เจี่ยนชิงหวาถือจดหมายฉบับนี้เอาไว้ นางดีใจยิ่ง
นี่…ท่านอาจารย์หนิงต้องเปลี่ยนใจแล้วเป็นแน่
สาวใช้และหมัวมัวได้ยินเสียงกรีดร้องของนาง รีบวิ่งเข้ามา “คุณหนู เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ”
เจี่ยนชิงหวารีบซ่อนจดหมายในมือเอาไว้ ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร เมื่อครู่คล้ายจะเห็นหนูวิ่งผ่านไป ทำให้ตกใจหมดเลย”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นบ่าวอยู่รับใช้คุณหนูที่นี่นะเจ้าคะ เผื่อหนูออกมาแล้วทำให้คุณหนูตกใจอีก…” หมัวมัวพูดปลอบคุณหนูของตน ทว่าภายในใจกลับลังเล หนูมาจากที่ใด ต้องเป็นเพราะสาวใช้พวกนั้นไม่ตั้งใจทำความสะอาด ประเดี๋ยวออกไปต้องทุบตีพวกนางแล้ว
เจี่ยนชิงหวาได้ยินหมัวมัวบอกว่าจะอยู่ที่นี่กับนาง จึงรีบโบกมือแล้วพูด “ไม่ต้อง หมัวมัวไปพักเถอะ เชียนหวานอนพักครู่หนึ่งก็พอ”
“เจ้าค่ะ” หมัวมัวเห็นแววตาของคุณหนูเคล้าไปด้วยรอยยิ้ม อารมณ์รื่นรมย์ยิ่งนัก นางรู้สึกสับสน
เมื่อครู่คุณหนูไปเยี่ยมคุณชายรอง ตอนกลับมาร้องไห้และเศร้าหมอง เวลานี้เห็นหนูหนึ่งตัว เห็นหนูนะ แต่ก็ยิ้ม สงสัยก็ส่วนสงสัย แต่หมัวมัวก็เชื่อฟังแล้วเดินออกไป
เมื่อหมัวมัวเดินออกไป เจี่ยนชิงหวารีบเปิดจดหมายด้วยความร้อนใจ เห็นเนื้อความในจดหมาย ‘เที่ยงวันพรุ่งนี้ ป่าท้อวัดหานซาน คลายความทุกข์ระทมจากความถวิลหา’
ท่านอาจารย์หนิงจะนัดเจอกับตน?! ประเสริฐ! ในที่สุดเขาก็เห็นความดีของตนแล้ว
คลายความทุกข์ระทมจากความถวิลหา! คาดว่าหลังจากลากันในวันนั้น ใจของเขาก็มีนาง เพียงแต่หนิงเหนียงจื่อพูดอะไรบางอย่าง จึงทำให้เขาเข้าใจผิด ด้วยเหตุนี้วันนั้นจึงได้ไม่พอใจตัวนางเช่นนั้น…
…..
กลับหมู่บ้านหวังจยาประมาณหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว ระหว่างทางมั่วเชียนเสวี่ยไม่คิดจะมองตากับสาวใช้ทั้งสอง ด้วยเหตุนี้ จึงตั้งชื่อให้สาวใช้ทั้งสอง ทว่าสาวใช้ทั้งสองกลับคุกเข่า พูดพร้อมกัน ‘ฮูหยินได้โปรดตั้งชื่อให้ด้วยเจ้าค่ะ’
มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิด คล้ายว่าในตระกูลใหญ่ล้วนมีกฎระเบียบเช่นนี้ จึงไม่กระมิดกระเมี้ยน เพียงแต่คิดมาครึ่งค่อนวันก็ยังคิดชื่อดีๆ ไม่ออก
เงยหน้าขึ้นมองทั้งสองที่เรียบร้อยและมีมารยาท นึกถึงคำสอนมากมายเกี่ยวกับนายและบ่าวของมู่หมัวมัว ครุ่นคิดเล็กน้อย ชี้ไปยังสาวใช้ที่ทำอาหารเป็น “เจ้าชื่อหมิงเย่ว์”
แล้วชี้ไปยังสาวใช้ที่เย็บปักถักร้อยเป็น “เจ้าชื่อไฉ่สยา”
เรามาแสดงเป็นองค์หญิงกำมะลอกันเถอะ ด้วยเหตุนี้ หลังจากพูดจบนางก็หัวเราะอย่างมีความสุข
หมิงเย่ว์และไฉ่สยาไม่รู้ว่าฮูหยินของตนหัวเราะอะไร หลังจากทั้งสองมองตากัน คุกเข่าคำนับ พูดพร้อมกัน “หมิงเย่ว์/ไฉ่สยา ขอบคุณฮูหยินที่ตั้งชื่อให้เจ้าค่ะ”
จากนั้น มั่วเชียนเสวี่ยก็ถามชาติตระกูลของทั้งสอง
สำหรับผู้ที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย ยิ่งรู้จักมากขึ้น ก็ยิ่งวางใจมากขึ้น
อีกทั้งพูดคุยกันมากขึ้น ก็จะเข้าใจนิสัยของคนผู้นี้ ก็จะมีความมั่นใจ วันข้างหน้าง่ายที่จะดูแล
หมิงเย่ว์อายุน้อยกว่าไฉ่สยาเล็กน้อย เพิ่งอายุสิบสองปี หลังจากที่มารดาของนางคลอดลูกติดต่อกันหกคน ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีน้องชาย ทว่าผู้ใดจะคาดคิดน้องชายสุขภาพอ่อนแอตั้งแต่เล็ก
มักจะล้มป่วย เพื่อหาเงินจ่ายค่ายาของน้องชาย ครอบครัวที่เดิมทีไม่ได้ร่ำรวยก็ขัดสน มักจะหิวโหยอดมื้อกินมื้ออยู่หลายครั้ง นานๆ ครั้งจะมีของดี แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ให้น้องชายบำรุงร่างกาย
เป็นจริงตามคำกล่าวที่ว่า ยิ่งจนยิ่งมีลูก ยิ่งมีลูกยิ่งจน!
พวกเขายืมเงินญาติมิตรและเพื่อนบ้านจนหมดแล้ว ในตอนหลังแม้กระทั่งปู่กับย่าเห็นคนในครอบครัวของพวกนาง ยังไม่ทันได้เอ่ยปากก็ล้วนเดินหนี
เมื่อเดือนก่อนน้องชายล้มป่วยอีกครั้ง ไม่มีเงินมารักษาน้องชาย เมื่อสิ้นหนทาง บิดาจึงทำใจเหี้ยมขายนางที่เป็นพี่สาวคนโตและน้องสาวคนเล็กทิ้ง
น้องสาวคนเล็กยังเด็กมาก อายุเพียงห้าขวบเศษเท่านั้น เมื่อหลายวันก่อนมีคนมาซื้อสาวใช้ ต่อรองราคาอยู่นาน ตินั่นตินี่ มู่หมัวมัวจึงยกน้องสาวของนางให้เขา
หมิงเย่ว์เล่าถึงตรงนี้ ไม่เพียงแต่ไม่โกรธเคืองความใจร้ายของบิดามารดา นางกลับร้องไห้สงสารน้องสาวที่อายุน้อยแค่นี้ก็ไม่มีคนดูแลแล้ว
บิดามารดาของไฉ่สยาตายก่อนวัยอันควร จึงใช้ชีวิตอยู่กับพี่ชายและพี่สะใภ้ตั้งแต่เล็ก พี่สะใภ้ละโมบโลภมากเห็นแก่ทรัพย์ จะให้นางแต่งงานแล้วเป็นเถียนฝัง[1]ของเศรษฐีชราในท้องที่
เศรษฐีชราอายุหกสิบกว่าปีแล้ว หลานของเขาอายุมากกว่านางเสียอีก ยังไม่พูดถึงเรื่องนี้ เศรษฐีชรายังนอนซมอยู่บนเตียงไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ปากพูดว่าแต่งงาน แต่ความเป็นจริงคือแต่งแก้เคล็ด
หากโชคร้าย แก้เคล็ดแล้วกลับตาย ไม่แน่ว่าอาจจะต้องตายตามไปด้วย
แน่นอนว่านางย่อมไม่ยอม คืนนั้นนางจึงหนีทันที
มั่วเชียนเสวี่ยคิดไม่ถึงว่า เด็กสาวที่มีดวงหน้าสะอาดสะอ้านและเหนียมอาย จะกล้าหนีงานแต่งงานได้ คนเราไม่อาจตัดสินกันด้วยหน้าตา น้ำทะเลไม่อาจตวงวัดได้ ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
หลังจากหนีอยู่หลายวันตอนที่คนในครอบครัวจับนางกลับไป ก็พบว่าได้พลาด ‘วันมงคล’ แล้ว เศรษฐีชราสิ้นใจ พี่สะใภ้ใจร้ายที่เห็นลาภลอยหายไป จึงขายนางทันที
พี่ชายของนางเป็นคนซื่อๆ ในเรือนมีหลานชายหลานสาวมาก บ่อยครั้งที่แม้แต่ข้าวก็กินไม่อิ่ม จะมาสนใจนางได้อย่างไร วันที่ขายนาง พี่ชายของนางไม่แม้แต่จะเหลือบมองนาง
ทั้งสองเล่าชีวิตของตนเอง แม้จะไม่ได้ร้องไห้โอดครวญ ทว่าน้ำตารินไหลนองหน้า สะอึกสะอื้น
เป็นไปตามคำโบราณที่ว่า ‘ความสุขนั้นเหมือนกัน ทว่าความโชคร้ายของแต่งละคนนั้นต่างกัน’
ชาติตระกูลของทั้งสองเรียบง่ายมาก ไม่ได้ถูกขายไปขายมา ทั้งยังจิตใจใสซื่อ ในเวลาเดียวกันที่มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกสงสาร นางก็รู้สึกวางใจ
เช็ดน้ำตาให้พวกนาง มั่วเชียนเสวี่ยพูดปลอบโยน “หมิงเย่ว์ ไฉ่สยา หลังจากนี้พวกเจ้าคือสาวใช้คนสนิทของข้า ขอเพียงตั้งใจทำงาน ข้ารับปากว่าพวกเจ้าจะได้กินอิ่มและได้สวมเสื้อผ้าอบอุ่น ไม่ต้องโชคร้ายถูกขายอีกแล้ว”
“ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ” ทั้งสองพูดแล้วจะคุกเข่า ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยปรามเอาไว้ นางไม่มีความเคยชินที่จะให้คนคุกเข่าให้ตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีมารยาทก็พอแล้ว ทำเกินไปกลับกลายเป็นรู้สึกแปลกๆ
มั่วเชียนเสวี่ยห้ามปรามการคุกเข่าของทั้งสอง พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “พวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องกลัว หลังจากนี้พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน เมื่ออยู่กันนานวันเข้า พวกเจ้าก็จะรู้ว่า ข้าไม่ใช่คนที่ปรนนิบัติรับใช้ยาก ขอเพียงตั้งใจทำหน้าที่ในส่วนของตนให้ดีก็พอแล้ว”
หมิงเย่ว์และไฉ่สยารับคำ “เจ้าค่ะ” ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก เพียงนั่งสะอื้นอยู่ตรงนั้น
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ปลอบโยนอีก บาดแผลบางอย่างร้องไห้แล้วก็ดีขึ้น แต่บาดแผลบางอย่างต้องใช้เวลาในการลืม
หัวใจของมนุษย์มีเลือดเนื้อ เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า ตนดีกับพวกนาง พวกนางผูกพันกับตน ย่อมภักดีต่อตน
เมื่อว่างเว้นไม่มีสิ่งใดให้ทำ นางจึงเปิดผ้าม่าน มองออกไปนอกรถม้า
ผ่านวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง อากาศแปรผันเป็นอบอุ่น แสงแดดแดงระเรื่ออยู่บนท้องฟ้า หิมะเริ่มละลาย
ในที่สุดหิมะก็เริ่มละลายแล้ว แสงแดดทองอร่ามกระทบหิมะเผยให้เห็นลวดลายสีทองหนึ่งชั้น มั่วเชียนเสวี่ยอารมณ์ดีมากยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ถึงสองวัน หุบเขานั่นของนางก็สามารถเริ่มทำตามแผนที่วางไว้ได้แล้ว
ตอนหิมะละลาย ถนนหนทางลื่นยิ่งกว่าตอนหิมะตก รถม้าขับเคลื่อนช้าๆ แต่เพราะตลอดทางไม่ได้แวะที่ใด ตอนกลับไปถึงหมู่บ้านหวังจยา เพิ่งเป็นเวลาเที่ยงตรงซึ่งเป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี
ตอนรถม้าไปถึง หนิงเซ่าชิงยืนเงยหน้าอยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ประตูเรือน คล้ายความคิดของเขาได้ไปจากความขุ่นมัวของโลกใบนี้ จิตใจล่องลอยไปไกลแสนไกลอย่างไรอย่างนั้น…
สีหน้าของเขาไม่หม่นหมองเหมือนตอนเช้า คิ้วที่ขมวดเป็นปมก็คลายลงแล้ว ร่างผอมและสูงโปร่ง ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ดูสง่างามและนิ่งสงบ ยามลมหนาวพัดผ่าน ผมสีนิลลอยขึ้น เมื่อสยายลงคล้ายกำลังร่ายรำอยู่ท่ามกลางสายลม
[1] เถียนฝัง หมายถึง สรรพนามเรียกผู้หญิงที่แต่งงานกับพ่อหม้าย