่มต้นขึ้น ไม่นานกองทัพที่แข็งแกร่งก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าทุกสารทิศทั้งการดำเนินการเจรจาผูกมิตรและการประกาศกร้าวทางสงคราม ท้ายที่สุดราชวงศ์เทียนฉีแห่งนี้ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
ทว่า ที่แห่งนี้อำนาจของฮ่องเต้ไม่ใช่สิ่งสูงสุด
หลายครั้งที่ครอบครัวตระกูลใหญ่กลับเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง
จะเห็นได้จากการสอบคัดเลือกข้าราชการที่ข้าราชการส่วนใหญ่มาจากตระกูลใหญ่ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นผลพวงของการส่งต่ออำนาจของเหล่าขุนนางใหญ่และคนในแวดวงศ์ตระกูลเดียวกัน เพียงพวกเขาเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็อาจพลิกฟ้าได้
เดิมที ลูกหลานตระกูลใหญ่ที่มีความรู้ความสามารถจะไม่เดินทางไปสอนหนังสือในตัวเมืองชนบท เพื่อแสดงถึงการเป็นปัญญาชนที่ทรงคุณค่า
แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่ใช่จุดสำคัญที่มั่วเชียนเสวี่ยต้องการจะรู้
จากเรื่องราวทั้งหมดในหนังสือ สามารถจับใจความได้สามประการ
ประการแรก อำนาจของตระกูลใหญ่ถือว่าอยู่เหนืออภิสิทธิ์มากเกินไป
ประการที่สอง แม้ราชวงศ์เทียนฉีจะถูกสถาปนาเป็นอาณาจักรมายาวนานกว่าสองร้อยปีแล้ว แต่ทักษะของทุกแขนงอาชีพยังคงอยู่ในระดับต่ำ
ประการที่สาม สตรีสามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สินของตนเองได้
ทั้งอำนาจเหลื่อมล้ำ เทคโนโลยีล้าหลัง แต่ที่ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตื่นเต้นที่สุดก็จะคงเป็นประการสุดท้าย
สตรีสามารถมีทรัพย์สินเป็นของตนเองได้และต่อให้พวกนางไม่มีประวัติที่แน่ชัดหรือไร้ซึ่งที่พักพิง นั่นหมายความว่าหากมีทรัพย์สินพวกนางก็จะไม่ต้องถูกประมูลขายเพื่อเป็นทาส
ทั้งนี้ ทรัพย์สินที่ว่าคงไม่ใช่บ้านที่ชำรุดเสียหายสองสามหลังในชนบทหรือเงินเล็กน้อยเช่นนี้
แต่อาจเป็นที่ดินอันอุดมสมบูรณ์จำนวนหลายพันฉิ่ง[1] ร้านค้าหรือโรงงานกว่าหลายสิบแห่งก็นับว่าเพียงพอแล้ว
แม้อนาคตจะดูริบหรี่ ทรัพย์สินก็ยังไม่รู้ว่าจะไปหามาจากที่ไหน อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ดวงตาของนางเต็มไปด้วยแสงแห่งความหวัง
นางต้องลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อโชคชาตาและจะพิชิตมันด้วยสองมือคู่นี้ของตนเองให้จงได้
ระหว่างนางกับหนิงเซ่าชิง เดิมทีก็ใช้ชีวิตแบบพึ่งพาซึ่งกันและกันอยู่แล้ว หากเข้ากันได้ดีก็คงอยู่กินกันฉันสามีภรรยาได้ต่อไป
แต่ถ้าเขาทำให้นางไม่สบายใจล่ะก็…
ภาพเหตุการณ์เมื่อหลายคืนก่อนผุดขึ้นมาในหัวของมั่วเชียนเสวี่ย ภาพที่ร่างสูงทำท่าทีตกใจประหนึ่งว่ากลัวจะถูกนางลวนลาม สีหน้าท่าทางแทบอยากจะเตะนางลงจากเตียงเช่นนั้น ยิ่งคิดในใจยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
ต่อให้ทั้งสองจะเข้ากันได้ดี ถ้าวันหนึ่งเขาอยาก ‘กิน’ นางขึ้นมา มีหรือที่คนอย่างมั่วเชียนเสวี่ยจะสมยอมง่ายๆ คงต้องให้เขาได้ลิ้มลองรสชาติของการถูกเตะตกเตียงเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ในหัวจินตนาการยามที่ได้กระทำเช่นนั้น ก็พลันหัวเราะขบขันกับชัยชนะของตัวเอง
ทว่าลึกลงไปในใจ นางจะก็อยากหาใครสักคนเพื่อเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้เหมือนกัน
แม้ร่างกายของคนๆ นี้จะดีขึ้นมากแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นบัณฑิตที่อ่อนแอ ไม่มีอะไรดีสักอย่าง…พึ่งพาก็ไม่ได้!
มั่วเชียนเสวี่ยเงี่ยหูฟังเสียงฝน ในใจเริ่มคิดวางแผนเส้นทางในอนาคต
ฝนข้างนอกหยุดแล้ว ร่างบางครุ่นคิดอย่างหนัก หากว่าอยากมีทรัพย์สินคงต้องรู้กลยุทธ์ในการทำการค้า ทั้งยังจำเป็นต้องมีเงินก้อนแรกเพื่อเริ่มต้นด้วย
ฉะนั้นคงต้องลองสำรวจทำเลพื้นที่ในตัวเมืองก่อน ที่นั่นอาจได้พบโอกาสมากมาย
นางรู้เรื่องพวกนี้มาจากอาซ้อฟางอยู่ก่อนแล้ว หมู่บ้านหวังจยาที่นางอยู่นี้แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้าน เล็กๆ แต่กลับอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลนัก
เมื่อวานท่ามกลางบรรดาผู้ปกครองของนักเรียนที่มามอบค่าเล่าเรียน ดูเหมือนมีคนหนึ่งที่ครอบครัวเป็นคนขับรถม้าทั้งยังเป็นครอบครัวเดียวในหมู่บ้านที่มีรถม้าด้วย จำได้ว่าตอนนั้นอาซ้อฟางเรียกนางว่าอาซ้อจางและลูกของนางเหมือนว่าจะชื่อเถี่ยจู้หรือจู้จื่อ
ในเมื่อจะเข้าเมือง คงต้องไปทำความสนิทสนมกับครอบครัวคนขับรถม้าเอาไว้
เมื่อได้ยินว่าในบ้านพลันเงียบสนิท ในใจคิดว่าหนิงเซ่าชิงคงหลับไปอีกแล้ว ร่างบางจึงปิดประตูลงอย่างเบามือ จากนั้นแวะไปพูดคุยกับอาซ้อฟางที่บ้านของนางเพื่อหวังให้พาไปยังบ้านของอาซ้อจาง
ไม่คิดว่าอาซ้อฟางจะออกไปทำงานที่ทุ่งนาแล้ว ยามนี้เหลือแค่ซวนจื่อที่อยู่บ้านดูแลยายา
คิดได้ดังนั้น นางจึงสั่งกำชับซวนจื่อสองสามประโยคพร้อมกับไหว้วานให้เขาช่วยไปดูว่าอาซ้อจางอยู่ที่บ้านหรือไม่พร้อมกับส่งคำเชิญให้อาซ้อจางมานั่งพูดคุยกันที่บ้าน ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยเองก็จะช่วยดูแลยายาให้
ยายาน่ารักน่าเอ็นดูเสมอ ในขณะที่ซวนจื่อออกไปสักพักก็กลับมาพร้อมคำตอบรับของอีกฝ่ายว่า‘หากช่วงบ่ายมีเวลาว่างก็จะมาหา’
ครั้นหันกลับหลังมาที่ประตูบ้านพลางมองใบหลิวที่ร่วงหล่นบนพื้น เรื่องราวมากมายพลันร้อนรุ่มอยู่เต็มอกพร้อมกับเอื้อนเอ่ยถ้อยคำราวกับสะกดจิตตนเอง “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ทุกสิ่งจะสำเร็จในผู้ที่มีปณิธานอันแน่วแน่ ขอเพียงมุมานะพยายาม สวรรค์ก็จะช่วยให้ประสบความสำเร็จ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถึงลำบากเพียงใดจงอย่าได้ท้อถอย”
[1]ฉิ่ง หน่วยวัดพื้นที่ของจีนหน่วยหนึ่งที่ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบันโดย 1 ฉิ่งเท่ากับ 8.64 เฮกตาร์