ตอนที่ 100 สารภาพรัก ความโกรธเคืองของเชียนเสวี่ย (5)
ท่านผู้เฒ่าถงคิดว่าชีวิตนี้เขาจะไม่ได้ยินลูกชายพูดอีกแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าเขามีส่วนร่วม จึงพูดให้กำลังใจ “หนูน้อย เจ้าพูดได้ถูกมาก พี่สาวก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ท่านผู้เฒ่าถง ท่านเองก็คิดเช่นนี้ใช่ไหม”
ท่านผู้เฒ่าถงเช็ดน้ำตาบนใบหน้า พยักหน้า “ใช่ ข้าก็คิดเช่นนี้”
หลังจากเล่านิทานอีกเรื่องหนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้น “หนูน้อย ตอนนี้สายมากแล้ว พี่ต้องกลับไปพักแล้ว พรุ่งนี้พี่ค่อยมาเล่านิทานให้เจ้าฟัง มาเล่นกับเจ้า ดีไหม”
ถงจื่อจิ้งจับจ้องไปที่นาง แววตาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ทว่าไม่ตอบ
มั่วเชียนเสวี่ยพูดขึ้นอีก “เจ้าไม่อยากให้พี่มาหรือ พี่เสียใจยิ่งนัก”
ยังคงไม่ตอบ
“พี่ยกภาพวาดนิทานนกกระเรียนดื่มน้ำให้เจ้า ดีหรือไม่”
“…ขอรับ”
“พี่ชอบเจ้ามาก พรุ่งพี่อยากมาเล่นกับเจ้าอีก ดีหรือไม่”
“ขอรับ…”
วันนี้ ถงจื่อจิ้งพูดมากกว่าสิบพยางค์ มากกว่าคำพูดตลอดหลายปีรวมกันเสียอีก
มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นเดินออกไป ท่านผู้เฒ่าถงเดินตามออกไปด้วย
“อาการป่วยของคุณชายถงมีความหวัง แต่ว่า ข้าอยากเพิ่มสัญญาอีกข้อหนึ่งในสัญญาของเราเจ้าค่ะ”
“จะเพิ่มอีกข้อหนึ่ง? ได้! ขอเพียงจิ้งเอ๋อร์หายดี เจ้าจะเพิ่มอีกร้อยข้อก็ไม่เป็นไร”
ท่านผู้เฒ่าถงเข้าใจว่ามั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกว่าหุบเขาหนึ่งลูกยังไม่พอ ด้วยเหตุนี้จึงกัดฟันพูด เตรียมรับฟังคำขอแสนจะโลภของมั่วเชียนเสวี่ย
สัญญาสามข้อ ข้อแรกคือ เมื่ออาการป่วยของคุณชายถงดีขึ้น ยกหุบเขาให้มั่วเชียนเสวี่ย
ข้อที่สอง ไม่ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะใช้วิธีการได้ เขาห้ามข้องเกี่ยว ทั้งยังต้องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ข้อที่สาม ห้ามทำสีหน้าเคร่งขรึมกับถงจื่อจิ้ง ห้ามตัดสิน
“ข้อที่สี่ นับจากนี้ท่านได้โปรดอย่ากักขังคุณชายเอาไว้ ให้เขาเดินไปรอบๆ หากท่านไม่วางใจ เช่นนั้นให้บ่าวรับใช้ที่ไว้ใจคอยติดตามอยู่ห่างๆ แต่ห้ามยุ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมของเขา แม้ว่าเขาจะหกล้ม ก็ห้ามเข้าไปพยุง ให้เขาลุกขึ้นเอง”
เขากัดฟันรอแต่กลับไม่มีคำขอที่โลภมาก ในทางตรงกันข้ามกลับเป็นเงื่อนไขที่เขายากจะยอมรับ
“เขาจะออกไปตามลำพังได้อย่างไร ไม่ได้! ”
“หากข้าจับท่านขังเอาไว้ ขังครั้งหนึ่งนานสิบยี่สิบปี ท่านจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงหรือไม่ ท่านจะแข็งแรงเหมือนตอนนี้หรือไม่เจ้าคะ” คำพูดนี้ไร้ความเกรงใจ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นพูด เกรงว่าเวลานี้คงถูกลากออกไปโบยแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่สนใจเขา พูดต่อ “หน้าต่างท่านก็ตอกตะปูปิดเอาไว้ กลางวันกลางคืนแทบจะไม่แตกต่าง ไม่ให้เขาได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่ให้เขาออกไป ท่านเป็นคนทำให้คุณชายกลายเป็นเช่นนี้…”
ใช้คำว่ารักในการกักขัง เป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัวที่สุด
มั่วเชียนเสวี่ยพูดอย่างไม่เกรงใจ ในที่สุดท่านผู้เฒ่าถงก็ยอมลดความทระนงของตนลง
“ข้า…ข้าผิดไปแล้ว แต่ว่า ตอนนี้ให้เขาออกไป ข้าจะวางใจได้อย่างไร”
“ไม่ได้ให้ท่านปล่อยคุณชายออกไปตอนนี้ ด้วยอาการของคุณชายในตอนนี้ แม้ว่าท่านจะเปิดประตูใหญ่ เขาก็ไม่มีวันออกไป” สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยเศร้าหมอง
นางไม่ปฏิเสธ ท่านผู้เฒ่าคนนี้รักบุตรชายของตน เพียงแต่ รักผิดวิธี จึงกลายเป็นการทำร้าย
ท่านผู้เฒ่าถงเห็นนางเป็นเช่นนี้ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ราวกับตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ “หากเจ้าเป็นคนพาเขาออกไป เช่นนี้ข้าก็วางใจ”
“ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านผู้เฒ่าโปรดเตรียมให้พร้อม พรุ่งนี้ข้าจะพาเขาไปเล่นในสวน วันมะรืนพาเขาออกจากบริเวณเรือนเจ้าค่ะ”
“…”
ท่านผู้เฒ่าถงเห็นว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อยากจะเปลี่ยนใจ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจได้ จึงทำได้เพียงตอบตกลง
มั่วเชียนเสวี่ยออกคำสั่งโดยไม่สนใจ “ทางที่ดีที่สุดท่านควรทำอาหารที่ช่วยบำรุงสมองให้ถงจื่อจิ้ง จำให้ดี ห้ามต้มยาให้เขาดื่มเด็ดขาด อืม ให้ข้าคิดดูก่อน ทำอาหารจำพวกถั่ว จำพวกเห็ด รู้จักเห็ดปุยฝ้ายหรือไม่…”
ท่านผู้เฒ่าถงเห็นว่าล้วนพูดถึงอาหาร คลายคิ้วที่ขมวดทันที สั่งให้พ่อบ้านถงไปจัดหาเห็ดปุยฝ้ายอะไรนั่น
เช้าตรู่วันที่สอง มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งมาถึงเรือนตระกูลถึง พ่อบ้านถงมารายงานนางด้วยความดีใจ พูดถึงอาการของถงจื่อจิ้งเมื่อวานหลังจากที่นางกลับไป
เมื่อวานหลังจากมั่วเชียนเสวี่ยกลับไป ถงจื่อจิ้งนั่งเหม่อลอยครู่หนึ่ง แล้วหยิบผ้าที่เมื่อก่อนฉีกมาฉีกสองสามครั้ง แต่ไม่รู้สึกสนุกแล้ว หลังจากนั้น ก็เอาแต่มองภาพวาดนิทานนกกระเรียนดื่มน้ำในมือตลอดเวลา
แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่โง่เขลาเหมือนที่ผ่านมา กลับเป็นรอยยิ้มที่ในอดีตไม่เคยมีมาก่อน
พ่อบ้านถงครุ่นคิดอยู่นานก็ไม่อาจบรรยายได้ว่านั่นเป็นรอยยิ้มเช่นไร
พูดแค่ว่า วันนี้คุณชายตื่นเช้ามาก แม้จะไม่ได้พูดอะไร ทว่ากลับเอาแต่จ้องมองประตูนั่นโดยไม่รู้ตัว
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้ม ดูเหมือนว่า อาการป่วยของถงจื่อจิ้งไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด นางเข้าไปในห้องของถงจื่อจิ้งอีกครั้ง ไม่มีความรู้สึกกดดันแล้ว
ทันทีที่มั่วเชียนเสวี่ยเข้ามา แม้ถงจื่อจิ้งจะไม่ได้เดินมาต้อนรับ แต่แววตาของเขากลับทอประกาย
มั่วเชี่ยนเวี่ยเดินไปหา ยิ้มบางๆ แล้วพูด “พี่มาแล้ว พวกเรามาเล่นนิทานกันอีกดีหรือไม่”
ถงจื่อจิ้งพยักหน้า
“ตอนนี้เราเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันแล้ว ข้าเรียกเจ้าว่าจื่อจิ้งได้หรือไม่ น้องจื่อจิ้ง?! ”
ถงจื่อจิ้งพยักหน้า
“ได้ เจ้าเองก็เรียกข้าว่าพี่เชียนเสวี่ย จำเอาไว้ให้ดี! ชื่อของพี่คือเชียนเสวี่ย”
มั่วเชียนเสวี่ยเริ่มเล่านิทานเหมือนเมื่อวาน เพียงแต่วันนี้มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น ท่านผู้เฒ่าถงถูกมั่วเชียนเสวี่ยไล่ออกไปแล้ว
เมื่อเล่านิทานที่นางเตรียมเอาไว้จนจบ มั่วเชียนเสวี่ยเก็บม้วนภาพวาด แล้วพูด
“พวกเราเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน มิตรสหายที่ดีย่อมต้องช่วยเหลือกัน เช่นเดียวกับที่ภาพวาดนั้นกล่าว เจ้าว่าถูกหรือไม่”
ทุกครั้งที่ถามคำถาม อย่างน้อยต้องสามรอบขึ้นไป แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่รู้สึกหงุดหงิด ไม่มีความรำคาญแม้แต่น้อย ปฏิบัติต่อคนที่เป็นออทิสติก วิธีที่ดีที่สุดคือ ความรัก สิ่งที่ต้องระวังที่สุดคือ ความรุนแรง
“…ขอรับ” ถงจื่อจิ้งคล้ายครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วค่อยขานตอบ
“ตอนนี้พี่อยากออกไปเล่นข้างนอก อยู่ในนี้อุดอู้ยิ่งนัก เจ้าออกไปกับพี่ได้หรือไม่”
ความเป็นมิตรบนใบหน้าของถงจื่อจิ้งราวกับถูกลมพัดปลิวในชั่วพริบตา มององครักษ์ที่ยืนเฝ้าประตู ก้มหน้าลง นานครู่หนึ่ง กว่าจะส่ายหน้าไปมา
“แต่ว่า หากน้องจื่อจิ้งไม่ออกไปกับพี่เชียนเสวี่ย พี่ไปคนเดียวคงน่าเบื่อมาก” มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเขาระแวดระวังเช่นนี้ รู้สึกเศร้ายิ่งนัก ผายมือให้องครักษ์ทั้งสองถอยไป
ดูเหมือนว่า เขาเคยลองออกไป แต่ถูกจับกลับมา
นางตกลงกับท่านผู้เฒ่าถงแล้ว ทุกอย่างที่นี่นางขอเป็นคนตัดสิน ดังนั้น นางผายมือ องครักษ์ทั้งสองก็ถือว่าเชื่อฟัง มองหน้ากันแล้วถอยออกไป
เห็นองครักษ์ทั้งสองถอยออกไป แล้วได้ยินคำเชิญของมั่วเชียนเสวี่ย นัยน์ตาของถงจื่อจิ้งฉายความอยากลอง มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเช่นนั้น จับมือเขา แล้วเดินออกไป
ถงจื่อจิ้งมองดูมือของนางที่จับตน อยากจะสะบัดทิ้ง ทว่าก็ทำใจสะบัดไม่ได้ สายตาของเขาจับจ้องไปยังมือที่จูงมือตน คล้ายจะมีน้ำตา สุดท้ายภายใต้การชักนำของมั่วเชียนเสวี่ย เดินออกไปโดยไม่อาจหักห้ามตนเองได้