หลังจากไล่ถงจื่อจิ้งออกไป ก็กลับไปที่ห้อง หนิงเซ่าชิงยังคงนอนหลับสนิท ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเป็นปม
น้อยครั้งที่หนิงเซ่าชิงจะนอนหลับสนิทเช่นนี้ คาดว่าคงจะเหนื่อยมากกระมัง! ไม่ได้ นางต้องบำรุงเขาเสียหน่อย มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดเพียงครู่ จึงเดินเข้าไปในโรงครัวด้วยตนเอง แล้วทำข้าวต้มให้หนิงเซ่าชิง
ตั้งแต่หนีจื่อมาทำงานกับนาง หากไม่มีเรื่องอะไรนางก็จะไม่ลงมือทำอาหารด้วยตนเอง
ข้าวต้มนั่นต้องลงแรงอย่างมาก นางใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามกว่าจะทำเสร็จ หลังจากนางทำข้าวต้มเสร็จ หนิงเซ่าชิงก็เพิ่งตื่น
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าเขาดูเหมือนไม่ค่อยกระปรี้กระเป่าเท่าใดนัก จึงกดเขาเอาไว้ไม่ให้เขาลุกจากเตียง จะป้อนเขาให้ได้
เขาไม่อยากนอนกินบนเตียง มั่วเชียนเสวี่ยจึงวางข้าวต้มเอาไว้ แล้วพยุงเขาขึ้นมาพิงบนตั่ง หันหลังจะไปหยิบผ้าห่มมาห่มให้เขา
หนิงเซ่าชิงเห็นว่านางยังยุ่งอยู่ จึงยิ้มแล้วดึงตัวนางมานั่งบนตักของเขา พูดด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าหิวแล้ว”
มั่วเชียนเสวี่ยอภัยให้เขาเพราะเมื่อวานเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป อีกทั้งวันนี้ยังดูไม่สดชื่น จึงป้อนให้เขากินด้วยความอ่อนโยน
เห็นเขากินอย่างอิ่มเอม ดวงตาคู่นั้นจดจ้องที่นางตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ มั่วเชียนเสวี่ยจึงอารมณ์ดีขึ้นมา ยิ้มแล้วเอ่ยถาม “รสชาติเป็นเช่นไรเจ้าคะ”
หนิงเซ่าชิงกินไปตั้งเยอะแล้ว ทว่ากลับตอบเพียงว่า ‘ใช้ได้’
“เพียงแค่ใช้ได้เท่านั้น?” ขณะพูด นางก็จะไม่ป้อนต่อแล้ว ข้าวต้มนี้ นางใช้เวลาทำนานกว่าหนึ่งชั่วยาม ใช้วัตถุดิบมากมาย ตุ๋นด้วยไฟอ่อนๆ กว่าจะได้ข้าวต้มนี่มา
แล้วจะดีเพียงแค่ใช้ได้ได้อย่างไร
หนิงเซ่าชิงเห็นนางทำปากมู่ทู่ ออดอ้อน จึงรีบยิ้ม “รสชาติดีมากๆ”
แบบนี้ก็ค่อยยังชั่ว มั่วเชียนเสวี่ยยกมุมปากขึ้น แล้วป้อนอีกหนึ่งช้อน ถามต่อ “ดีเช่นไรหรือ”
หนิงเซ่าชิงยื่นมือออกมา ลูบผมของมั่วเชียนเสวี่ย พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ทันทีที่กินข้าวต้มเข้าไป ทั่วทั้งร่างกายก็ผ่อนคลาย อาหารเลิศรสต่างๆ ล้วนไม่อาจเทียบกับข้าวต้มชามนี้ที่เสวี่ยเสวี่ยทำได้”
มั่วเชียนเสวี่ยดีใจเป็นอย่างมาก ตั้งอกตั้งใจป้อนเขาอีก
ทั้งสอง คนหนึ่งป้อน คนหนึ่งกิน อบอุ่นเป็นอย่างมาก คล้ายทิ้งเรื่องทุกข์ใจเมื่อวานไปจนหมดสิ้น
หลังจากหนิงเซ่าชิงกินอีกครึ่งชามใหญ่ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ได้กิน ด้วยเหตุนี้จึงพูด “เจ้าก็กินหน่อยสิ?”
“ไม่กิน ข้ากินแล้ว” ข้าวต้มนี้ล้ำค่ามาก ทั้งยังทำยาก นางทำเพียงหนึ่งชามเท่านั้น
หนิงเซ่าชิงได้ยินนางบอกว่ากินแล้ว จึงไม่ได้ยืนกรานให้นางกินอีก ปล่อยให้มั่วเชียนเสวี่ยป้อนข้าวต้มชามนี้ ดวงหน้าของเขาฉายรอยยิ้มที่มีความสุข คล้ายว่าอาหารเลิศรสบนโลกนี้ไม่อาจเทียบกับรสชาติของข้าวต้มชามนี้ได้จริงๆ
หลังจากเขากินจนหมด มั่วเชียนเสวี่ยก็เช็ดปากให้เขา เหยียดกายลุกขึ้นวางชามลง ยืนตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่นาน
ที่จริงนางอยากจะถามว่า ร่างกายของเขาเป็นเช่นไรบ้าง ที่จริงนางยังอยากจะถามอีกว่า พวกคนสวมผ้าคลุมหน้าเมื่อคืนมันคือเรื่องอะไรกันแน่ อีกทั้งนางอยากจะถามว่าเมื่อวานเขาเคลื่อนลมปราณมาให้นาง ส่งผลเสียต่อร่างกายของเขาหรือไม่…
แต่ว่า มือขวาของหนิงเซ่าชิงวางไว้บนตั่ง เอามือเกยคางด้วยความเกียจคร้าน ยิ้มบางๆ แล้วมองมาที่นาง นางจึงไม่อยากจะถามสิ่งใดอีก
เพียงลูบผมของหนิงเซ่าชิงที่ร่วงหล่นลงมาด้วยความปวดใจ “นับจากนี้ห้ามทำเช่นนี้อีกนะ”
“ห้ามทำสิ่งใด”
นางถลึงตามองไปที่เขา พูดตำหนิ “ห้ามไม่ดูแลร่างกายของตนให้ดีอย่างไรเล่า” แม้ว่านางจะเป็นไข้ รักษาตัวเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่ว่า…เขาเล่า หากอาการป่วยของเขากำเริบ เช่นนั้นนางก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะทำเช่นไร
“ต่อไปนี้จะไม่ทำเช่นนี้แล้ว” ตอนที่นางพูด หนิงเซ่าชิงคล้ายจะเห็นน้ำตาของนาง ความอบอุ่นหมุนเวียนในใจ จับมือของนาง ไขว้เอาไว้ด้านหลัง โอบเอวของนาง มุดหน้าไปที่ท้องของนาง ถูไปถูกมา คล้ายแมวน้อยกำลังออดอ้อนเจ้านาย
หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยอ่อนยวบราวกับดอกฝ้ายในทันที น้ำตาที่เมื่อครู่ยังไม่ทันได้ร่วงหล่นเวลานี้สลายหายไปแล้ว นางยื่นมืออกอมาลูบผมของเขาเบาๆ
หนิงเซ่าชิงถูไปถูกมาเช่นนี้ ราวกับอยู่ในอ้อมกอดของมารดา สัมผัสความอ่อนโยนที่ไม่เคยมีมาก่อน ทว่าทางด้านมั่วเชียนเสวี่ยกลับรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว
เขาถูท้องนางเช่นนี้ คล้ายในท้องของนางมีเปลวไฟ
นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่ายาปลุกกำหนัดนั่นยังไม่ถูกถอนเช่นนั้นหรือ
หรือว่านี่จะเป็น ความใคร่ของหญิงชราบริสุทธิ์นางหนึ่ง…
เอ่อะ
คิดไม่ออก จึงไม่อยากคิดอีก อะแฮ่ม มั่วเชียนเสวี่ยพูดเสียงแผ่วเบา “เซ่าชิง ท่านทำเช่นนี้…ท้องข้าคันยิ่งนัก”
ศีรษะของเขาหยุดนิ่งที่ท้องของนาง ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มั่วเชียนเสวี่ยสาบาน วินาทีนั้นนางเห็นรังสีอำมหิตจากแววตาของเขา
เพียงแต่ นางแสร้งทำเป็นไม่เห็น พูดเพียงว่าสีหน้าขอเขายังไม่ดีเท่าใดนัก กลัวจะเหนื่อย ต้องนอนพักให้มากๆ เร่งเร้าหนิงเซ่าชิงให้กลับไปนอนบนเตียง หนิงเซ่าชิงไม่อาจเถียงชนะนางได้ จึงจับมือนางแล้วไปนอนบนเตียงด้วยกัน
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยดูแลเขาจนนอนลง ตนกลับคลานลงจากเตียง หนิงเซ่าชิงไม่ยอม นางจึงบอกไปว่าเมื่อวานตอนอยู่บนรถม้าตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ วันนี้นางจะเข้าเมืองไปซื้อสาวใช้กลับมาสองคน หลังจากซื้อสาวใช้กลับมาแล้วค่อยมาอยู่กับเขา
หนีจื่อไม่อาจอยู่ที่เรือนตลอดทั้งวัน ตอนกลางคืนนางจะต้องกลับเรือนพร้อมอาซ้อกุ้ยฮวา ตอนนี้ในเรือนมีคนมากเช่นนี้ ลำพังนางเพียงคนเดียวไม่อาจทำไหว ต้องคอยร้องเรียกอาซ้อฟางไปนั่นมานี่ตลอด
แม้อาซ้อฟางจะไม่ว่าอะไร แต่นางรู้สึกเกรงใจยิ่งนัก
อีกทั้งยังมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น นางไม่ได้พูด หนิงเซ่าชิงก็รู้
ซึ่งก็คือ คราวหน้าเวลาออกจากเรือน ข้างกายมีคนอยู่ด้วย มีคนคอยช่วย ไม่ถึงขั้นหลงกลผู้อื่นด้วยความโง่เขลาเช่นนั้นอีก
ซื้อสาวใช้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เมื่อหลายวันก่อนหนิงเซ่าชิงบอกเรื่องนี้กับลุงอวี๋แล้ว ลุงอวี๋เลือกคนไว้แล้ว เพียงแค่รอให้มั่วเชียนเสวี่ยไปเลือก หากไม่ใช่เพราะเรื่องเมื่อวานทำให้ล่าช้า เกรงว่าวันนี้สาวใช้คงอยู่ปรนนิบัติในเรือนแล้ว
หนิงเซ่าชิงปล่อยมือมั่วเชียนเสวี่ย หลับตาลงครุ่นคิด นับตั้งแต่วันนี้ ชีวิตคงจะไม่เงียบสงบอีกแล้ว เขาต้องคิดให้ถี่ถ้วน
ความคิดของเขาในตอนแรกคือ หลังจากถอนพิษ เขาจะใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านหวังจยากับมั่วเชียนเสวี่ยอย่างสงบสุข ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีความสุขไปชั่วชีวิต จะไม่คิดถึงหน้าที่หนักหนาเหล่านั้นแล้ว ไม่คิดถึงกลอุบายต่ำช้าเหล่านั้นแล้ว แล้วยิ่งไม่ต้องไปเจอคนที่เขาเกลียดอีก
ขอเพียงทุกอย่างในเมืองหลวงเรียบร้อย คนผู้นั้นครองตำแหน่งอย่างมั่นคง รับรู้ว่าเขาไม่ได้ต้องการตำแหน่งนั้น เขาค่อยพามั่วเชียนเสวี่ยไปคำนับท่านพ่อ หลังจากนั้น หากท่านพ่อยินยอม เขาจะรับท่านกลับมาดูแลที่หมู่บ้านหวังจยา ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกันทั้งครอบครัว
ทว่า ความคิดนั้นเปี่ยมสุข ความเป็นจริงกลับน่าเศร้า
กระทั่งตอนนี้ ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว ขอเพียงเขาปล่อยข่าวออกไปเล็กน้อย สองแม่ลูกนั่นก็ราวกับเสือร้ายตะครุบกระต่าย ลงมืออย่างไร้ความปรานี ไม่มีทีท่าจะปล่อยวาง
อีกเรื่องหนึ่ง…คุณหนูห้าตระกูลเจี่ยนนับเป็นตัวอะไร กล้าเพ้อฝันถึงเขา? ทั้งยังกล้ารังแกมั่วเชียนเสวี่ย? วางแผนลอบทำร้ายมั่วเชียนเสวี่ย? เหตุผลมีเพียงข้อเดียวเท่านั้น… เพราะตอนนี้พวกเขาไม่มีฐานันดรศักดิ์!