มั่วเชียนเสวี่ยทำสีหน้านิ่งงันมองสาวใช้ที่กระโจนมาเมื่อครู่ “เมื่อครู่ผู้ใดกระโจนเข้ามา ไปยืนข้างๆ ให้หมด” จากนั้นหันไปมองสาวใช้ที่ไม่กระโจนเข้ามา ชี้ไปยังสาวใช้ที่อยู่ในแถวสิบกว่าคนเหล่านั้นแล้วพูด “พวกเจ้ามายืนทางนี้”
สาวใช้ที่เมื่อครู่กระโจนไปหามั่วเชียนเสวี่ยล้วนเสียใจ ทั้งยังมีอีกหลายคนที่เกือบจะร้องไห้ แต่ภายใต้การปรามด้วยสายตาแหลมคมของมู่หมัวมัว จึงไม่กล้าเคลื่อนไหวอีก
สาวใช้ที่ไม่ได้กระโจนเข้ามา ดวงตาทอประกาย
มั่วเชียนเสวี่ยนับเหลือทั้งหมดยี่สิบคน จึงพูดต่อ “พวกเจ้าคนใดทำอาหารเป็นยืนทางซ้าย คนใดเย็บปักถักร้อยได้ยืนทางขวา ผู้ที่รู้หนังสือยืนตรงกลาง”
สาวใช้ยี่สิบคนนี้ก็ยืนเข้าแถวเป็นสามแถวอย่างรวดเร็ว มีบางคนที่ชักช้า มั่วเชียนเสวี่ยไล่พวกนางออกไปทันที ตนยังไม่รู้ว่าตนทำสิ่งใดเป็น เช่นนั้นจะมีไหวพริบได้หรือ
คราวนี้ เหลือทั้งหมดสิบห้าคน
นางเดินไปยังแถวของสาวใช้ที่ทำอาหารเป็น กวาดตามองสาวใช้ “ยื่นมือออกมา”
แม้เสียงของมั่วเชียนเสวี่ยจะไม่ดัง ทว่าเคล้าไปด้วยความเยือกเย็น ไม่ได้ให้ความรู้สึกหวาดกลัว ทว่าให้คนรู้สึกเกรงขาม สาวใช้เหล่านั้นยื่นมือออกมาด้วยความกังวล
สตรีที่ฝ่ามือไม่สะอาด ซอกเล็บมีรอยดำ ยังจะคาดหวังให้นางทำอาหารที่ถูกสุขอนามัยได้อย่างไร เมื่อตรวจสอบเช่นนี้ สาวใช้ที่ทำอาหารเป็นเหลือเพียงสองคน
มั่วเชียนเสวี่ยถามคำถามที่คล้ายไม่ได้ใส่ใจ จากนั้นเก็บหนึ่งในนั้นเอาไว้
แววตาของสาวใช้คนนั้นตั้งตรง แค่มองก็รู้ว่ามีไหวพริบ มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกถูกชะตา
มั่วเชียนเสวี่ยใช้วิธีนี้กับสาวใช้ที่เย็บปักถักร้อยเป็น เลือกสาวใช้ที่ดูสะอาดสะอ้านเหนียมอายออกมา
สาวใช้คนนี้แม้จะมองดูแล้วสะอาดสะอ้านและเหนียมอาย ทว่าแววตาของนางกลับแหลมคม ทั้งยังฉายความใสซื่อ ดูเชื่อฟังและน่าเอ็นดู
อีกทั้ง เสื้อผ้าบนเรือนร่างของนางแม้จะเก่า ทว่าเสื้อผ้าส่วนที่ขาดรุ่ยนางซ่อมแซมด้วยลวดลายดอกไม้ ดูออกว่าเป็นคนที่ขยันในการใฝ่หาความรู้ เป็นสาวใช้ที่มีไหวพริบ
สำหรับสาวใช้คนที่รู้หนังสือ เป็นเพียงข้ออ้างของมั่วเชียนเสวี่ยเท่านั้น เมื่อครู่นางพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว สาวใช้ที่ยืนอยู่ในแถวรู้หนังสือ คล้ายจะมีความทะนงตน ทั้งยังมีบางคนซ่อนความเหลาะแหละและไม่มีมารยาทเอาไว้เป็นอย่างดี
หลังจากเลือกคนได้มั่วเชียนเสวี่ยก็หันไปมองมู่หมัวมัว เอ่ยถาม “สาวใช้สองคนนี้กี่ตำลึง”
มู่หมัวมัวทำการค้าทาสมาหลายปี สายตาเฉียบแหลม ความเป็นจริงนางให้ความสำคัญกับใบหน้าและนิสัยของสาวใช้ทั้งสองมาก อยากจะฝึกพวกนางอีกสักปี ไม่แน่ว่าอาจจะขายพวกนางไปเป็นสาวใช้ร่วมออกเรือนหรือว่าขายเป็นอนุภรรยาของชายชราก็เป็นได้ ไม่ว่าจะขายแบบไหนล้วนได้ราคาดี
เมื่อเห็นเช่นนี้ นางจึงลังเลไม่อยากขายเล็กน้อย
ลุงอวี๋มองออกว่ามู่หมัวมัวลังเล จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “มู่หมัวมัวเสียดายหรือ ผู้ที่แนะนำข้ามาคือพ่อบ้านจาง มาซื้อทาสที่ร้านเจ้าหลายรอบแล้ว เขาจึงแนะนำให้ข้ามา หากเจ้าชักช้าหาข้ออ้างไม่อยากขาย ข้าพาฮูหยินไปร้านอื่น เกรงว่าพ่อบ้านจางจะกลายเป็นคนแปลกหน้าของเจ้าเพราะเรื่องนี้”
มู่หมัวมัวได้ฟังว่าจะเสียลูกค้าเดิม รีบเก็บความเสียดายเอาไว้ พูดด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่อวี๋เข้าใจผิดแล้ว ข้ากำลังคิดว่าต้องขายราคาเท่าใดจึงจะเหมาะสม สาวใช้ทั้งสองข้าซื้อกลับมาด้วยเงินสิบตำลึง เห็นแก่หน้าพ่อบ้านจาง ข้าคิดเพิ่มคนละห้าตำลึงถือเป็นค่าเปลี่ยนมือ ทั้งหมดสามสิบตำลึง ดีหรือไม่”
ลุงอวี๋ส่ายหน้า “มู่หมัวมัว อย่าคิดว่าข้าทำการค้าสุราแล้วจะไม่รู้การค้าของพวกเจ้า สาวใช้เช่นนี้ซื้อมาอย่างมากก็ไม่ถึงห้าตำลึง เจ้าอบรมไปรอบหนึ่ง ก็คิดจะเพิ่มราคาหลายเท่า ไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าใดกระมัง”
มู่หมัวมัวถูกเปิดโปง ไม่รู้สึกรู้สา เพียงแค่พูดด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ได้ คนซื่อตรงไม่พูดอ้อมค้อม ราคาเดียวยี่สิบตำลึง ไม่ว่าอย่างไรเถ้าแก่อวี๋ก็ต้องให้ค่าเหนื่อยข้ากระมัง”
ลุงอวี๋หันไปมองมั่วเชียนเสวี่ย มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้าเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงตกลงราคากัน มู่หมัวมัวตวาดสาวใช้สองสามคนที่เศร้าสลดบอกให้พวกนางถอยไป หลังจากนั้นก็เข้าไปหยิบสัญญาค้าทาสของสาวใช้ทั้งสองคนออกมา
มั่วเชียนเสวี่ยจ่ายเงิน รับสัญญาค้าทาสเอาไว้ หลังจากนั้นก็พาสาวใช้ทั้งสองคนออกไป
สาวใช้ทั้งสองคนคุกเข่าลงคำนับด้วยความเคารพ หลังจากทำความเคารพระหว่างนายบ่าว ก็ตามมั่วเชียนเสวี่ยกลับไปยังโรงสุราทิงเฟิงเฉวียนด้วยความเหนียมอาย
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นสภาพของพวกนางแล้วรู้สึกสงสารอย่างมาก เสื้อผ้าอาภรณ์ซอมซ่อ สาวใช้ที่ทำอาหารเป็นซ่อมแซมเสื้อผ้าแล้วซ่อมแซมอีก ด้วยเหตุนี้จึงสั่งให้อาอู่ไปที่ร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปซื้อเสื้อผ้ากลับมาสองชุด
เป็นเพียงเสื้อสำเร็จรูปผ้าหยาบสองชุดเท่านั้น ทว่าสาวใช้ทั้งสองกลับมองด้วยดวงตาทอประกาย หลังจากทำความเคารพและกล่าวขออนุญาตก็รีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านในห้อง หลังจากนั้นก็เดินออกมาอย่างเรียบร้อย
ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งจริงๆ! หลังจากสาวใช้ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา ดูสะอาดสะอ้านขึ้นมา ดวงหน้าเกลี้ยงเกลา ทำให้มองแล้วยิ่งสบายตา
ลุงอวี๋อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า ชื่นชมฮูหยินของตนว่าสายตาเฉียบแหลม พูดด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินสายตาเฉียบแหลมจริงๆ ขอรับ สาวใช้สองคนนี้ดูไม่เลว เจ้านายต้องไม่รังเกียจแน่นอนขอรับ”
คนที่นางเลือก นางชอบก็พอแล้ว เกี่ยวอะไรกับนายของเขา
แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะบ่นเล็กน้อย ทว่าตนก็รู้สึกพอใจยิ่งนัก พูดถามไถ่สารทุกข์สุขดิบลุงอวี๋อีกสองสามประโยคก็พาสาวใช้ทั้งสองนั่งรถม้ากลับหมู่บ้านหวังจยา
กล่าวถึงอาซาน เขาลักลอบเข้าไปในจวนเจี่ยน พอสืบรู้เรือนพักอาศัยของคุณหนูห้าเจี่ยนชิงหวาแล้วลอบเข้าไป
เจี่ยนชิงหวากำลังหงุดหงิดอยู่ในห้องของตน แผนการเมื่อวานไม่เพียงแต่ไม่สำเร็จ ทั้งยังทำให้พี่รองตกลงมาจากหน้าต่างที่สูงเช่นนั้น รอให้นางไปถึงพี่รองก็ยังไม่ได้สติ
ล้มลงเช่นนั้น ซี่โครงเคลื่อนไปหมด หมอมาเคลื่อนกระดูกให้แล้ว เดิมทีหมอบอกว่าไม่เป็นเช่นไร ขอเพียงนอนพักฟื้นบนเตียงไม่กี่วันก็จะหายดี
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด พี่รองที่เมื่อคืนนอนหมดสติ ไม่อาจเคลื่อนไหวทั่วทั้งร่างกลับล้มจากเตียง นอนอยู่บนพื้นครึ่งค่อนคืน อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ไม่เพียงบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้ยังเป็นไข้สูง พูดละเมอตลอดเวลา
สาวใช้เหล่านี้คอยดูแลอย่างไรกัน!
หลังจากโมโห นางหยิบรองเท้าที่เก็บได้ในห้องหนังสือของคุณชายรองเจี่ยนเมื่อคืนขึ้นมา พูดพึมพำ “มั่วเชียนเสวี่ย แม้เมื่อวานเจ้าจะหนีรอดไปได้ ข้าก็มีวิธีจัดการเจ้าเช่นเดิม”
มีรองเท้าปักลาย ก็สามารถข่มขู่เจ้าได้เช่นเดียวกัน รองเท้าปักลายของสตรี มีวิธีใช้งานได้มากมาย หากใช้ให้ดี นางก็ไม่อาจหลบเลี่ยงโทษฐานคบชู้ได้เช่นเดียวกัน
ขอเพียงนางหวาดกลัว ไม่คอยเล่นเล่ห์อยู่ตรงกลาง เช่นนั้นเรื่องของตนต้องสำเร็จแน่นอน
ขณะที่นางกำลังถือรองเท้าด้วยความได้ใจ ด้านนอกมีคนกระโดดเข้ามา
เจี่ยนชิงหวาร้องตะโกนตามสัญชาตญาณ กรี๊ดด
อาซานไม่สนใจเสียงกรีดร้องของนาง เพียงโยนจดหมายที่เมื่อครู่ให้ซิ่วไฉ[1]ผู้ขายภาพอักษรให้นาง หลังจากนั้นก็ลอบออกไปจากจวนเจี่ยน
อาซานย่อมจำเจี่ยนชิงหวาได้ เมื่อคราวก่อนตอนอยู่เรือนตระกูลหนิง คนผู้นี้แหละที่ทำสีหน้าเหี้ยมโหดใคร่อยากจะโยนนางออกไป
[1] ซิ่วไฉ หมายถึง คนที่ผ่านการสอบระดับมณฑลของระบบเคอจวี่