“คุณหนูตื่นตระหนกเกินไป เลยหมดสติไปชั่วขณะหนึ่ง”
“ทำข้าตกอกตกใจไปหมด เช่นนั้น…รอให้คุณหนูฟื้นขึ้นมา พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าสินะ” สืออู่ลูบไปที่อกพลางกล่าว
สีหน้าของชูอียังคงนิ่งสงบ “คุกเข่าอย่างไรก็ต้องคุกเข่าอยู่แล้ว สำหรับความผิดที่ไม่ได้ลงมือเมื่อครู่นี้” หากไม่ใช่เพราะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ คาดว่าคนผู้นั้นคงจะส่งคนมาขับไล่พวกนางให้ออกไปแล้ว
เพียงแค่ไม่ขับไล่พวกนางออกไป คุณหนูจะต้องจำพวกนางได้อยู่แล้ว นางเห็นว่าคุณหนูเรียกท่านพ่อท่านแม่ ท่านพี่ ก็น่าจะจำได้แล้ว
ที่คุณหนูมีอาการคุ้มคลั่งเมื่อครู่นี้ มันไม่ปกติเลย กลัวเพียงว่าหากนางฟื้นขึ้นมาแล้ว จะยังคงจำพวกนางไม่ได้
คำพูดของชูอี ดูเหมือนว่าสืออู่จะไม่เข้าใจ นางจึงกล่าวอย่างไม่พอใจ “ผิดที่ไม่ได้ลงมือ? หากเมื่อครู่นี้เจ้าไม่หยุดข้าเอาไว้ ไม่แน่ว่าหากพวกเราลงมือพร้อมๆ กับคุณชายเฉินก็อาจจะพาตัวคุณหนูไปได้แล้ว แล้วจะมารับผิดอะไรตอนนี้…”
ชูอีได้ยินคำกล่าวโทษของนาง สีหน้าก็เคร่งขรึมทันที หรี่ตามอง สืออู่รู้สึกหนาวในหัวใจ พลางก้มหน้ากล่าว “หรือว่า…ข้าพูดอะไรผิดไป” นางถูกชูอีจ้องมองจนรู้สึกใจหวิวๆ ก้มหน้าก้มตากล่าวเสียงค่อย
ชูอีเอ่ยถาม “สืออู่ เจ้าเป็นสาวใช้ตระกูลเฟิง หรือว่าเป็นสาวใช้ของคุณหนูกันแน่”
“สืออู่เกิดมาก็เป็นคนของคุณหนูแล้ว ถึงตายก็ยังเป็นผีของคุณหนู ปีนั้นฮูหยินยกข้าให้คุณหนู ชีวิตนี้ของข้าย่อมเป็นของคุณหนู” นางพูดเสียงดังฟังชัด
ชูอีก็พยักหน้าเล็กน้อย “ผู้ที่อยู่กลางห้องนั้นเป็นอะไรกับคุณหนู แล้วคุณชายอวี้เฉินเล่าเป็นอะไรกับคุณหนู”
“เอ่อ…”
คนที่อยู่กลางห้องนั้นเกรงว่าจะเป็นสามีของคุณหนู กูเหยียของพวกนาง ก็คือเจ้านายของพวกนางในอนาคต ส่วนคุณชายอวี้เฉินเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้อง…
“ทีนี้รู้แล้วหรือยังว่าควรช่วยใคร” ชูอียิ้มเย้ยหยัน
ในตอนนั้นนางอยากช่วยคนผู้นั้นจัดการกับคุณชายเฉินมาก เพียงเพราะกลับมานึกถึงคำพูดสุดท้ายของคุณหนูที่ว่า เจ้าปล่อยให้ข้าไปหาท่านพี่นะ แม้นว่าคำพูดนั้นจะไม่ชัดเจนนัก แต่มันกลับทำให้นางลังเล หากคุณหนูระบุว่าคนผู้นั้นเป็นสามีของนาง เขาก็ย่อมจะเป็นเจ้านายของพวกนางด้วย
หากคุณหนูอยากติดตามคุณชายเฉินกลับไป เช่นนั้นพวกเราก็จะช่วยให้คุณหนูสลัดคนผู้นั้นออกไปให้
ที่พวกนางทั้งสองไม่ลงมือ ก็เพื่อให้คุณหนูมีทางหนีทีไล่
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่กระจ่างชัด ทำได้เพียงเลือกที่จะเป็นผู้ชมอย่างเดียว หากผิดพลาด ก็จะได้รับโทษเพียงเล็กน้อย และจะไม่ทำให้ขุ่นเคืองใจกัน อย่างไรก็ตาม เพียงแค่คุณหนูไม่เป็นอะไรก็พอ
สืออู่ไม่ได้มีสติคิดใคร่ครวญเฉกเช่นชูอี เพียงแค่พูดตรงไปตรงมา “คุณหนูบอกว่าจะช่วยใครเราก็จะช่วยคนนั้น?”
…..
ยามมั่วเชียนเสวี่ยหันกลับมา รอบๆ ล้วนเป็นฝนดอกไม้ ยื่นแขนออกมา กัดลงไปอย่างใจร้าย ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าตนเองกลับเข้ามาอยู่ในห้วงนิทราอีกครา
ทันใดนั้น ก็มีอีกคนที่พุ่งออกมาจากร่างของนาง จ้องมองนางอย่างเหนียมอาย
มีประสบการณ์ครั้งที่แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด ทั้งยังเดินวนดูรอบๆ ร่างนั้นดูผิวเผินก็คือนาง แต่พอดูอย่างละเอียดแล้วกลับไม่เหมือน ร่างนี้ช่างงดงามสดใส นางจะมีความสง่างามอ่อนโยน และน่ารักเช่นนี้ได้อย่างไร
เป็นไปได้สูงว่า หญิงสาวที่เหนียมอายผู้นี้จะต้องเป็นมั่วเชียนเสวี่ยเจ้าของร่างที่อยู่ในยุคนี้อย่างแน่นอน ซึ่งเฟิงยู่เฉิงเรียกว่า “เสวี่ยเอ๋อร์”
หันไปรอบๆ มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าสายตาของนางมองตามการเคลื่อนไหวของตนเอง ก็รู้ว่าฉากฝันนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว นางมองเห็นตนเอง ดังนั้นจึงกล่าวออกไปเบาๆ “เจ้าคือ…มั่วเชียนเสวี่ย?!”
ประโยคนี้แฝงไปด้วยความสงสัยและความมั่นใจ
“ใช่” น้ำเสียงฟังดูเคอะเขิน น้ำเสียงเหมือนกับเจี่ยนชิงโยวอย่างไรอย่างนั้น ไม่เร็วและไม่ช้า น้ำเสียงพอดิบพอดี
มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้ว่าควรเรียกนางว่าอย่างไร และก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดจากตรงไหน ชื่อของตนเองก็คือมั่วเชียนเสวี่ย มีคนที่มีชื่อแซ่เดียวกับนาง ตอนนี้ยังอยู่ในร่างเดียวกันอีก แค่คิดก็รู้สึกอึดอัดแล้ว
ทั้งสองยืนจ้องตากันอยู่เป็นเวลานาน มั่วเชียนเสวี่ยไม่พูดสิ่งใด นางก็ไม่พูดเหมือนกัน เพียงแค่จ้องมองมั่วเชียนเสวี่ยด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกกระวนกระวายใจ เรื่องราวจะต้องได้รับการแก้ไข ที่นี่มีเพียงร่างเดียว แต่กลับมีถึงสองวิญญาณ
นางจะให้ร่างนี้ไปไม่ได้ เดิมทีนางก็ไม่ใช่คนที่สูงส่งหรือซื่อสัตย์อะไร ถึงแม้ว่าร่างนี้จะเคยเป็นของคนผู้นี้ นางก็ให้ไม่ได้ ที่ด้านนอกยังมีหนิงเซ่าชิงที่รอคอยนางอยู่
พอถอนหายใจแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็พูดถึงประเด็นหลักเลย “เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าไม่รู้ว่าตนเองมาอยู่ในร่างของเจ้าได้อย่างไร แต่ว่า ข้าไม่ต้องการและก็ไม่ได้วางแผนจะมอบร่างนี้คืนให้แก่เจ้า เจ้ามีเงื่อนไขอะไร หากข้าสามารถทำให้ได้ ข้าก็จะไปทำให้เจ้า” สิ่งที่นางพูดได้ก็มีแค่เท่านี้ รับปากทำให้ได้แค่เรื่องพวกนี้เท่านั้น
ร่างที่เหนียมอายนี้ บางครั้งก็รวมเป็นตัวตนบางครั้งก็สลายไป รู้สึกได้ว่าแค่ยื่นมือไปสัมผัสก็สลายไปแล้ว แค่มองก็รู้แล้ว ว่าจิตของนางอ่อนแอกว่าตนเอง สู้ตนเองไม่ได้แน่ๆ
เสวี่ยเอ๋อร์เพียงมองมา ทว่ามิกล่าวสิ่งใด ดังนั้นมั่วเชียนเสวี่ยจึงหันหลังจะเดินจากไป “เจ้าไม่พูด…เช่นนั้นข้าก็ไปก่อนนะ”
แม้ว่าที่นี่ค่อนข้างจะลึกลับอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าลำพังกำลังของนางจะช่วยให้ออกไปไม่ได้ ทว่านางสามารถเลือกที่จะไม่เผชิญหน้ากับคนผู้นี้ได้ ถึงแม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ที่นางออกไปไม่ได้ ที่นี่ก็ไม่อาจกักขังนางเอาไว้ได้ตลอดไป
นางมีความรู้สึกว่า เพียงแค่ร่างกายของนางฟื้นตัวขึ้นมา นางก็จะฟื้น พอฟื้นแล้ว ก็ย่อมจะออกไปจากที่นี่ได้
เสวี่ยเอ๋อร์พอเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะไป ในที่สุดก็เปิดปากพูด “เจ้าอย่าไปนะ ข้าเพียงอยากขอร้องเจ้า อีกทั้งเพราะพลังจิตของข้าที่นำพาเจ้ามาที่นี่”
“…” มั่วเชียนเสวี่ยหยุดทันที
“เดิมทีข้าตายไปตั้งแต่ตกหน้าผาในวันนั้นแล้ว ทว่าข้าไม่ยอมตาย ดังนั้น จึงจุดชนวนพลังจิตในกาย เรียกตัวเจ้าเข้ามา”
มั่วเชียนเสวี่ยหันมองไปที่เสวี่ยเอ๋อร์ “เรียกตัว? ข้าถูกเจ้าเรียกตัวมาอย่างนั้นหรือ ความหมายของเจ้าก็คือ ข้าถูกเรียกตัวมาที่นี่ด้วยวิชาลับหนึ่งของเจ้าใช่หรือไม่”
นางรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย พลางมองไปที่เสวี่ยเอ๋อร์ด้วยความคาดหวังอย่างเปี่ยมล้น
“ใช่”
“เช่นนั้นเจ้ายังสามารถส่งตัวข้ากลับไปได้อีกหรือไม่” นางยังสามารถพบหน้าพ่อแม่ ได้เห็นน้องชายอีกสักครั้ง แล้วบอกพวกเขาว่า นางแต่งงานแล้ว บอกพวกเขาว่า นางอยู่ที่นี่ก็มีความสุขดี
“ทำไม่ได้” เสวี่ยเอ๋อร์ส่ายหัว ความตื่นเต้นที่ปรากฎในดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยถูกแทนที่ด้วยความผิดหวังในทันที “ข้าขอโทษ!”
ขอโทษ? แค่คำขอโทษคำเดียวมันจะพอหรือ นางจิบชาของนางอยู่ดีๆ แต่จู่ ๆ กลับมาโผล่ที่นี่ จากนั้น ก็ถูกขายอีกครั้ง ถูกตามฆ่า กังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของสามีทุกวันว่าเมื่อไหร่จะหายดี มันง่ายสำหรับนางหรือ
พอนึกถึงหนิงเซ่าชิง มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ถึงแม้นจะกลับไปยังยุคปัจจุบันได้ นางก็ไม่อาจทิ้งหนิงเซ่าชิงได้ ดังนั้นจึงต้องแบกรับความหดหู่ใจนี้ไว้ เพียงแต่มิอาจพูดระบายความคับข้องใจนั้นออกมาได้ ดังนั้นจึงกล่าวด้วยความโมโห “เจ้าตายไปแล้วก็ให้ตายไปสิ เหตุใดถึงต้องพาตัวข้ามาจากยุคปัจจุบันด้วย ทำไมกัน”
เสวี่ยเอ๋อร์ก้มหน้า “เพราะว่า…ข้ามิอาจกลับมามีชีวิตได้อีก และถึงแม้ว่าจะกลับมามีชีวิตอีกครา ข้าก็มิอาจเผชิญกับอุบายกับดักที่ดำมืดเหล่านี้ได้…”
มั่วเชียนเสวี่ยพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกเพียงว่านางเห็นแก่ตัวมาก นางไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับมันอย่างไร แล้วคิดว่าตนเองจะรู้อย่างนั้นเหรอ
เสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้หยุดพูดเพราะถูกนางดูแคลน แต่เหมือนจะบ่นพึมพำกับตัวเองพลางมองไปบนฟ้า “แต่ว่า ข้าไม่ยอมให้คนเหล่านั้นที่ทำร้ายข้า ทั้งยังทำร้ายคนของท่านพ่อท่านแม่ หลบหนีไปได้อย่างลอยนวล ข้าต้องการให้พวกเขาได้รับโทษที่พวกเขาสมควรจะได้รับ!”