ตอนที่ 18 ความหนักใจของสามี
ในหมู่บ้านแห่งนี้มีคนอยู่หลายร้อยคน นอกจากหัวหน้าหมู่บ้านแล้วก็ยังมีเหล่าผู้อาวุโสอีกสี่คนที่มีสิทธิ์มีเสียง
หลี่ปาเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดในหมู่พวกเขา เพียงเพราะตอนเป็นเด็กได้เรียนรู้ศัพท์ไม่กี่คำจากโรงเรียน เขาจึงได้ถูกเสนอชื่อให้เป็นผู้อาวุโสของหมู่บ้าน ดังนั้นเขาต้องรักษาหน้าตาไว้เสมอ
เมื่อเขาเห็นภรรยาที่ยิ่งพูดก็ยิ่งเลอะเลือน ไม่อยากให้เพื่อนบ้านได้ยินแล้วเอาไปหัวเราะเยาะ จึงได้ตบโต๊ะแล้วขึ้นเสียงดัง “หุบปากกันทั้งคู่!”
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจแรงแล้วหันหลังเดินเข้าไปในห้อง
หลี่ไคสือที่เห็นพ่อโมโหเดินเข้าไปในห้องก็ไม่กล้าส่งเสียงดังออกมา เพียงแค่พูดพึมพำอยู่คนเดียว “อย่างไรก็ตาม หนิงเหนียงจื่อผู้นั้นข้าจะต้องเอามาให้ได้”
“เจ้าจะเอานางมาทำไม คนที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนและไร้ประโยชน์เช่นนั้น! วันหลังแม่จะไปหาผู้หญิงดีๆ มาให้เจ้าเอง…”
สามวันต่อมา อาซ้อฟางส่งถาดไม้มาให้ตั้งแต่เช้าตรู่ อาซ้อกุ้ยฮวาก็มาด้วย ทั้งสามคนวุ่นอยู่สักพักใหญ่ๆ ถึงจะสามารถทำเต้าหู้ออกมาได้
ทันทีที่ทำเต้าหู้สดเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้แสดงฝีมือการทำอาหารจากเต้าหู้สองสามจานอย่างสุดฝีมือ
เต้าหู้นี้เนื้อเนียนนุ่ม ทั้งหอมและสดใหม่ อาซ้อฟางและอาซ้อกุ้ยฮวาต่างก็ไม่เคยกินอาหารชนิดนี้มาก่อน พวกนางแทบอยากจะกลืนกินลิ้นเข้าไปด้วยเลยทีเดียว
ยุคสมัยนี้ไม่มีมลพิษ วัตถุดิบล้วนมาจากธรรมชาติ เต้าหู้ที่ทำออกมาก็ย่อมมีรสชาติที่พิเศษเฉพาะตัว นางใช้กระดูกที่อาซ้อจ้าวเอ้อร์นั่นไว้ให้ด้วยความเมตตาเคี่ยวจนเป็นน้ำแกงแล้วนำมาใช้หลนเต้าหู้เหล่านี้ ดังนั้นรสชาติย่อมดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
หลังจากจัดแจงเต้าหู้ให้กับทั้งสองคนได้กิน มั่วเชียนเสวี่ยยังได้แบ่งส่วนหนึ่งให้พวกนางกลับไปด้วย พรุ่งนี้ในตอนเช้าค่อยกลับมาใหม่
อาซ้อฟางไม่ได้รับเต้าหู้ชามนั้นและกล่าวออกมาอย่างลังเล “หนิงเหนียงจื่อ เจ้าคิดว่าเราควรนำเต้าหู้ไปมอบให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสเสียหน่อยดีหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไร สตรีอย่างพวกเราหากมีปัญหาก็ยังต้องพึ่งพาพวกเขาอยู่”
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มตอบกลับ “ถ้าอาซ้อไม่เตือน น้องคงลืมไปแล้วจริงๆ ใช่ เราควรจะนำเต้าหู้ไปให้หัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสด้วย รอกินอาหารกลางวันเสร็จก่อน พวกเราค่อยเอาไปให้พวกเขาก็แล้วกัน”
นางจะลืมได้อย่างไร วันนี้ที่ทำมามากมายขนาดนี้ก็เพื่อนำไปแจกจ่ายให้คนอื่นด้วย ของที่ทำพรุ่งนี้ต่างหากถึงจะนำไปขายได้
ครั้นอาซ้อฟางได้ยินที่มั่วเชียนเสวี่ยพูดดังนั้น ก็ไม่เกรงใจแล้วจึงหยิบชามเต้าหู้ชามนั้นกลับไป อาหารที่อร่อยเช่นนี้ นางก็อยากจะนำกลับไปให้สามีและลูกๆ ลองชิมดูสักหน่อย
ได้เงินหกร้อยอีแปะทุกเดือน แต่ทำงานแค่ครึ่งวัน? ทั้งยังได้กินและนำกลับไปได้อีก อาซ้อกุ้ยฮวาไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องดีๆ เช่นนี้มาก่อน
นางถูมือ รู้สึกลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไป “หนิงเหนียงจื่อ จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร นี่ยังทำงานไม่ถึงครึ่งวันเลย นอกจากได้กินแล้วยังได้นำกลับไปอีก เช่นนั้นให้ข้าช่วยเจ้าซักผ้าก่อนดีหรือไม่…”
“อาซ้อกุ้ยฮวา เวลายังอีกยาวนาน เต้าหู้พวกนี้ ทำออกมาครั้งหนึ่งก็ได้จำนวนมากมาย แต่เสียหายได้ง่าย” มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มพลางยื่นชามเต้าหู้ชามนั้นใส่มืออาซ้อกุ้ยฮวาพลางพูดจาอ่อนโยนปนติดตลก “ต่อไปถ้าเต้าหู้ขายดิบขายดีจนต้องทำเป็นจำนวนมาก พวกเราคงต้องเหน็ดเหนื่อยกันหน่อยนะ”
อาซ้อกุ้ยฮวารับชามเต้าหู้ชามนั้นไป ดวงตาแดงก่ำ ตั้งแต่สามีของนางตายไปก็ไม่มีใครดีกับนางเช่นนี้มาก่อน ใครๆ ต่างพูดกันว่านางคือสตรีกินผัว ทั้งทางบ้านแม่ของนางก็ไม่ค่อยจะติดต่อมา
หนิงเหนียงจื่อผู้นี้ประเสริฐจริงๆ!
“หนิงเหนียงจื่อพูดอะไรเช่นนั้น แม้ว่าข้าจะผอมบางร่างน้อย แต่ว่าก็ยังพอมีแรงอยู่บ้าง”
หลังจากที่หนิงเซ่าชิงสอนหนังสือเสร็จเขาก็กลับมา มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้จัดสำรับเต้าหู้แบบจัดเต็มให้กับเขาไว้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นอาหารที่โดดเด่น ดวงตาของหนิงเซ่าชิงพลันทอประกาย หลังจากที่เขาลิ้มรสอาหารหมดทุกชามแล้ว วางตะเกียบลง แล้วค่อยๆ พูดขึ้น “นี่คืออาหารที่เจ้าจะนำไปขายเช่นนั้นหรือ รสชาติไม่เลวก็จริง แต่ว่าเจ้ามีแผนการขายอย่างไร”
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าน้อยครั้งนักที่เขาจะเป็นห่วงนาง จึงได้เล่าเกี่ยวกับรายการอาหารทั้งหมดที่จะขายให้กับทางภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ และยังพูดถึงความคิดเห็นของตนเองอีกเล็กน้อย
แน่นอนว่านางจะไม่ไปขายตามถนน นางวางแผนจะเอาเต้าหู้ไปขายให้ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีอยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่ภัตตาคารแห่งนั้นจะนำไปขายต่อยอดอย่างไรนั้นนางก็ไม่ขอยุ่งเกี่ยว
เต้าหู้นี้ ตอนที่ไม่ทำออกมาก็ดูลึกลับอยู่แล้ว แต่พอทำออกมา คนที่มีความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องยา รวมถึงคนที่คิดทุกอย่างอย่างถี่ถ้วน ย่อมคาดเดาและค้นหาความลับของดีเกลือนี้ออกมาได้
ทักษะที่ง่ายดายเช่นนี้ การที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจนี้ก็นับว่าไม่ยากนัก สามารถทำเงินได้มากอย่างแน่นอน เรื่องนั้นคงต้องวางแผนทำการค้าระยะยาว
ดังนั้น นางจึงตัดสินใจจะเอาเงินก้อนใหญ่ก้อนแรกนี้ให้ได้ก็พอ
เต้าหู้ชิ้นเล็กๆ จัดวางลำบาก การขนส่งก็ไม่ง่ายเลย ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีจะขนไปอย่างไร นางก็ไม่อยากจะยุ่ง
พลังงานของนางควรทุ่มให้กับเรื่องใหญ่ๆ ในระยะยาว เช่น จะเริ่มทำซีอิ๊วอย่างไร จะสร้างโรงงานน้ำส้มสายชูให้สามารถส่งขายได้ทั่วรัฐหรือเป็นสินค้าที่ขายได้ทั่วทุกแว่นแคว้น
หนิงเซ่าชิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ หัวเราะออกมาเบาๆ พลางกล่าว “เอาหนังสือสัญญาของเจ้าออกมาให้ข้าดูหน่อย”
นึกไม่ถึงว่าเขาจะสนใจเรื่องของนางด้วย แน่นอนว่านางก็หยิบหนังสือสัญญาออกมาแล้วยื่นให้เขาพร้อมกับรอยยิ้ม
นึกถึงการทำงานร่วมกัน ต่างคนต่างคงเข้าใจกันดีอย่างแน่นอน นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดีมิใช่หรือ เขาพยายามเข้าใจนางและยอมรับนาง…
หนิงเซ่าชิงอ่านสัญญา มั่วเชียนเสวี่ยกลับคิดคำนวณในใจเล็กน้อย
เมื่ออ่านสัญญาจบ หนิงเซ่าชิงก็ได้พับสัญญาเหน็บไว้ที่อก ตัวเขายังเขียนอักษรได้สวยไม่เท่านางเลย ครั้งที่แล้วตอนที่เห็นตัวอักษรที่บรรจงและงดงามพวกนี้ก็อยากแสดงความคิดเห็นอะไรสักหน่อย
เขาจะต้องการหนังสือสัญญาที่ไร้ประโยชน์นี่ไปทำไม มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่เข้าใจ หนิงเซ่าชิงก็ยิ้มอ่อนออกมา “หนังสือสัญญาเล่มนี้เจ้าเป็นคนร่างขึ้นมาเองหรือ ไม่เลวเลยทีเดียว!”
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกภูมิใจขึ้นมาเล็กน้อย มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ตำแหน่งเถ้าแก่น้อยของนางในยุคปัจจุบันไม่ได้หล่นมาจากฟ้าเสียหน่อย สัญญานี้ดูเหมือนจะธรรมดาๆ แต่ความจริงแล้วด้านในนั้นมีการพลิกแพลงอย่างมากมาย
“ในเวลานั้น คุณชายเจ็ดบอกว่าต้องการให้ร่างสัญญา ข้าเลยเขียนออกมาสองฉบับ!”
เขียน? แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะไม่เชื่อ แต่บนใบหน้าของเขาก็ยังผุดรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นมา “สัญญานี้ลงนามแล้วก็เหมือนกับไม่ได้ลงนาม เจ้าสามารถตัดสินใจเองได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรายการอาหารหรือว่าอาหารต่างๆ หากกังวลว่าจะทำไม่ไหว ข้าจะหาเวลาไปช่วยเจ้าคิดบัญชีเอง”
เวลาเปลี่ยน สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป นึกถึงในตอนนั้นที่มีเงินทองมากมายอยู่ในมือ แม้เขาจะไม่ชอบ แต่ตอนนี้เพราะเป็นห่วงนางจึงจะช่วยนางคิดบัญชีเต้าหู้ที่ชิ้นนึงราคาไม่กี่อีแปะนี้ให้
เนื่องจากหนิงเซ่าชิงเต็มใจที่จะช่วย มั่วเชียนเสวี่ยก็ย่อมจะรู้สึกยินดีเป็นที่สุด แม้ว่านางยังไม่ได้เห็นกิจการเต้าหู้เล็กๆ นี้อยู่ในสายตา แต่ว่าการดำเนินการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม แล้วเหตุใดนางจะไม่ทำกันเล่า
“เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดี ข้าเชื่อท่าน หากมีท่านคอยสนับสนุน จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน” ต้องยกยอปอปั้นเขาเสียหน่อย
สีหน้าของหนิงเซ่าชิงไม่ได้ดูเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจคำเยินยอเหล่านี้เลย “ให้ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีเป็นผู้ริเริ่มดำเนินการ ไม่ต้องเสียเวลาและไม่ต้องคอยกังวลก็สามารถบุกเบิกตลาดเต้าหู้ได้แล้ว วิธีการของเจ้านี่ไม่เลวเลยจริงๆ”
เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนพูดคุยกันได้นานเช่นนี้ เมื่อกินข้าวเสร็จก็เกิดความปรองดองกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
หลังจากเลยช่วงบ่ายมาแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยกับอาซ้อฟางนำเต้าหู้ไปมอบให้หัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสพร้อมกับพูดคุยกันเล็กน้อย พอกลับมาที่บ้านก็จวนเวลาเย็นแล้ว อาซ้อกุ้ยฮวาก็ได้มอบเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ตัดเสร็จแล้วให้นางสองชุด
มั่วเชียนเสวี่ยเลือกผ้าสีฟ้าอ่อนให้ตนและผ้าสีน้ำเงินแก่หนิงเซ่าชิง