ตอนที่ 14 แผนการชั้นยอด ขนมปังข้าวโพดแลกเนื้อหมู
สามีของกุ้ยฮวาตายจากนางไปนานแล้ว ทำให้สองแม่ลูกอยู่กันอย่างน่าสงสาร หากสามารถช่วยเหลือนางได้ก็ควรจะช่วย อีกอย่างเมื่อถึงเวลานั้นอาซ้อฟางเพียงคนเดียวคงจะไม่เพียงพอในการเป็นลูกมือ นางคงไม่อาจอยู่แต่ในห้องครัวคอยดูแลเรื่องการทำอาหารได้ตลอด ดังนั้นการหาผู้ช่วยให้อาซ้อฟางสักคนคงดี
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงเอ่ยปากขึ้น “ซ้อกุ้ยฮวายินดีจะมาทำงานกับข้าไหม ข้าตั้งใจจะนำอาหารไปขายในเมือง แต่ละเดือนค่าจะให้ค่าตอบแทนหกร้อยอีแปะ”
“นั่นสิ! เจ้าจะได้ไม่ต้องปักลายผ้าแล้ว แต่ละวันยังได้อยู่กับหนีเอ๋อร์อีกด้วย อีกอย่างหนึ่งดวงตาคู่นั้นของเจ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่นานคาดว่าคงแย่แน่”
เมื่ออาซ้อฟางได้ยินว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะให้ค่าตอบแทนแก่ตนแปดร้อยอีแปะ แต่ให้คนอื่นเพียงหกร้อยอีแปะ จึงทำให้นางตื้นตันจนหันไปมองมั่วเชียนเสวี่ยแล้วรีบเอ่ยสนับสนุนขึ้นมาทันใด
“หกร้อยอีแปะจริงหรือ งั้นข้าไป” อาซ้อกุ้ยฮวาดูเหมือนจะไม่เชื่อ แม้นางจะลังเลอยู่บ้างเล็กน้อยแต่เมื่อได้ยินอาซ้อฟางสนับสนุนเช่นนั้นจึงได้ยอมตอบตกลงอย่างหนักแน่น
บัดนี้ดวงตาของนางแทบไม่ไหวแล้วจริงๆ มักจะทำผิดพลาดเสมอ แต่ละเดือนนางปักลายผ้าอย่างยากลำบากแต่ก็ได้ค่าตอบแทนมาไม่ถึงห้าร้อยอีแปะด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือ ต่อจากนี้นางจะได้ไม่ต้องเดินทางเข้าเมืองไปทำงานแล้ว ทั้งนางสามารถมีเวลาว่างพอที่จะดูแลหนีเอ๋อร์ เนื่องจากเจ้าหนูน้อยเริ่มโตแล้วและควรได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
หลังจากสนทนากันเรื่องทำอาหารไปสักพัก จากคำแนะนำของอาซ้อฟาง มั่วเชียนเสวี่ยจึงได้นำผ้าที่ซื้อกลับมาส่งให้อาซ้อกุ้ยฮวาบางส่วน เพื่อให้นางตัดเสื้อผ้าให้แก่ตนและหนิงเซ่าชิง
สตรีสามนางสนทนากันดุจละครบนเวที เสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาตลอดทางจนกระทั่งรถม้าเคลื่อนมาถึงหน้าหมู่บ้าน
บ้านของอาซ้อกุ้ยฮวาอยู่หน้าหมู่บ้าน นางถือผ้าสำหรับตัดชุดที่มั่วเชียนเสวี่ยมอบให้มาเมื่อครู่ลงจากรถไป
รถม้ามุ่งไปข้างหน้า ยังไม่ทันจะถึงหน้าบ้านดี ฟางต้าถังก็ได้ตรงเข้ามารอรับแล้วช่วยจูงม้าถือของ ก่อนจะเอ่ยถามอาซ้อฟางว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง เหนื่อยหรือไม่ ด้านอาซ้อฟางก็เก็บของพลางปัดฝุ่นออกจากตัวและเอ่ยถามถึงเรื่องในบ้าน…
เมื่อมองดูทั้งสองที่ดูแลถามไถ่กันเช่นนี้ หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันใด นี่อาจเป็นความรักที่เรียบง่ายแต่ช่างอุ่นใจยิ่งนัก
จู่ๆ นางก็เหลือบไปมองดูประตูบ้านของตนและพบว่ามีร่างอันสง่างามหนึ่งกำลังยืนอยู่ ในใจของนางพลันเต้นรัวขึ้นมา
การมีคนคอยเป็นห่วงเรานั้น มันรู้สึกดีเช่นนี้เอง
หนิงเซ่าชิงยืนอยู่ที่หน้าประตูพลางมองดูร่างบอบบางที่อยู่ข้างรถม้า ในใจก็พลันรู้สึกโล่งอก
นับแต่ที่มั่วเชียนเสวี่ยจากไป เขาก็มักจะออกมายืนหน้าประตูคอยมองดูซ้ายขวาเป็นระยะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยคาดหวังเพื่อรอพบใครมากเช่นนี้มาก่อน
มั่วเชียนเสวี่ยเดินถือสิ่งของตรงไปที่ประตูแล้วเอ่ยหัวเราะ “เซียนเซิง เหตุใดจึงมายืนอยู่ที่นี่เล่า”
แม้จะเป็นเพียงประโยคสนทนาง่ายๆ แต่หนิงเซ่าชิงรับรู้ได้ถึงความหมายแฝง เขาหน้าแดงระเรื่อพร้อมทั้งหัวใจที่เต้นโครมคราม แต่ประโยคที่ตอบกลับนั้นคือ “เหตุใดเจ้าจึงเพิ่งกลับมา ข้าหิวจะแย่แล้ว ยังไม่รีบไปทำอาหารอีก!”
ฝีเท้าของมั่วเชียนเสวี่ยชะงักลงเล็กน้อย ณ ขณะนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของนางแข็งทื่อลงทันควัน ความปลื้มปิติเมื่อครู่ละลายหายไปแปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นเข้าแทนที่
แต่อย่างว่า นางเป็นเพียงแม่ครัวคนหนึ่งมีประโยชน์เพียงแค่ทำอาหารเท่านั้นแหละ!
“ท่านขวางทางข้าอยู่ เชิญหลีกไป!” เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยตื่นขึ้นจากภวังค์ สีหน้าหงุดหงิด หอบห่อผ้าเดินเบียดหนิงเซ่าชิงที่ยืนอยู่ตรงประตูบ้านเข้าไปข้างในทันที ทิ้งให้ร่างสูงยืนงุนงงอยู่ตรงประตูเพียงลำพัง
แม้จะโมโหเพียงใด แต่นางก็ยังคงต้องทำอาหารดังเดิม
หลังจากเก็บสิ่งของที่ซื้อมาเสร็จสรรพ มั่วเชียนเสวี่ยก็มัวยุ่งอยู่ในครัว แต่เนื่องจากอารมณ์ครุกรุ่นเมื่อครู่ ระหว่างการทำอาหารจึงมีเสียงปังตอ เสียงกระทะดังโครมคราม ทำให้คิ้วทั้งสองของหนิงเซ่าชิงขมวดเข้าหากันตามจังหวะเสียงปึงปังที่ดังออกมาจากห้องครัวเป็นระยะ
ทั้งสองคนตกอยู่ในอารมณ์คุกรุ่นเสียจนไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีใครคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ข้าเห็นว่าประตูไม่ได้ปิดไว้ เรียกอยู่นานสองนานก็ไม่มีผู้ใดตอบรับจึงได้วิสาสะเดินเข้ามาเช่นนี้” ผู้ที่มาใหม่เดินเข้ามาแล้วกล่าวทักขึ้นที่หน้าประตูห้องครัว
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยได้ยินเสียงนั้น นางก็ตกตะลึงเล็กน้อยพลางเงยหน้ามอง เมื่อพบว่าคืออาซ้อจ้าวเอ้อร์ผู้ที่เคยดูแลครั้นนางเจ็บป่วย จึงได้แต่ฝืนยิ้มแห้งออกมา “ขออภัยด้วย เมื่อครู่ข้ากำลังวุ่นอยู่กับการหั่นผักจึงไม่ได้ยิน ไม่ได้พบกันเสียนานเชียวอาซ้อจ้าวเอ้อร์ มีเรื่องอันใดหรือ”
“แม่นางเดินทางเข้าไปในเมืองวันนี้หรือ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเดินทางเข้าไปในเมือง เกรงว่าเจ้าจะกลับมาไม่ทันเตรียมอาหาร กลัวว่าท่านอาจารย์หนิงจะหิวเอา ข้าจึงนำขนมปังข้าวโพดมาฝากเล็กน้อย แม้จะไหม้ไปบ้างบางส่วนแต่ก็สามารถทำให้อิ่มท้องได้”
อิ่มท้องหรือ ให้ตายสิ! ขนมปังข้าวโพดนี้อาจทำให้ฟันของนางหักก็เป็นได้ ตีให้ตายอย่างไรนางก็ไม่ขอยอมชิมอาหารนี้แน่
ครอบครัวของอาซ้อจ้าวเอ้อร์นี่ช่างฟันแข็งแรงกันเหลือเกิน!
แม้จะรู้สึกเช่นนั้น แต่อย่างไรเสียนางก็หวังดีจะทำเกินเหตุอย่างที่ว่าก็ไม่ได้ มั่วเชียนเสวี่ยได้แต่ถอนหายใจออกมายาวๆ พร้อมเอ่ยขอบคุณแล้วจำยอมรับไว้ นางวางขนมปังข้าวโพดซึ่งแข็งจนก้อนหินยังอายนั้นไว้ข้างๆ เตาอย่างไม่ให้ดูมีพิรุธ
เมื่ออาซ้อจ้าวเอ้อร์เห็นมั่วเชียนเสวี่ยรับขนมปังข้าวโพดไปแล้ว สายตานางก็พลันสอดส่องไปรอบๆห้องครัว เมื่อพบเข้ากับขาหมูส่วนท้ายเข้าพอดี “โอ้โห เจ้าซื้อเนื้อหมูมาด้วยหรือ”
เดิมที ขาหมูส่วนท้ายนี้มั่วเชียนเสวี่ยซื้อมาเพื่อเตรียมหมักเป็นแฮมจินหวา[1] ดัดแปลงเป็นอาหารชนิดใหม่ซึ่งนางตั้งใจจะปรุงด้วยสูตรของตนเอง
“กว่าจะได้เข้าไปในเมืองไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ข้าจึงได้ซื้อติดกลับมาด้วยน่ะ” มั่วเชียนเสวี่ยเมื่อเห็นนางมองขาหมูส่วนท้ายนี้ตาเป็นมันดุจเสือเห็นอาหารอันโอชะ จึงได้เอ่ยเสริมขึ้น “อาซ้อจ้าวเอ้อร์อยากนำกลับไปให้เด็กๆ กินแก้หายอยากสักน้อยหรือไม่”
“ได้อย่างไรเล่า เนื้อหมูไม่ใช่ของราคาถูกๆ ชั่งละหลายสิบตำลึงเชียว ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก!” แม้ว่าปากจะกล่าวออกมาเช่นนั้นแต่ดวงตาของนางกลับจ้องขาหมูไม่วางตา
คนผู้นี้ช่างเสแสร้งจริง หากว่าอยากกินก็บอกว่าอยากกินสิ มั่วเชียนเสวี่ยเหล่ตามองดูนางแล้วหัวเราะออกมา “ข้าเคยรบกวนซ้อที่ต้องคอยดูแลข้าอยู่ตั้งหลายวัน เดิมทีข้าก็ต้องการจะมอบของตอบแทนอยู่แล้ว พอดีจังหวะที่ซ้อเดินทางมาในวันนี้ช่วยนำเนื้อหมูกลับไปด้วยเถิด ข้าจะได้ไม่ต้องเดินทางไปเองอีกหน”
ไม่ว่าขนมปังข้าวโพดจะอร่อยหรือไม่ แต่นางก็ทำมาให้ด้วยใจ เพียงเนื้อหมูแค่ไม่กี่ชั่งอย่าได้หวงแหนไปนักเลย
มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวกับอาซ้อจ้าวเอ้อร์พลางจัดการผัดอาหารในกระทะต่อ แล้วหันมาคว้ามีดทำครัวพร้อมกับเอ่ยย้ำ “อย่าเกรงใจเลย เราล้วนเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน อาซ้อนำกลับไปด้วยเถิด”
เมื่ออาซ้อจ้าวเอ้อร์เห็นนางกำลังทำท่าจะหั่นเนื้อก็พลันร้อนรนขึ้นมา คล้ายกับกลัวว่านางจะหั่นมากไป ดังนั้นจึงแย่งมีดในมือของมั่วเชียนเสวี่ยมาพลางผลักนางไปยังตำแหน่งที่วางอาหารปรุงสุกแล้วเบาๆ
พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงดูเกรงอกเกรงใจ “หนิงเหนียงจื่ออย่าได้มัวแต่มาสนใจข้าเลย อาหารเหล่านี้ทำเสร็จแล้วจงรีบยกเข้าไปในบ้านเถิด ยามนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว หากกินอาหารเย็นชืดประเดี๋ยวจะปวดท้องเอา เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ในเมื่อเจ้ามีน้ำใจอยากจะแบ่งปันข้า ข้าเองก็จะไม่เกรงใจแล้วกัน แต่ขอข้าหั่นเองได้หรือไม่!”
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นท่าทางของนางเช่นนี้จึงไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อครู่หนิงเซ่าชิงกล่าวว่าเขาหิวเหลือเกิน อีกประเดี๋ยวท่านอาจารย์ผู้มีอารมณ์บูดก็จะหน้าบึ้งแล้ว
“เอาเถอะ เช่นนั้นอาซ้อจ้าวเอ้อร์เลือกเอาตามใจชอบ ไม่ต้องเกรงใจ ส่วนข้าขอนำอาหารไปให้เซียนเซิงก่อน”
วันนี้อาซ้อจ้าวเอ้อร์ดูแปลกๆ ไป แต่นางก็หาเหตุผลไม่พบว่าแปลกไปอย่างไรเพียงแต่รู้สึกสงสัยอยู่ในใจ เมื่อกล่าวจบมั่วเชียนเสวี่ยก็รีบยกถาดอาหารเดินออกไป มองซ้ายมองขวาก็ไม่พบว่าสิ่งมีค่าใดในห้องนี้หายไป
มั่วเชียนเสวี่ยเดินถือถาดอาหารเข้ามาในบ้านแล้วพบว่าหนิงเซ่าชิงกำลังอ่านหนังสืออยู่ นางจึงจัดโต๊ะอาหารพลางชายตาไปมองก็ต้องตะลึงงันเมื่อพบว่าหนิงเซ่าชิงถือหนังสือกลับหัว!
นางชะงักลงเล็กน้อยแล้วหัวเราะขึ้น
ชายหนุ่มผู้ชอบเรียกร้องความสนใจผู้นี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนไร้หัวใจเสียทีเดียว
นางเพียงหัวเราะออกมาเบาๆ แต่กลับทำให้หนิงเซ่าชิงงุนงง
ว่ากันว่าหัวใจของหญิงสาวยากแท้จะคาดเดา ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร! เมื่อตอนที่นางกลับมาเห็นได้ชัดว่านางยิ้มแย้มแจ่มใส แต่เมื่อเดินเข้าประตูกลับโมโหเสียขึ้นมาเสียดื้อๆ จากนั้นก็ระบายอารมณ์ตอนทำอาหารเสียงโครมคราม บัดนี้กลับหัวเราะขึ้นมาอีก อะไรกัน!
[1] แฮมจินหวา ขาหมูเค็มตากแห้งสูตรโบราณของชาวจีน