ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ เขาคอยสังเกตุการณ์อยู่ที่ท่าเรืออยู่ตลอดเวลา
บางที เขาคิดว่ามันไม่มีค่าพอที่จะไปดู หรือบางที เขาแค่ไม่กล้าไป
เพียงแค่ไม่เห็นคนผู้นั้น เขาสามารถทำให้ใจตนเองไม่มีตราบาปนั้นตลอดไปได้ ถึงขั้นที่เขายังสามารถหลอกตัวเองได้ ว่าคนผู้นั้นไม่มีตัวตนตั้งแต่แรก
ทว่า ตอนนี้เขากลับต้องยอมรับความจริงนี้ เขาต้องการปลุกให้นางตื่นขึ้นมาจากความฝัน เขาอยากช่วยนาง
ตระกูลมั่วไม่ยอมรับสามีที่ฐานะต้อยต่ำของนางอยู่แล้ว ตระกูลเฟิงของเขาก็ไม่อาจรับสตรีที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วมาเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลได้
เขาอยากพานางกลับไป เขาอยากให้เรื่องทั้งหมดนี่ ถูกฝังเอาไว้ที่นี่ตลอดไป
ตลอดไป ตลอดไป…
เห็นได้ชัดว่าสตรีสองคนนี้หาหนักใจอะไรมากเท่าเขา เพียงแค่ได้ยินว่า จะพาพวกนางไปพบคุณหนู ใบหน้าของพวกนางก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นแล้ว
องครักษ์ทั้งสองเป็นคนนำทาง สตรีสองคนนี้ตามหลังไปติดๆ ส่วนคนที่ขี่ม้ารั้งท้ายอยู่คือเฟิงอวี้เฉิน
ทั้งห้าคนควบม้าจากท่าเรือตรงไปยังหมู่บ้านหวังจยา
ตอนย่ำรุ่ง หนีจื่อก็มาแล้ว อยู่ช่วยหมิงเย่ว์ทำอาหารอยู่ในครัว
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
หนีจื่อออกไปเปิดประตู ยังเห็นใบหน้าคนที่มาได้ไม่ชัด สตรีสองคนก็บุกเข้ามาในลานบ้านแล้ว
หนีจื่อถอยหลังไปสองสามก้าว ขวางสองคนนั้นไว้แล้วเอ่ยถาม “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงได้บุกเข้ามาในลานบ้านของคนอื่นตามใจชอบเช่นนี้”
สตรีในชุดแดงก้าวไปข้างหน้าแล้วดึงตัวหนีจื่อออกไปอย่างไม่เกรงใจพลางกล่าว “พวกข้าคือ…”
สตรีในชุดเหลืองที่อยู่ข้างๆ กลับยื่นมือออกไปจับมือของสตรีชุดแดงเพื่อหยุดนางเอาไว้ ขยิบตาให้สตรีชุดแดงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้องขออภัยด้วย น้องสาวท่านนี้ พี่สาวคนนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแต่นางเป็นคนที่ค่อนข้างจะใจร้อนไปเสียหน่อย น้องสาวโปรดอย่าได้ถือสาเลย”
หนีจื่อเหลือบมองไปที่สตรีชุดแดงเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยถามสตรีชุดเหลือง “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่”
“พวกเราคือสาวใช้คนเก่าของเจ้านายของพวกเจ้า…รบกวนน้องสาวช่วยไปแจ้งเจ้านายของพวกเจ้าให้ออกมาพูดคุยกับข้าสักหน่อยเถิด…” สตรีชุดเหลืองตื่นเต้น น้ำเสียงอ่อนน้อมถ่อมตนมาก แม้ว่าตอนนี้คุณหนูจะจำพวกนางไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่อาจทำให้คนที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายคุณหนูขุ่นเคืองใจได้
ระหว่างทาง พวกนางก็ได้รู้สถานการณ์ของมั่วเชียนเสวี่ยอย่างคร่าวๆ จากปากของเฟิงอวี้เฉินมาบ้างแล้ว
ระหว่างทาง พวกนางทั้งสองก็รู้สึกปวดใจ ทั้งกระวนกระวายใจและกล่าวโทษตนเอง
คุณหนูถูกคนฉุดไปแต่งงานตามอำเภอใจเช่นนี้ได้อย่างไร คุณชายเฉินจะทำเช่นไร จะอธิบายต่อนายท่านและฮูหยินอย่างไร แล้วจะอธิบายให้แม่นมเข้าใจอย่างไรดี
หนีจื่อได้ยินพวกนางบอกว่าเป็นคนรับใช้เก่า ในใจก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ การแต่งกายของสองคนนี้ ดูไม่เหมือนสาวใช้เลย แต่พอลองคิดดูอีกที ถ้าไม่มีเรื่องอะไรใครจะมาบอกว่าตัวเองเป็นสาวใช้กันเล่า ดังนั้นจึงกล่าวออกไป “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ประเดี๋ยวข้าจะไปแจ้งนางให้”
จะพบหรือไม่พบพวกนาง ให้ท่านน้าหนิงเหนียงจื่อพูดเองก็พอ นางแค่ต้องไปแจ้ง
หนีจื่อเข้ามาในลานเล็ก แล้วเข้าไปที่เรือนด้านใน
สตรีชุดแดงสะบัดมือออกจากมือของสตรีชุดเหลืองพลางกล่าว “จะพูดกับคนบ้านนอกให้มากความไปทำไม เจ้ายังกลัวว่าเมื่อพบคุณหนูแล้วนางจะจำพวกเราไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ”
“เจ้าพูดเบาๆ หน่อย…” สตรีชุดเหลืองกล่าวเตือน
“เจ้าดูสิ ที่นี่มันดูเหมือนสถานที่ที่ให้คนพักได้เสียที่ไหน ทั้งผุพังและเก่า อากาศรอบด้าน…” สตรีชุดแดงพูดไปพลางน้ำตาจะไหลไปพลาง “คุณหนูผู้น่าสงสาร ครึ่งปีกว่ามานี้ไม่รู้ว่าต้องเผชิญกับความทุกข์ยากเพียงใด ข้าล่ะปวดใจ…”
สตรีชุดเหลืองกวาดสายตามองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ ก็ขมวดคิ้ว ทว่านางก็ยังคงนิ่งสงบ ในใจก็อยากพูดแต่ยังรักษาท่าที ไม่เหมือนกับสตรีชุดแดงที่พูดความรู้สึกออกมาหมดเลย
สตรีชุดแดงที่พูดอยู่ ราวกับนึกอะไรได้ จึงพูดออกมาอย่างรุนแรง “จะต้องเป็นกลุ่มคนพวกนี้แน่ๆ เห็นว่าคุณหนูตัวคนเดียว รังแกคุณหนู กักขังคุณหนูเอาไว้ที่นี่ พวกเราช่วยพาคุณหนูออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
“สืออู่…” สตรีชุดเหลืองหยุดนางไม่ให้พูดอะไรต่อไป
สตรีชุดแดงที่ถูกสตรีชุดเหลืองเรียกว่าสืออู่ก็มองไปตามสายตาของนาง หนีจื่่อออกมาแล้ว นางก็เลยหุบปาก
“พวกเจ้าตามข้าเข้าไป”
ทั้งสองมองหน้ากัน เดินตามหลังหนีจื่อไป เข้าสู่บริเวณลานด้านหลัง
มั่วเชียนเสวี่ยกำลังออกกำลังกายอยู่กลางลานบ้าน หนีจื่อก็ได้พาทั้งสองคนเข้ามาแล้ว
เมื่อวานนี้ที่เฟิงอวี้เฉินมาพบนาง นางก็ฝันเช่นนั้นแล้ว ก็ยิ่งคิดว่าสถานะของเจ้าของร่างเดิมเปิดเผยออกมาแล้ว เรื่องแบบนี้ อยากจะหลบซ่อนก็คงซ่อนไม่ได้แล้ว ถึงแม้นางจะไม่อยากกลับไปเป็นเจ้าของร่างคนเดิม แต่ก็ยังต้องรู้ความเป็นมาของเจ้าของร่างเดิมให้กระจ่าง
มิฉะนั้น ความฝันของเมื่อวานก็ยังคงวนเวียนไปมาอยู่อย่างนี้ทำให้รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก
มีชีวิตอยู่แล้ว ก็จงอยู่อย่างมีความสุข
เมื่อหันหน้าไปมอง ก็เห็นสตรีที่งดงามสง่าผ่าเผย ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยเป็นประกาย แอบชื่นชมอยู่ในใจพลางยิ้มกล่าว “พวกท่าน…”
สตรีสองนางนึกถึงตอนที่ ฮูหยินมอบหมายให้พวกนางดูแลคุณหนู แม้นคุณหนูจะกลายเป็นเถ้าถ่านพวกนางก็ยังคงจดจำได้พอเห็นมั่วเชียนเสวี่ยหันมา เพียงแค่สายตานั้นก็นางทั้งสองคนก็คุกเข่าลงไปที่พื้น น้ำตาเอ่อล้นออกมา “คุณหนูเจ้าคะ ชูอี/สืออู่ มาช้าไป”
มั่วเชียนเสวี่ยลูบหน้าผาก คนโบราณก็เป็นเสียแบบนี้ ยังไม่ทันพูดอะไรให้กระจ่างก็คุกเข่าลงเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงเข้าไปพยุง “พวกเจ้าอย่าทำเช่นนี้ รีบลุกขึ้นมาเถิด ดูเหมือนว่าข้าจะไม่เคยพบเจอพวกเจ้ามาก่อน…”
ไม่ใช่ว่านางอยากจะแสร้งทำเป็นความจำเสื่อม ทว่านางก็ทำได้เพียงแสร้งสูญเสียความทรงจำเท่านั้น พวกนางก็ล้วนมาถึงเรือนชานกันแล้ว นางจะยังหลบซ่อนอยู่ได้อย่างไร
หากขืนบอกไปว่าตนเองจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้ ไม่ใช่คนที่พวกนางตามหา ไม่รู้จักพวกนาง เกรงว่าจะยิ่งไม่สมเหตุสมผลไปกันใหญ่ ไม่แน่สุดท้ายแล้วนางอาจจะถูกเผาจนตายเพราะถูกเข้าใจว่าเป็นปีศาจ
อีกอย่าง หากถึงเวลานั้นพ่อแม่ของเจ้าของร่างเดิมมาตามหา นางยังจะต้องบอกว่าไม่รู้จักอีกหรือ ใช้ร่างของผู้อื่นแล้ว อย่างไรก็ต้องตอบแทน
ยิ่งไปกว่านั้น สตรีสองคนนี้ นางมองดูแล้วรู้สึกคุ้นตามาก เหมือนกับว่าเคยว่าเคยพบเห็นในฝันอย่างไรอย่างนั้น
พอชูอีและสืออู่ได้ยินว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้จักพวกนาง ก็เหมือนถูกฟ้าผ่าลงมาทันที คุกเข่าอยู่เช่นเดิมไม่ยอมลุกขึ้นมา
ชูอีร้องไห้โอดครวญ “คุณหนู ท่าน…จำชูอีไม่ได้จริงๆหรือเจ้าคะ”
สืออู่ก้มหน้า “คุณหนู ท่านโทษที่สืออู่มาช้าไปใช่ไหมเจ้าคะ”
ทั้งสองคนคุกเข่าลงที่พื้น พลางคลานเข่าไปข้างหน้า คนหนึ่งกอดขาซ้ายของมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ อีกคนหนึ่งก็กอดขาขวาของมั่วเชียนเสวี่ยไว้เช่นกัน แม้คำพูดของทั้งสองจะไม่เหมือนกัน ทว่าน้ำเสียงกลับสะอื้นไห้เหมือนกัน
แม้ว่าระหว่างทางได้ฟังคุณชายเฉินเล่ามาบ้างแล้วว่าตอนนี้คุณหนูได้สูญเสียความทรงจำไปแล้ว จำอะไรไม่ได้เลย แต่ว่าหากไม่เห็นด้วยตาของตนเอง ในใจก็ยังแอบหวังว่าจะมีโชคเพียงเล็กน้อย พวกนางคอยดูแลรับใช้อยู่ข้างกายคุณหนูมาตั้งแต่เล็กๆ แม้ว่าคุณหนูจะจำใครไม่ได้ แต่ไม่น่าจะลืมเลือนพวกนางไปด้วย
ตอนนี้ได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยพูดเองว่าไม่รู้จักพวกนาง ในใจก็รู้สึกรับความจริงนี้ไม่ได้ในทันที ทั้งเจ็บปวด วิตกกังวลและกลัว
ทั้งสองคนกอดขาของมั่วเชียนเสวี่ยร้องไห้โอดครวญพลางเงยหน้า น้ำตาคลอเบ้ามองไปที่มั่วเชียนเสวี่ย ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง หวังว่าในตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้จิตใจของพวกนางหม่นหมองก็คือ ไม่มีความคุ้นเคยใดๆ ปรากฏอยู่ในดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยแม้แต่น้อย
มั่วเชียนเสวี่ย “…”
ชูอี? สืออู่? ชื่อของสองคนนี้แปลกมากจริงๆ[1]
เพียงแต่ ทั้งสองเอาแต่คุกเข่าอยู่เช่นนี้ จะพูดกันให้รู้เรื่องได้อย่างไร อีกอย่าง ร้องห่มร้องไห้แบบนี้ ความสง่างามผ่าเผยเมื่อครู่นี้หายไปไหนหมดแล้วเล่า
ลองช่วยพยุงอีกครั้ง!
สองคนนี้ดื้อรั้นมาก พอเห็นว่าเชียนเสวี่ยจำพวกนางไม่ได้ ก็คุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้น
[1] ชูอี คือวันตรุษจีน สืออู่ คือวันที่ 15 เดือน 1 เป็นเทศกาลหยวนเซียว