ในใจหนิงเซ่าชิงคิด
คนที่รู้แต่วิธีการคำนวณทรัพย์สินผู้อื่นทั้งวันเหล่านั้น สตรีบ้านเชินที่คิดแต่ว่าจะทำเรื่องสกปรกอย่างไรโดยไม่ให้ผู้อื่นพบเห็น ไม่ควรค่าพอที่ถือรองเท้าให้เสวี่ยเสวี่ยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่า ในช่วงที่มั่วเชึยนเสวี่ยยุ่งอยู่นี้ เขาเองก็ไม่ได้อยู่เฉย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงงาน หรือการบริหารจัดการคนงาน ทั้งยังมีการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ และกระจายสินค้าและบริการอีก ที่โรงงานสามารถเป็นระเบียบเช่นนี้ได้ ล้วนเป็นความดีความชอบของเขา
หนิงเซ่าชิงลูบไหล่ของมั่วเชียนเสวี่ยเบาๆ ทว่านางกลับเกร็งหลัง ยามปกติก็ถูกยั่วยวนอย่างนั้นอย่างนี้ และปกติแล้วก็มักจะถูกสิ่งนั้นสิ่งนี้หยุดเอาไว้ โดยปกติก็มักจะถูกชายหนุ่มรูปงามลูบไล้ที่กายแต่ก็ไม่อาจกินได้ ตอนนี้นางจึงรู้สึกคันยุบยิบไปทั้งเนื้อทั้งตัว
ดังนั้น ในขณะที่ลูบไล้นางจึงตอบกลับไปอย่างไม่รู้ตัว “อืม”
มือที่เรียวบางของหนิงเซ่าชิงวางพาดไว้บนบ่าที่ของมั่วเชียนเสวี่ย มันสามารถโอบไหล่นางได้หมด เขาบีบนวดนางหนักบ้างเบาบ้าง ราวกับปั้นตุ๊กตาดินเผาอย่างไรอย่างนั้น
สักพัก เสียงของเขาก็ดังลอยเข้าไปในหูของมั่วเชียนเสวี่ยอีกครั้ง “ข้าต้องการเจ้า”
มั่วเชียนเสวี่ยใจเต้นแรงอีกครั้ง เป็นเวลานานกว่าจะพูดออกมาได้สักคำ “อืม” แม่เจ้าโว้ย ต้องการแล้วจะมีประโยชน์อะไร เขาก็รีบแก้พิษสักทีซิ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่านางจะถูกเขาทำให้ติดลมบน
มั่วเชียนเสวี่ยนแอบโกรธ จึงลงมือโดยไร้ความเมตตา จี้ไปที่เอวของหนิงเซ่าชิงอย่างรุนแรง
เมื่อหนิงเซ่าชิงรู้สึกเจ็บที่เอว เขาจึงปล่อยมือที่โอบ มั่วเชียนเสวี่ยกำลังจะยืนขึ้น ทว่าหนิงเซ่าชิงกลับโอบไหล่นางอีกครั้ง ดึงตัวนางเข้ามาอยู่ในอ้อมอกของเขาอีกครา คางของนางแนบลงชิดที่อกของเขา ได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักตึกตัก
มั่วเชียนเสวี่ยขัดขืนอีกครั้ง ขัดขืนอย่างไรก็ขยับมิได้จึงได้ใช้ฟันกัดลงไปที่หน้าอกของเขา ได้ยินเพียงเสียงของหนิงเซ่าชิงคร่ำครวญเพียงเล็กน้อย และแขนทั้งสองของเขาก็โอบกอดตัวนางไว้แน่นกว่าเดิม มั่วเชียนเสวี่ยนั่งอยู่บนขาของเขาพลางดิ้นรน พลางขัดขืน
นางได้ยินเสียงหัวใจของตนดังตึกตักเหมือนเสียงตีกลอง มองทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าด้วยใจที่ล่องลอย
นางเริ่มดึงสติกลับคืนมา มั่วเชียนเสวี่ยหยิกไปที่ต้นขาด้านในของเขาอย่างแรง
ได้ยินเสียง ซี้ด อ้อมกอดที่แน่นอยู่นั้นก็ได้คลายลง มั่วเชียนเสวี่ยรีบจัดเสื้อผ้าที่หนิงเซ่าชิงดึงจนยับให้เป็นระเบียบพลางจ้องมองไปที่เขา
หนิงเซ่าชิงกลับยิ้มอ่อน ทั้งยังโน้มตัวลงไปจุ่มพิตลงที่ข้างแก้มของนางพลางสูดลมหายใจเข้าลึก “ภายภาคหน้าข้าจะเอาคืนให้สาสม”
ยามนี้ หมิงเย่ว์กับไฉ่สยาได้ไปที่โรงงานเพื่อบรรจุน้ำส้มสายชูลงไหเล็กสองไหแล้วนำกลับตามคำสั่งของมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว
เมื่อเห็นว่าหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยนั้นแดงมากจึงได้เอ่ยถามออกไป “เหตุใดใบหน้าของฮูหยินถึงแดงเช่นนี้เจ้าคะ”
ใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยยิ่งแดงมากยิ่งขึ้น ทำอะไรไม่ถูก อดที่จะยิ้มออกไม่ได้
หนิงเซ่าชิงกลับยิ้มเบาๆ เพียงแค่เปลี่ยนมาคุยเรื่องอื่น “ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว อากาศอบอ้าวกว่าเดิมขึ้นทุกวัน ฮูหยินของพวกเจ้าคงจะแค่ร้อน ไฉ่สยาได้เตรียมเสื้อชั้นเดียวให้ฮูหยินของพวกเจ้าแล้วหรือยัง”
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าเขาหน้าหนาขึ้นทุกวัน ไม่อยากสนใจเขา เรียกหมิงเย่ว์กับไฉ่สยาให้มาเอาน้ำส้มสายชูสองไหนั่นไป แล้วเรียกให้อาอู่เร่งขับรถม้าไปที่ร้านอาหารเชียนมั่วบนท่าเรือ
ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยมา ก็เป็นเวลาทานอาหารเที่ยงพอดี กิจการในร้านดีมาก อวิ๋นอิ๋นกำลังง่วนอยู่กับการคิดเงิน เสี่ยวเหลยก็ยุ่งอยู่กับการทักทายแขก มั่วเชียนเสวี่ยเดินไปยังแผนกต้อนรับเอง แน่นอนว่าหมิงเย่ว์และไฉ่สยาก็ตามไปด้วย
ในร้านอาหารมีอยู่สองคนที่ดูเหมือนองครักษ์ พอเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยเข้ามา หลังจากมองดูแล้ว ก็ต่างมองหน้ากันอย่างรู้สึกไม่แน่ใจ ทั้งสองจึงหยิบภาพม้วนออกมาจากด้านในอก
มองภาพพลางมองไปที่มั่วเชียนเสวี่ยพลาง องครักษ์สองคนนั้นต่างพยักหน้าให้กัน ข้าวก็ไม่กิน วางเงินลงที่โต๊ะแล้วก็รีบร้อนออกไป หวังเสี่ยวเหลยตามไปเก็บเงิน สองคนนั้นเพียงทิ้งเงินพิเศษเอาไว้ให้ และควบม้าออกไป
แต่ทำให้หวังเสี่ยวเหลยมีความสุข นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนที่ไม่ทานอาหารแต่กลับให้เงินมากมายถึงเพียงนี้
ต้องขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยที่มา นำพาโชคลาภมาให้เขา ทั้งยังกล่าวชมหมิงเย่ว์กับไฉ่สยาว่างดงามยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อีก
ตั้งแต่ที่มาอยู่ในครอบครัวหนิง หมิงเย่ว์กับไฉ่สยาทั้งได้กินและได้ดื่ม มั่วเชียนเสวี่ยไม่เคยทุบตีหรือดุด่าพวกนางเลย ร่างกายของพวกนางย่อมจะมีน้ำมีนวลขึ้นเป็นธรรมดา สีหน้าก็ดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
พอได้ยินคำชมของหวังเสี่ยวเหลย พวกนางทั้งสองต่างก็หัวเราะคิกคักกันพลางก้มหัวลง
มั่วเชียนเสวี่ยรู้ว่าหวังเสี่ยวเหลยเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ทั้งยังไม่ก่อปัญหาอะไร นางจึงยิ้มพลางกล่าว “ไปๆๆไม่มีการงานให้ทำแล้วหรืออย่างไร เรื่องหยอกเย้าหมิงเย่ว์กับไฉ่สยาก็เพลาๆ ลงหน่อยเถิด”
เสี่ยวเหลยที่ถูกมั่วเชียนเสวี่ยว่าก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ เขาลูบศีรษะทั้งยังหัวเราะคิกคักแล้วจากไป ไม่ใช่จะโชคดีเช่นนี้ทุกวัน ได้พบเจอกับแขกที่ใจกว้างถึงขนาดนี้ ดีจริงๆ
อาหารโต๊ะนั้นแทบจะไม่ได้แตะเลย รอจนถึงตอนกลับก็จะมีอาหารที่จะนำกลับไปแล้ว เพิ่มเป็นอาหารมื้อเย็นกินที่บ้าน เมื่อเดินไปถึงที่โต๊ะ เสี่ยเหลยก็หยิบชามสองสามใบ แล้วแบ่งอาหารที่อยู่บนโต๊ะออกเป็นสามส่วนเทลงจานเรียบร้อย
เถ้าแก่เนี้ยพูดไว้ว่า เพียงแค่แขกทานไม่หมด ถ้าพวกเขาอยากจะเอากลับไป ก็สามารถนำกลับไปได้ทั้งหมด เขาแบ่งเป็นสามส่วน มีของเขา ของจวี๋เหนียงและของอาซ้ออวิ๋นพอดี โดยปกติอาซ้ออวิ๋นจะไม่ขัดแย้งกับพวกเขา
รอจนกินข้าวเที่ยงเสร็จ ในร้านอาหารมีเพียงลูกค้าไม่กี่คนเข้าออกร้านประปราย
ในห้องครัวก็ว่างงานกัน มั่วเชียนเสวี่ยจึงเข้าไปที่ห้องครัวเล็กของร้านอาหารแล้วลงมือทำผักดองและผัดเปรี้ยวหวานด้วยตัวเองสองสามอย่าง เรียกอวิ๋นอิ๋น เสี่ยวเหลย หมิงเย่ว์และไฉ่สยาสี่คนนั้นให้มาชิมเมนูใหม่ ทำให้ทำทั้งสี่คนกินจนแทบจะกลืนกินลิ้นตัวเองเข้าไปด้วย
อวิ๋นอิ๋นเคยอยู่อาศัยในครอบครัวที่ร่ำรวยมาก่อน นางวางตะเกียบลงก่อนคนแรก เม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยถาม “เถ้าแก่เนี้ย อาหารชามนี้ใส่อะไรลงไปกันแน่เจ้าคะ เหตุใดถึงได้ทั้งหอมทั้งเปรี้ยวและเรียกน้ำย่อย ทำให้คนเมื่อทานไปแล้วก็อยากจะทานอีก”
ในตอนนี้นางตกอับหลายปีแล้ว ถึงแม้ในปีนั้นนางจะอยู่ในเรือนของจวนใหญ่ ก็ไม่เคยได้ทานอาหารที่รสชาติแปลกใหม่และชุ่มคอเช่นนี้
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้ม “อาหารสองสามอย่างนี้ที่มีรสชาติเปรี้ยวชัดเจนเช่นนี้ก็เพราะว่าใส่น้ำส้มสายชูลงไป”
เสี่ยวเหลยก็วางตะเกียบลงเช่นกัน มีสีหน้าแปลกใจ “น้ำส้มสายชู? คือเครื่องปรุงรสที่ผลิตในโรงงานเช่นนั้นหรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มตอบ “ใช่แล้ว! หากเติมซีอิ๊วลงไปเพิ่ม รสชาติก็จะดียิ่งขึ้น”
จวี๋เหนียงเป็นคนที่พูดน้อย เพียงหมกมุ่นอยู่กับการชิมอาหารไปพลาง พยักหน้าชมเชยว่าอร่อยไปพลาง
อวิ๋นเหนียงจื่อกลับประหลาดใจมาก “รสชาติยังดีกว่านี้ได้อีก? สวรรค์! มันฝรั่งหั่นเต๋านี้แค่เติมน้ำส้มสายชูเล็กน้อย ก็เปรี้ยวเช่นนี้ หากเติมซีอิ๊วรสชาติก็จะดียิ่งขึ้น มันจะไม่รสชาติดีกว่าเนื้อสักเล็กน้อยแล้วหรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย “ก็แน่อยู่แล้ว” เมนูอาหารในยุคปัจจุบันมีมากมาย นางยังไม่แสดงออกมาให้เห็นหมดเลย แม้ว่านางจะไม่ใช่แม่ครัว แต่ก็ทานอาหารมาทั่วเมืองจีนแล้ว ทั้งยังทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องปรุงมาโดยตลอด อาหารสูตรเฉพาะย่อมไม่ใช่อาหารธรรมดา
อวิ๋นอิ๋นกล่าวต่อ “เถ้าแก่เนี้ย น้ำส้มสายชูนี้วิเศษมาก! อาหารเมนูใหม่เหล่านี้จะต้องได้รับความนิยมอย่างแน่นอน”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่จะได้รับความนิยม จำนวนลูกค้าในร้านจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน มั่วเชียนเสวี่ยจึงกล่าวขึ้นมาด้วยความจริงใจ “ถึงเวลานั้นถ้างานยุ่งขึ้นมา ก็ลำบากพวกเจ้ากันแล้วนะ”
เสี่ยวเหลยกล่าว “เถ้าแก่เนี้ย กล่าวเกินไปแล้ว”
จวี๋เหนียงกับอวิ๋นเหนียงจื่อพูดพร้อมกัน “มันเป็นเรื่องที่พวกเราควรทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
อวิ๋นอิ๋นก็กล่าว “เรื่องเหล่านี้เป็นหน้าที่ของอวิ๋นอิ๋นอยู่แล้ว อวิ๋นอิ๋นยังต้องขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยที่ให้ความไว้วางใจและเห็นคุณค่าของอวิ๋นอิ๋น