นางวางใจแล้ว ตอนนี้นางชื่นชอบในโรงงานซีอิ๊ว และโรงงานน้ำส้มสายชู ไม่ได้ทำงานเพื่อหาเงินอีกต่อไป แต่ว่าส่วนหนึ่งก็เพราะมีใจรักในการสร้างอาชีพอีกส่วนหนึ่งก็เพราะสนใจในอาหารเลิศรส
แม้ว่านางจะลงมือทำอาหารเหล่านั้นด้วยตนเอง และในสายตาหนิงเซ่าชิงถือเป็นอาหารที่รสเลิศที่สุด ทว่า ถ้าไม่มีซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูใช้ปรุงอาหาร รสชาติก็เหมือนจะขาดอะไรไป มันมักจะทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
ในยุคปัจจุบันมั่วเชียนเสวี่ยเป็นตัวแทนของบริษัทที่ขายสินค้าซึ่งมีซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูสองสามยี่ห้อ
ในการผลิตน้ำส้มสายชูจะทำได้รวดเร็วกว่าการทำซีอิ๊วเล็กน้อย ยี่สิบถึงสามสิบวันก็ออกจากโรงงานได้แล้ว แน่นอนว่าน้ำส้มสายชูยังต้องหมักจนได้ที่ ยิ่งหมักนานยิ่งหอม
น้ำส้มสายชูที่บ่มเพียงยี่สิบถึงสามสิบวันแล้วออกจากโรงงานได้เป็นเพียงน้ำส้มสายชูที่เกรดต่ำที่สุด มีกลิ่นน้ำส้มสายชูทว่ายังไม่หอมพอ รสชาติที่ยังกรุ่นอยู่ในปากล้วนต่างอยู่เล็กน้อย
วัตถุดิบหลักที่ใช้ทำน้ำส้มสายชูคือข้าวเหนียวคุณภาพสูง วัตถุดิบประกอบคือรำข้าว แกลบ เกลือ น้ำตาล
พอได้วัตถุดิบมาแล้วก็แช่ข้าวเหนียว พอนึ่งเสร็จแล้วใส่ส่าเหล้า ค่อยใช้ส่าเหล้าหมักรำข้าวสาลีและแกลบก็จะได้น้ำส้มสายชูหมัก ค่อยเติมเกลือและจิ๊กโฉ่ว สุดท้ายยังต้องแช่และต้มน้ำส้มสายชูถึงจะสิ้นสุดกระบวนการผลิต
พูดไปแล้วขั้นตอนการทำน้ำส้มสายชูก็ถือว่าง่าย ทว่าการทำตามขั้นตอนจริงๆ กลับซับซ้อนมาก
ก่อนอื่นต้องแช่ข้าวเหนียว จำเป็นต้องแช่เมล็ดข้าวไม่ให้ขาว ในช่วงฤดูหนาวมักจะแช่ 12 ชั่วยาม ฤดูร้อน 7 ชั่วยาม ฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง 9-10 ชั่วpม
จากนั้นก็ตักออกมาใส่ตะกร้า ใช้น้ำสะอาดล้างซ้ำๆ เมื่อสะเด็ดน้ำแล้วก็นึ่ง จำเป็นต้องให้สุกดี ไม่ไหม้ไม่ติดหม้อ ไม่สุกๆ ดิบๆ จากนั้นจึงเอาข้าวที่นึ่งออกมาก็ใช้น้ำเย็นเทใส่ให้มันเย็นลง ฤดูหนาวสูงสุด 30 องศา ฤดูร้อน 25 องศา จากนั้น พอผสมด้วยส่าเหล้าก็บรรจุในขวดรูป ‘V’ ค่อยใช้ฟางปิดผนึกปากขวด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนและระมัดระวังเรื่องการรักษาอุณหภูมิ…
เพราะเงื่อนไขในยุคโบราณนั้นแตกต่างจากยุคปัจจุบัน ทั้งยังไม่มีคนงานที่มีทักษะ มั่วเชียนเสวี่ยชี้ให้เห็นก่อนแล้วว่า ลูกน้องพวกนั้น ใช้ศัพท์เฉพาะทางด้านมากเกินไป ดังนั้นจึงทำให้สื่อสารกันไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ท้ายที่สุดมั่วเชียนเสวี่ยก็ต้องทำเอง ทำการสาธิตให้ดูก่อน แล้วค่อยแนะนำ ดูแลควบคุม อุณหภูมิที่แตกต่าง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะ ไม่มีเครื่องวัดอุณหภูมิ นางต้องใช้มือทดสอบอุณหภูมิอยู่เรื่อยๆ
ดังนั้น ขณะที่ทำน้ำส้มสายชู มั่วเชียนเสวี่ยจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในโรงงาน
ถงจื่อจิ้งเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่กลับไปจึงได้ย้ายกลับไปที่เรือนตระกูลถงอีกครั้ง แบบนี้แล้ว เมื่อใดที่อยากเจอมั่วเชียนเสวี่ยก็จะได้มาหาได้อย่างสะดวก
และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เมื่อวันก่อนหนิงเซ่าชิงได้พูดคุยกับจี้ซวี่เหยาเป็นครั้งคราวทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ หนิงเซ่าชิงได้กล่าวอ้อมๆ ว่า หากตระกูลจี้อยากหวนคืนสู่อำนาจ ทำได้เพียงรอให้ถงจื่อจิ้งมีอำนาจ และหากอยากให้ถงจื่อจิ้งมีอำนาจ เขาจำเป็นต้องกลับมายังตระกูลถง เตรียมพร้อมเริ่มการรับช่วงกิจการบางอย่างต่อถึงจะเป็นสิ่งที่ควรจะทำ
จี้ซวี่เหยาผู้นี้ย่อมรู้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงเตือนถงจื่อจิ้งหากเขาต้องการอิสระจริงๆ ต้องการปกป้องคนที่เขาอยากจะปกป้อง เช่นนั้นก็จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่ง จำเป็นที่จะต้องรู้สถานการณ์ของผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นให้ชัดเจนที่สุด อีกทั้งยังต้องเข้าใจเหตุการณ์ ต้องเชี่ยวชาญ ท่านผู้เฒ่าถงย่อมจะดีใจกับข่าวดีที่คาดไม่ถึงนี้ แม้ว่าถงจื่อจิ้งจะไม่สนใจเขา แค่เพียงได้เห็นเขาวนเวียนอยู่รอบตัวทุกๆ วัน รู้ว่าเขาอยู่ในลานบ้าน เขาก็โล่งใจแล้ว
ตามที่พ่อบ้านบอกว่าถงจื่อจิ้งต้องการทำสิ่งใด ก็ให้เขาไปทำเถิด อย่างไรก็ตามต่อไปตระกูลถงนี้ก็ต้องเป็นของเขา เขาต้องการดูแลก็ทำไม่ได้ เขาไม่อยากจะได้ยินเสียงชามแตกที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอีก
หนิงเซ่าชิงเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยยุ่งมาก เลยปล่อยให้นางไปตั้งกระโจมที่หุบเขา ขยายร้านน้ำชาออกไปสองสามแห่ง เถ้าแก่โรงสุราล้วนก็ถูกเรียกตัวกลับมาแล้ว เพื่อแนะนำให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้จักทีละคนทีละคน
ในเมื่อทรัพย์สินเหล่านี้จะเป็นของเขา เช่นนั้น คนที่จะใช้ย่อมเป็นคนที่เขาสามารถเชื่อใจได้อย่างแน่นอน
เจ้านายไปกันหมดแล้ว หมิงเย่ว์และไฉ่สยาก็ย่อมจะตามมาด้วย เหลือไว้เพียงหนีจื่อให้คอยเฝ้าเรือนภายในหมู่บ้านหวังจยา
ตอนนี้ หมู่บ้านหวังจยาอยู่ในสถานะที่รุ่งเรือง เป็นสถานที่ที่มีความคึกคักมาก
ตอนนี้ไม่ได้ขายเต้าหู้ให้ไป๋อวิ๋นจวีแล้ว อีกทั้งไป๋อวิ๋นจวีก็กำลังจะมีโรงงานเต้าหู้เป็นของตัวเอง มั่วเชียนเสวี่ยย่อมจะไม่อาจจะนั่งรออยู่เฉยๆ ได้
ด้วยเหตุนี้จึงให้อาซ้อฟางวิ่งวุ่นเรื่องนี้ให้ในหมู่บ้าน ไม่ได้ให้นางทำงานในโรงงาน แต่ให้เอาเต้าหู้จากในโรงงานไปเร่ขายตามถนนและหมู่บ้าน
กิจการดำเนินไปได้ด้วยดี หนึ่งเดือนต่อมาสร้างร้ายได้ไม่น้อยไปกว่ารายได้จากโรงงาน แม้ว่าจะเหนื่อยสักหน่อย แต่ก็ทนได้เพื่ออิสระ
มั่วเชียนเสวี่ยส่งข่าวให้กับภัตตาคารทุกๆ แห่งอีกครั้ง แน่นอนว่ารถม้าของภัตตาคารแต่ละแห่งล้วนเร่งรีบกันมา มาสั่งจองเต้าหู้กันทุกวัน ทั้งเต้าหู้ธรรมดา และเต้าหู้แห้ง
คนที่ไป๋อวิ๋นจวีส่งมาเรียนรู้การทำเต้าหู้ไปแล้ว ตอนนี้อาซ้อฟางก็ไม่ได้อยู่ทำงานในโรงงานแล้ว อยู่ตรงลานด้านหน้าของโรงงานก่อนที่จะสร้างกระท่อมไม้อีกหลังเพื่อการขายโดยเฉพาะ
ตอนนี้ผู้ที่คอยดูแลในโรงงานหลักๆ แล้วก็จะเป็นอาซ้อกุ้ยฮวา แน่นอนว่าจะต้องรับแรงงานมาเพิ่มสองสามคน ดังนั้นกิจการนี้มีคนอิจฉาอย่างแน่นอน เพียงแค่มีซินอี้หมิงคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง มีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเจี่ยนในเขตเทียนเซียงแห่งนี้ก็ไม่มีใครกล้ามาวางอุบายอะไรเพื่อให้ได้สูตรจากโรงงานของนางแล้ว
และถึงแม้ว่าจะกล้าวางอุบาย ตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่เก็บมาใส่ใจ เพียงแค่กล้าเข้ามาขอซื้อ นางก็จะขายให้ในราคาที่สูงก็พอ
กิจการงานแกะสลักที่หวังเทียนซงดูแลก็ไม่เลว ทุกๆ เดือนสามารถออกผลงานมาได้หนึ่งถึงสองแบบ อย่างน้อยๆ ซินอี้หมิงก็พอใจ ภายใต้คำแนะนำของหวังเทียนซง ร้านแกะสลักก็รับเด็กฝึกงานสี่คนแล้ว
ทุกอย่างเป็นไปตามทางที่ถูกที่ควร ล้วนรุ่งเรืองเฟื่องฟูยิ่งๆ ขึ้น
วันนี้น้ำส้มสายชูในโรงงานชุดแรกก็บ่มเสร็จแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยชิมดู แม้จะรู้สึกว่าบ่มได้ไม่นานพอ แต่กลิ่นฉุนๆ นั่นได้ออกมาแล้ว กลิ่นหอมก็ออกมาด้วย มีความสุขเสียจนนางยิ้มหน้าบานเฉ่ง
หลังจากชิมแล้ว นางก็เอาน้ำส้มสายชูมา ใช้ทำผักดองรสเปรี้ยวให้หนิงเซ่าชิงชิมอีก
คิ้วของหนิงเซ่าชิงขยับแรงอีกครั้งอย่างที่คาดไว้ บอกตามตรงว่ามันเรียกน้ำย่อย
มั่วเชียนเสวี่ยเมื่อได้ยินคำชมของเขา ก็หัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ตลอดเวลา อันที่จริงแล้วของพวกนี้เขาเคยกินมาหลายครั้งแล้ว เพียงแต่นางไม่รู้ก็เท่านั้นเอง
เรื่องที่เขาเคยกินน้ำส้มสายชูน่ะนะ แทบจะไม่ค่อยมีใครรู้กันหรอก
มั่วเชียนเสวี่ยที่นั่งอยู่ตรงข้ามหนิงเซ่าชิง จ้องมองเขาที่กำลังทานอาหารด้วยความคิดลามกฟุ้งซ่าน หนิงเซ่าชิงเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นดวงตาที่เป็นประกายของนางที่มองมา เขางุนงง ไม่นาน สิ่งที่เขาอยากทานก็เปลี่ยนไป
เปลี่ยนไปเป็นความงามที่อยู่เบื้องหน้า…
ดังนั้นหนิงเซ่าชิงจึงสัมผัสมือนางเบาๆ พลางกะพริบตาแล้วพูดว่า “เชียนเสวี่ย เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยถูกจับได้ในขณะที่กำลังคิดลามก จึงรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย พลางกระแอมเบาๆ นางพูดไม่ได้อยู่แล้ว นางกำลังคำนวณว่าเขากินน้ำส้มสายชูไปกี่เหยือกกันแน่ หนิงเซ่าชิงเห็นว่าจู่ๆ นางก็หน้าแดงเล็กน้อย กลับเข้าใจผิดเสียแล้ว
ใจของเขาสั่น ไม่ว่าผู้ชายคนไหนที่เห็นคนรักของตนเองมองตนเองด้วยสายตาที่ลุ่มหลง ในใจล้วนต้องรู้สึกหวานซึ้ง “เสวี่ยเสวี่ย มานั่งทางนี้สิ”
มั่วเชียนเสวี่ยพอได้ยินเขาเรียกเสวี่ยเสวี่ย ใจก็เต้นตึกตักตึกตักเล็กน้อย นี่มันเป็นจังหวะของความเสน่ห์หา
นางกระมิดกระเมี้ยนเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เดินไปนั่งลงอยู่ข้างๆ เขา
อย่างที่คาดไว้
มือของหนิงเซ่าชิงลูบไล้ไปที่บ่าของนางพลางนวดเบาๆ “เสวี่ยเสวี่ย ลำบากเจ้าแล้วนะ”
หนิงเซ่าชิงพูดมันออกมาจากใจ เขารู้สึกชื่นชมนางจริงๆ พวกเขาไม่ได้ขาดเงิน แต่ว่า เพื่อโรงงานนี้มั่วเชียนเสวี่ยกลับยุ่งเสียจนไม่รู้คืนวัน…