ยิ่งอันตราย เขาก็ต้องยิ่งลงมือด้วยตนเอง ยิ่งต้องสู้แล้วจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นต่อให้พวกเขาถอยไปจนถึงหมู่บ้านหวังจยาแล้วอย่างไรเล่า หากเป็นฝีมือของสองแม่ลูกอำมหิตนั่นจริงๆ ไม่แน่ว่าแม้แต่หมู่บ้านหวังจยาก็อาจจะถูกจัดการไปพร้อมกัน นั่นหมายถึงชีวิตหลายร้อยชีวิต!
“ขอรับ” แม้ภายในใจของอาอู่จะไม่ต้องการ แต่รู้ว่าในช่วงเวลาคับขันไม่สามารถขัดคำสั่งเจ้านายได้ ด้วยเหตุนี้จึงยกแส้ม้าขึ้น ย๊า
รถม้าพุ่งตรงออกไป ชนพวกคนสวมผ้าคลุมปิดหน้าจนกระจายตัวออกไป แต่ว่าพวกคนสวมผ้าคลุมปิดหน้ายังคงไม่หยุดหย่อน ไล่ตามมาติดๆ
นี่คือในป่าที่ไร้ผู้คน วิ่งไปไกลเท่าใดก็ไร้ประโยชน์ ขอเพียงพุ่งตัวออกไปให้หลุดจากการล้อมของพวกเขา เอารถม้าไว้ด้านหลังในที่ปลอดภัย ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นหมด
“เชียนเสวี่ย นั่งให้นิ่ง!” หนิงเซ่าชิงเป็นห่วงมั่วเชียนเสวี่ยกลัวว่านางจะล้มเหมือนก่อนหน้านี้ หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์ด้านนอกที่เกิดขึ้นก็ตะโกนบอกคนในรถม้าด้วยความเป็นห่วง “เชื่อฟังข้า ประเดี๋ยวต่อสู้กันขึ้นมา เจ้าอยู่ในรถม้า ห้ามลงมา และห้ามมองข้างนอก ข้าสัญญาว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”
รถม้าขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว แต่ความเร็วระดับนี้ ไม่ถึงขั้นทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตกใจ ความเร็วของรถม้าจะเร็วเพียงใด เทียบกับความเร็วของรถยนต์ได้หรือ
เมื่อก่อนตอนมีเวลาว่าง นางขับรถคันเล็กของตนด้วยความเร็วหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงบนทางด่วน เร็วกว่านี้มาก แน่นอน เป็นความจริงที่ว่ารถยนต์ไม่ได้สะเทือนเหมือนรถม้า
สำหรับคำพูดของหนิงเซ่าชิงที่กล่าวว่า ‘เจ้าอยู่ในรถม้า ห้ามลงมา’ นางรู้ตั้งแต่แรกแล้ว นางไม่มีวรยุทธ์ อีกทั้งท้องฟ้าก็มืดมิด นางจะไปที่ใดได้ ออกไปก็รังแต่จะเพิ่มภาระให้พวกเขา นางไม่ได้โง่
“เร็วเข้า คนในรถม้ายอยากจะหนี รีบสกัดกั้นพวกเขาเสีย ไม่จำเป็นต้องไว้ชีวิต…” หัวหน้าพวกคนสวมผ้าคลุมปิดหน้าเห็นรถม้าวิ่งด้วยความเร็ว เขาไล่ตามพร้อมกับร้องตะโกน
พวกคนสวมผ้าคลุมปิดหน้าที่อยู่ด้านหลังคล้ายฉีดเลือดไก่[1]เข้าไป ไล่ตามมาอย่างไม่คิดชีวิต ระหว่างนั้นยังมีคนลอบยิงธนูไปที่ม้าและรถม้า
“เจ้านาย ด้านหน้าคือเนินเขา ประจวบเหมาะปกป้องด้านหลังได้พอดีขอรับ” อาอู่ขับรถม้า พร้อมกับมองหาพื้นที่ที่เอื้ออำนวย ขับรถม้ามุ่งหน้าไปยังเนินทางด้านนั้น
อาซานเองก็ไม่ได้อยู่เฉย ธนูด้านหลังที่พุ่งไปทางม้าล้วนถูกเขายิงกลับไป ระหว่างนั้นได้ยินเสียงตกจากหลังม้าดังขึ้น
องครักษ์เงายืนอยู่บนรถม้า ปกป้องรถม้าเอาไว้ ป้องกันไม่ให้มีธนูดอกใดยิงเข้าไปในรถม้าแล้วทำให้นายท่านกับฮูหยินบาดเจ็บ
เพียงแต่ เขาฉงนเล็กน้อย… ลูกดอกธนูเหล่านั้นที่ยิงมาคล้ายอยากจะยิงม้าที่ลากรถม้า และล้อของรถม้า ไม่มีลูกธนูดอกใดยิงมาที่ตัวรถม้าเลย
นี่ไม่สอดคล้องกับคำพูดของหัวหน้าคนสวมผ้าคลุมปิดหน้าที่บอกให้สังหารคนในรถม้าสักนิด
“ทุกคน ฆ่ามัน! คนในรถม้าถูกวางยา ไม่อาจใช้วรยุทธ์ได้ อีกทั้งในรถม้ามีสตรีที่ไร้วรยุทธ์ ขอเพียงสังหารองครักษ์ของพวกเขา พวกเราก็ทำภารกิจสำเร็จแล้ว”
หัวหน้าพวกคนสวมผ้าคลุมปิดหน้าเข้าใจจิตวิทยาในการต่อสู้เป็นอย่างดี เพราะเพียงถ้อยคำเดียวของเขา ทำให้เหล่าคนสวมผ้าคลุมปิดหน้ากล้าหาญมากยิ่งขึ้น
อาอู่ยังไม่ทันได้จอดรถม้าสนิท อาซานก็กระโดดออกไป ต่อสู้กับคนเหล่านั้นที่ยืนกันเป็นกลุ่ม
เพียงเข้าใกล้ขึ้นอีกนิด ก็เท่ากับการริบเอาชีวิต เขาไม่อาจให้คนสวมผ้าคลุมปิดหน้าเหล่านี้เข้าใกล้รถม้าจนเกินไป มิเช่นนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะพลาดทำให้ฮูหยินบาดเจ็บ
อาซานเก่งกางเพียงใด สองหมัดยากจะต้านทานสี่ฝ่ามือ[2] เผชิญหน้ากับนักฆ่านับสิบที่โจมตีด้วยพละกำลังแข็งแกร่ง ตัวของเขาเต็มไปด้วยเลือดนักสู้อย่างรวดเร็ว
หนิงเซ่าชิงและองครักษ์เงาก็เข้าร่วมการต่อสู้ เพียงแต่ เห็นชัดว่าทั้งสองกับอาซานไม่ใช่ระดับเดียวกัน พวกคนสวมผ้าคลุมปิดหน้าแม้แต่ตัวก็ยังไม่อาจเข้าใกล้
มีชายผ้าคลุมปิดหน้าบางคนที่ไร้ความสามารถ ถูกพวกเขาจัดการในกระบวนท่าเดียว พวกคนที่เป็นยอดฝีมือ ถูกจัดการด้วยไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น
จากนั้น คนสิบกว่าคน คนหนึ่งสองสามกระบวนท่า ยามจัดการก็ต้องใช้เวลา อาภรณ์ของหนิงเซ่าชิงโบกสะบัดท่ามกลางคนสวมผ้าคลุมปิดหน้านับสิบ พลิ้วไหวขึ้นลง มีเลือดไหลออกมาจากตัวคนเหล่านั้นไม่หยุด ทว่า บนตัวของเขากลับไม่เปื้อนแม้แต่น้อย
ทุกคนล้อมหนิงเซ่าชิงเอาไว้แล้วโจมตีไม่หยุด ไม่มีผู้ใดไปราวีมั่วเชียนเสวี่ยที่อยู่บนรถม้า ด้านนอกรถม้ามีเสียงมีดดาบ เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น เสียงม้าคำรามเคล้าไปกับเสียงลม ราวกับเป็นนรกบนดิน
การต่อสู้ด้านนอกดุเดือดเพียงใด มั่วเชียนเสวี่ยไม่ต้องเปิดม่านก็รับรู้ได้ แต่ว่าตอนนี้นางไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ คนสวมผ้าคลุมปิดหน้าเหล่านี้ตายมากเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น ตายเร็วเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น
มิเช่นนั้น พวกเขาก็จะมีอันตราย
อาอู่นั่งอยู่ด้านหน้า กลัวมั่วเชียนเสวี่ยเป็นกังวล จึงพูดปลอบนางเป็นครั้งคราวด้วยคำพูดเช่น ‘ฝ่ามือของเจ้านายจู่โจมทั่วทั้งแปดทิศ’ แล้วก็เช่น ‘เจ้านายเหาะเหินขึ้นไปแล้วจัดการนักฆ่าที่โจมตีเข้ามา’
มั่วเชียนเสวี่ยฟังเสียงดาบ เสียงหายใจหืดหอบ เสียงใช้แส้ตีม้า…เสียงต่างๆ เหล่านี้ที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวและเลือดพลุ่งพล่าน แล้วฟังอาอู่บรรยายสถานการณ์เป็นครั้งคราว ความเป็นจริงนางอยากจะออกไปดู ดูการฆ่าและไล่ฆ่าที่แท้จริง
แต่ว่าสุดท้ายนางก็ไม่ได้ยื่นมือออกไปเปิดม่าน ตอนนี้นางคือคนอ่อนแอแบบฉบับที่แท้จริง ไม่มีแม้กระทั่งอาวุธ
หากคนสวมผ้าคลุมปิดหน้าคว้าดาบแล้วพุ่งมา นางทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น นางกลัวว่าเมื่อยื่นหน้าออกไปจะกลายเป็นเป้า นางไม่อยากเพิ่มภาระให้อาอู่ และทำให้หนิงเซ่าชิงไม่มีสมาธิ
คนเหล่านี้มาด้วยความเหี้ยมโหด เสียงดัง หน้าหลังทั้งหมดสามกลุ่ม รวมสี่สิบห้าคน เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ก็ถูกสังหารจนหมด
หัวหน้าพวกคนสวมผ้าคลุมปิดหน้าถูกองครักษ์เงาจับตัว องครักษ์ง้างฟันของเขาเอาไว้ ตอนที่หยุดยั้งไม่ให้เขาฆ่าตัวตาย มีลมพัดมา ต้นไม้และกิ่งไม้ในป่าพริ้วไหว รอให้องครักษ์เงาก้มหน้าลงมองอีกครั้ง คนผู้นั้นตายด้วยยาพิษไปแล้ว
หนิงเซ่าชิงมองไปทิศทางที่ลมพัดมา องครักษ์เงาหมุนตัว แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ด้านนอกเงียบลงกะทันหัน คิดว่าการต่อสู้ที่ดุเดือดจบลงแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยรีบเปิดประตูรถม้า
หนิงเซ่าชิงได้ยินเสียงทางด้านนี้ดังขึ้น ทะยานตัวมาหา ใช้ร่างบดบังการมองเห็นของมั่วเชียนเสวี่ย “อย่ามอง”
สิ่งเหล่านี้ ความโหดร้ายเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สตรีควรดู
แม้น้ำเสียงของหนิงเซ่าชิงจะอ่อนโยนอย่างมาก แต่รังสีสังหารบนตัวของเขาไม่ได้หายไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตกใจ
“ข้าจะดู…” หากแม้กระทั่งคนตายก็ยังไม่กล้ามอง เช่นนั้นอนาคตข้างหน้านางจะเผชิญหน้ากับการนองเลือดได้อย่างไร มั่วเชียนเสวี่ยดันตัวหนิงเซ่าชิงออกไปด้วยความดื้อรั้น แล้วมองออกไป
เวลานี้ถึงยามไฮ่[3]แล้ว ภายใต้แสงจันทราท่ามกลางหิมะ ท้องฟ้าไม่ได้มืดขนาดนั้น ท่ามกลางความมืด ภาพที่เห็นคือศพคนและศพม้าสีดำศพแล้วศพเล่า รวมถึงรอยเลือด ทั้งยังมีเท้าและแขนที่ถูกฟันขาด…
ตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากในโทรทัศน์ มั่วเชียนเสวี่ยไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน อย่าได้กล่าวถึงภาพเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองเช่นนี้เลย แม้จะเตรียมใจเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่นางก็อดไม่ได้อาเจียนออกมาในที่สุด
หนิงเซ่าชิงตบหลังให้นางอย่างเบามือ เหลือบมองอาซาน
อาซานและอาอู่มองหน้ากันแล้วเริ่มออกแรง…
หลังจากอาเจียน มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองหนิงเซ่าชิง “เป็นฝีมือของแม่ลูกใจเหี้ยมคู่นั้นหรือ”
เขามองมั่วเชียนเสวี่ยนแล้วตอบด้วยความมั่นใจอย่างมาก “ไม่ใช่ หากเป็นแม่ลูกคู่นั้น ไม่น่าจะส่งคนมาเยอะเช่นนี้ และไม่มีวันเป็นคนที่มีฝีมืออ่อนหัดเช่นนี้” เวลานี้สองแม่ลูกคู่นั้นกำลังตามหาเขาด้วยความขยันขันแข็งตามเบาะแสที่เขาหลอกไว้ ชั่วขณะหนึ่งไม่มีทางหามาจนถึงที่นี่ได้แน่
[1] ฉีดเลือดไก่ หมายถึง มีอาการคึกและกระปรี้กระเปร่า
[2] สองหมัดยากจะต้านทานสี่ฝ่ามือ หมายถึง คนหนึ่งคนไม่สามารถเอาชนะคนหนึ่งกลุ่มได้
[3] ยามไฮ่ หมายถึง เวลาประมาณสามทุ่มถึงห้าทุ่ม