ตอนที่ 121 เปิดหอบรรพชน แตกตื่นทั้งหมู่บ้าน (5)
ในตอนแรกอาซ้อจางถูกหัวหน้าหมู่บ้านทำให้ตกอกตกใจ จากนั้นก็ถูกเสียดสีทิ่มแทงโดยคำพูดของสามีตน ชายผู้นี้ต้องการจะให้เรื่องราวจบไปแต่เพียงเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังปกป้องฟางเถาเอ๋อร์อยู่ การที่สตรีมีความสัมพันธ์สวาทกับชายอื่นที่มิใช่สามีนับว่าผิดกฎหมาย จากหลักการแล้วจะต้องถูกจับขังคอกหมูถ่วงน้ำ ในวันนี้นางจะต้องลงโทษสตรีแพศยาหน้าไม่อายนั่นให้ตาย ส่วนจางเกินเป่า นางยังมีเถี่ยจู้อยู่ นางไม่เชื่อหรอกว่าจางเกินเป่าจะทิ้งสองแม่ลูกเพื่อนังแพศยาคนนั้น
อาซ้อจางโกรธเกลียดแค้นอยู่ในใจ นางสูดลมหายใจเข้าลึก บัดนี้ความคิดเริ่มประจักษ์แจ้งขึ้นมาบ้างเล็กน้อย นางเริ่มมีหลักการและนำภาพเมื่อครู่ที่ได้เห็น กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนำมาปะติดปะต่อกันอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเขากล่าวจบ ก็ได้ตะเบ็งออกมาอย่างเคียดแค้นว่า “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เชิญส่งคนไปนำตัวฟางเถาเอ๋อร์มาสอบสวนดู กล่าวไร้สาระหรือไม่ประเดี๋ยวถามก็รู้”
ในหมู่บ้านไม่ได้เกิดเรื่องอันน่าอับอายเช่นนี้มาหลายปีแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านจึงตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ เขาตะโกนกำชับคนในตระกูลว่า “ไปนำตัวฟางเถาเอ๋อร์มา”
เมื่อกล่าวจบ ก็มีผู้หวังดีวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานก็ได้จับตัวฟางเถาเอ๋อร์กลับมา
หลี่ไคสือถูกกดเอาไว้บนพื้นอยู่เนิ่นนานจนเขารู้สึกอึดอัด
เขามองไปทางฟางเถาเอ๋อร์ด้วยสายตาเป็นประกายดุจหมาป่า ในเวลานี้เขาไม่ได้นึกถึงหรอกว่าฟางเถาเอ๋อร์จะเป็นตายร้ายดีเช่นไร สิ่งที่เขาคิดก็คือความลับของตนนั้นจะเก็บรักษาไว้ได้หรือไม่ เขาเพิ่งจะแต่งงานได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่ภรรยาของตนกลับคบมีชู้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงจะสงสัยว่าตัวเขามีปัญหา หากความลับของเขาไม่อาจจะปิดบังได้อีกต่อไป แล้วนับจากนี้จะสู้หน้ากับคนอื่นอย่างไร… ชั่วขณะนั้น เขาอยากจะลงมือฆ่าคนขึ้นมาจริงๆ
หลี่ไคสือไม่ได้สนใจความเป็นความตายของฟางเถาเอ๋อร์แม้แต่น้อย ส่วนจางเกินเป่าดวงตาแดงเรื่อ หันไปตะโกนด่าทออาซ้อจางจนถูกหัวหน้าหมู่บ้านออกคำสั่งให้ปิดปากเอาไว้
หัวหน้าหมู่บ้านหันไปทางฟางเถาเอ๋อร์ ก่อนจะกะตะโกนออกมาว่า “ฟางเถาเอ๋อร์ อาซ้อจางกล่าวว่าเจ้าแอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสามีของนาง เรื่องนี้จริงหรือไม่จงตอบมาตามความเป็นจริง”
“เป็น…เป็นความจริง” ฟางเถาเอ๋อร์กล่าวออกมาเบาๆ
เดิมทีคิดว่านางจะปฏิเสธ คาดไม่ถึงว่านางจะกล่าวออกมาตามความจริงเช่นนั้น มองดูแล้วประโยคด่าทอของอาซ้อจางเมื่อครู่ทำให้นางสับสนเล็กน้อย
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเห็นท่าทางอันจริงจังของนาง ในใจก็รู้สึกตกตะลึง แต่ก็จำเป็นจะต้องออกคำสั่ง
เขาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “ในเมื่อเจ้ายอมรับสารภาพก็ไม่จำเป็นต้องสืบสวนอีกต่อไป เอาล่ะ ฟางเถาเอ๋อร์ไม่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามด้านศีลธรรม เพิกเฉยต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์ ละเมิดกฎของตระกูล ตามข้อบังคับแล้วจะต้องจับขังกรงหมูแล้วถ่วงน้ำ”
จับขังกรงหมูแล้วถ่วงน้ำ! มั่วเชียนเสวี่ยตกตะลึง นางไม่ได้ต้องการจะให้ฟางเถาเอ๋อร์ต้องถึงแก่ชีวิต เพียงต้องการไม่ให้นางเชิดหน้าลืมตาขึ้นได้อีก หลังจากนี้จะได้ไม่ไปปรากฏตัวต่อหน้านาง และไม่คิดจะไปยั่วยวนหนิงเซ่าชิงอีก
แต่คาดไม่ถึงว่าหมู่บ้านสมัยโบราณเช่นนี้จะมีการใช้อำนาจลงโทษคนให้ถึงแก่ความตายได้
ดูเหมือนนางต้องการจะออกมากล่าวบางอย่าง หลังจากที่กลืนน้ำลายลงคอแล้วก้าวขาออกไป ก็ถูกอาอู่ดึงชายเสื้อเอาไว้
นางตกตะลึงเล็กน้อย รู้สึกว่าตนแทบไร้จุดยืน
อีกอย่าง ในเมื่อนางเดินทางมายังโลกนี้ก็ควรที่จะเคารพกฎของโลกยุคเก่านี้ เมื่อนึกย้อนไปถึงวันนั้นที่ฟางเถาเอ๋อร์เกือบจะทำให้หนิงเซ่าชิงต้องถึงแก่ชีวิต ฝีเท้าของนางก็หยุดลงและถอยกลับมาโดยสัญชาตญาณ
ฟางเถาเอ๋อร์หัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดังก่อนจะกล่าวว่า “ข้าไม่ยอม ข้ามีเรื่องจะกล่าว” ท่าทางของนางนั้นดูไม่เหมือนเกรงกลัวความตายแม้แต่น้อย
ฟางอู่คิดว่าบุตรสาวจะแก้ตัว ต่อให้นางจะหน้าด้านหน้าทนสักเพียงไร แต่ตนก็รักและทะนุถนอมนางยิ่งนัก ไม่แน่ว่าจางเกินเป่าอาจจะขืนใจนางก็เป็นได้
“ฟางเถาเอ๋อร์ต้องถูกจางเกินเป่าฝืนใจแน่นอน” มีเพียงเช่นนี้บุตรสาวจึงได้มีโอกาสที่จะออกมาปฏิเสธ เขากล่าวพลางหันไปขยิบตาให้กับฟางเถาเอ๋อร์ แต่นางกลับมาทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ตอบคำถามของชายชรา นางหันศีรษะกลับไปมองหาใครบางคนท่ามกลางฝูงชน
เกิดความโกลาหลขึ้นในฝูงชน ทุกคนล้วนกลัวว่านางจะจับจ้องไปยังตนและนำพาความโชคร้ายมาให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่
สายตาของฟางเถาเอ๋อร์กวาดมองไปยังฝูงชนกลุ่มนั้น ท้ายที่สุดแล้วดวงตาอันมืดมนของนางก็จับจ้องและหยุดไปที่มั่วเชียนเสวี่ย
นางมองไปยังมั่วเชียนเสวี่ย ก่อนจะกล่าวอย่างขมขื่นว่า “หนิงเหนียงจื่อ ที่ข้ามีวันนี้ก็เป็นเพราะเจ้าทำร้ายข้า”
หลายๆ คนไม่เข้าใจเอาเสียเลย เวลานี้แล้วนางไม่เพียงแต่จะไม่ทำการปฏิเสธเพื่อตนเอง แต่ยังจะไปหาเรื่องหนิงเหนียงจื่ออีก
หลายคนคาดคิดไม่ถึงว่าฟางเถาเอ๋อร์ทำตัวย่ำแย่ นิสัยหยาบคาย ถูกจับได้ว่าเป็นชู้กับชายอื่น บัดนี้ยังมีหน้ามาโทษหนิงเหนียงจื่อได้อย่างไร แต่บางคนก็เริ่มหวังจะเห็นความวุ่นวาย มีความสุขและตื่นเต้นกับความผิดของผู้อื่น หากว่าทั้งหมดนี้ เป็นการใส่ร้ายจากหนิงเหนียงจื่อจริงๆ ล่ะก็ คงจะมีฉากเด็ดๆ ตามมา
ไม่แน่ว่าหากหัวหน้าหมู่บ้านอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วยึดเอาทรัพย์สินทั้งหมดของนางกลับไปเป็นของส่วนรวม นับแต่บัดนี้ทั้งโรงงาน ร้านอาหารรและโรงแกะสลัก พวกเขาที่แซ่หวังก็จะได้รับอานิสงส์ด้วย
“ข้าใส่ร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ ข้าใส่ร้ายเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน จงนำหลักฐานออกมา” เดิมทีมั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากจะไปสนใจนางนัก แต่ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่จับจ้องและประโยคของนางเมื่อครู่สื่อถึงความหมายได้อย่างชัดเจน หากว่านางไม่ลุกขึ้นมาปฏิเสธเพื่อตนเอง คงจะมีคนคิดว่านางทำอะไรอยู่เบื้องหลังจริงๆ
“หลักฐานงั้นหรือ ต้องใช้หลักฐานด้วยหรือ ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านสามารถเป็นพยานให้แก่ข้าได้ มั่วเชียนเสวี่ย! เจ้าเป็นเพียงสตรีที่มาจากต่างถิ่น เจ้ามีคุณสมบัติอันใดที่จะอยู่ข้างกายหนิงเซียนเซิง ชีวิตนี้ฟางเถาเอ๋อร์ไม่เคยใจกล้าเช่นนี้มาก่อน” น้ำเสียงของนางเสียงดังฟังชัด ดูเหมือนกับว่านางไม่ใช่คนที่กำลังจะถูกลงโทษแม้แต่น้อย
“หากไม่ใช่เป็นเพราะเจ้าปรากฏกายขึ้น บัดนี้ข้าคงได้เป็นหนิงเหนียงจื่อแล้ว ในอนาคตหากเขาได้เขาเป็นขุนนาง ข้าก็จะเป็นฮูหยิน ข้าจะตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร!” ฟางเถาเอ๋อร์กัดฟันกรอด
“อีกอย่าง สตรีที่ไม่มีที่มาที่ไปเช่นเจ้า สมควรแก่การเป็นทาสเท่านั้น ต่อมาแม้เจ้าจะกลายเป็นคนแก้เคล็ดเพื่อรักษาโรคจนหายได้ แต่ก็ยังไม่คู่ควรที่จะเป็นภรรยาของหนิงเซียนเซิง! เพราะเจ้าไม่มีแม่สื่อ ไม่มีสินสอด ไม่เคยคารวะฟ้าดินกับหนิงเซียนเซิง ไม่เคยเข้าคารวะบิดามารดาของหนิงเซียนเซิง ไม่เคยให้กำเนิดบุตรหญิงชายแก่หนิงเซียนเซิง น่าขำเสียจริงที่เจ้ายังคิดว่าตนเป็นภรรยาเอกอย่างถูกต้องของเขา…”
ประโยคเมื่อครู่นี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยเหมือนกับถูกทุบตีเข้าที่ศีรษะอย่างจัง ดูเหมือนมีโล้และกลองกำลังบรรเลงดังสนั่นหวั่นไหว เพียงชั่วครู่นางก็รู้สึกปวดศีรษะและเจ็บปวดใจ ประโยคเหล่านี้คงไม่ได้มาจากปากของสตรีเช่นฟางเถาเอ๋อร์ที่ไร้ความคิดเป็นแน่ แต่คงจะมีใครแอบไปสนทนาลับหลังถึงเรื่องนี้ให้นางได้ยิน ในเมื่อมีผู้คนสนทนาและวิพากษ์วิจารณ์ ก็หมายความว่าเรื่องนี้ใช่ว่าจะไร้เหตุผล
หากว่านางไม่ใช่ภรรยาเอก แล้วนางเป็นอะไร
ประโยคเมื่อครู่ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกคับข้องใจยิ่งนัก มองดูแล้วนางทำความรู้จักเข้าใจกับคนในโลกยุคนี้น้อยไป แม้ว่าในใจจะโกรธยิ่งนักแต่นางก็ไม่แยแสและกล่าวว่า “ข้าจะเป็นภรรยาเอกของเขาหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับเจ้า การที่เจ้าไม่ปฏิบัติตามชีวิตหลังออกเรือนเช่นนี้เป็นเพราะข้าบงการหรือ”
ฟางเถาเอ๋อร์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ ประโยคที่นางกล่าวออกมาเมื่อครู่เพียงเพื่อต้องการสร้างความสงสัยให้เป็นปัญหาแก่มั่วเชียนเสวี่ย ไม่ได้ต้องการจะโต้เถียงใดๆ กับนาง ดังนั้นจึงก้มหน้าแล้วหันไปมองหลี่ไคสือ
“หลี่ไคสือ เจ้ามันไร้ประโยชน์ เป็นเพราะเจ้าทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ เจ้ามันไม่ใช่ลูกผู้ชาย ต่อให้ข้าเปลื้องผ้าจนล่อนจ้อนแล้วตะกายขึ้นไปอยู่บนร่างของเจ้า แต่เจ้าก็ยังทำอะไรไม่ได้”
“นางสารเลว หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้!” หลี่ไคสืออยากจะขึ้นไปตบปากของฟางเถาเอ๋อร์เสียเหลือเกิน น่าเสียดายที่เขาถูกคนกดเอาไว้กับพื้นขยับเขยื้อนไม่ได้
“เจ้ามันเป็นชายไร้ประโยชน์ ข้ากล่าวอันใดผิดไปหรือ หากไม่เชื่อเจ้าก็จงนำไอ้สิ่งนั้นออกมาให้ทุกคนได้เห็น ดูเสียว่ามันหดเสียจนแทบจะไม่มีแล้วจริงหรือไม่…”