ตอนที่ 19 ผู้หญิงใจร้ายหัวเราะเยาะได้ลงคอ
ชุดสตรีสีฟ้าอ่อนถูกอาซ้อกุ้ยฮวาแต่งขอบให้ด้วยสีน้ำเงินไพลิน ที่เสื้อคลุมยังปักลายดอกเหมยไว้สองสามดอกอีกด้วย ช่างดูงดงามยิ่งนัก พอมั่วเชียนเสวี่ยสวมใส่มันก็พอดีตัว นางพอใจมากจึงหันกลับไปกล่าวชมเชย
“ฝีมือของซ้อนี่ดีเสียจริง แม้ไม่ต้องวัดตัวก็สามารถตัดเย็บชุดได้พอดีตัวเช่นนี้ ดอกไม้ก็ปักได้งามดุจมีชีวิต ทำให้ข้าใส่แล้วดูงดงามขึ้นมาเลยเชียว”
“หนิงเหนียงจื่อเดิมทีก็งดงามอยู่แล้ว แต่ชุดเดิมที่เจ้าสวมใส่นั้นหลวมโคร่ง อีกทั้งสีของชุดก็ไม่สว่าง จึงไม่ได้เผยความสง่างามของรูปร่างเจ้าออกมา” อาซ้อกุ้ยฮวาจัดระเบียบชุดให้นางพลางยิ้มและพูดไปพลาง
“เช่นนั้นก็เป็นเพราะฝีมือของซ้อนั้นดีอย่างไรเล่า ต่อไปน้องคงจะต้องมารบกวนซ้อบ่อยๆ แล้ว”
“หนิงเหนียงจื่อเห็นคุณค่าในงานฝีมือของข้าก็นับว่าเป็นการให้เกียรติข้าแล้ว ยังมีอะไรรบกวนหรือไม่รบกวนอีกเล่า เห็นเป็นคนอื่นคนไกลไปเสียได้…”
ทั้งสองคนพูดหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง หนิงเซ่าชิงก็เดินหอบตำราเข้ามา พอเห็นมั่วเชียนเสวี่ยที่สวมใส่ชุดสีฟ้าอ่อนที่ใหม่เอี่ยมและดูประณีต เขาก็ยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้นทันที
อาซ้อกุ้ยฮวาเมื่อเห็นหนิงเซ่าชิงกลับมา ก็รีบลุกขึ้นแล้วกล่าวว่าบุตรสาวรอให้นางกลับไปทำอาหารให้อยู่ จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
มั่วเชียนเสวี่ยไปส่งอาซ้อกุ้ยฮวาแล้วก็เดินเข้ามาอย่างสง่างาม หมุนตัวแล้วยิ้ม “เซียนเซิง ท่านดูสิ นี่คือชุดที่ข้าขอให้อาซ้อกุ้ยฮวาตัดเย็บให้ ท่านคิดว่ามันเหมาะกับข้าหรือไม่”
หนิงเซ่าชิงมองดูชุดของนางอย่างละเอียด แล้วก็ยิ้มเบาๆ ดูหงอยๆ เล็กน้อย “ดูดีมากเลยทีเดียว”
มั่วเชียนเสวี่ยได้รับคำตอบที่นางต้องการแล้วจึงหันกลับไปหยิบชุดยาวสีน้ำเงินมาให้เขา “นี่คือชุดของท่าน ลองใส่ดูสิ ไม่รู้ว่าพอดีตัวหรือเปล่า”
หนิงเซ่าชิงมีท่าทีที่ดูซับซ้อนในตอนที่รับชุดนั้นไป เขาตอบรับแล้วหันหลังเดินเข้าไปถอดเสื้อคลุมสีเทาออก
มั่วเชียนเสวี่ยเลิกคิ้วแล้วยิ้ม คนงุ่มง่าม ยังจะเหนียมอายอีก! ไม่ได้ให้ใส่ชุดซับในเสียหน่อย! เมื่อเห็นเขาที่หันหลังกำลังเปลี่ยนเสื้ออยู่ มั่วเชียนเสวี่ยก็รีบเปลี่ยนชุดใหม่อย่างรวดเร็ว
รอจนหนิงเซ่าชิงแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็หันกลับมา เขายังเป็นเขาคนเดิม แต่กลับทำให้ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยเป็นประกาย
ก็แค่ชุดยาวสีน้ำเงินธรรมดาทั่วๆ ไป คาดด้วยเข็มขัดสีเขียวเข้มก็ทำให้เขาดูเปลี่ยนไปแล้ว
หน้าตาสดใสดั่งแม่น้ำที่สงบไร้คลื่นลม ท่วงท่าสง่างาม แลดูเป็นผู้มีอนาคตที่ยาวไกล! ช่างเป็นชายหนุ่มยุคโบราณที่รูปงามเสียจริง! มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะกระทืบไลก์ในใจสามร้อยยี่สิบครั้ง นางรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อจัดชุดของเขาให้เรียบร้อยพร้อมกับยิ้มกล่าว “อาซ้อกุ้ยฮวาฝีมือดีมาก ชุดนี้ท่านก็ใส่ได้พอดิบพอดี เพียงแต่เสียดายที่ข้าไม่รู้งานเย็บปักถักร้อย ไม่งั้นข้าก็คงได้ตัดเย็บให้ท่านเองสักชุดแล้ว”
มั่วเชียนเสวี่ยดึงคอปกเสื้อและดึงเสื้อคลุมให้เข้าที่ นางทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ หนิงเซ่าชิงหน้าแดงเล็กน้อยพลางกระแอมเบาๆ เขาสังเกตุเห็นว่านางกลับไปใส่ชุดสีแดงทึบตัวเดิมอีกแล้วจึงขมวดคิ้ว “ชุดใหม่งามมาก เหตุใดถึงไม่สวมใส่เสียแล้วเล่า”
“อีกประเดี๋ยวข้าก็ต้องไปทำอาหารแล้วจึงเกรงว่ามันจะเปื้อน พรุ่งนี้ข้ายังต้องเข้าเมืองไปเจรจาการค้าอีก ดังนั้นเก็บไว้ใส่ในวันพรุ่งจะดีกว่า”
มั่วเชียนเสวี่ยพูดอย่างเป็นปกติ ทว่าหนิงเซ่าชิงที่ได้ยินกลับรู้สึกอนาถใจ
ทั้งสองคนพูดคุยกันเล็กน้อย จากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยก็หันหลังเดินออกไปนอกห้องเพื่อไปทำอาหาร
หนิงเซ่าชิงมองชุดสตรีที่พับตั้งไว้บนเตียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วก็รู้สึกขมขื่นสับสน เหมือนจะรู้สึกโหยหาไออุ่น ท้ายที่สุดเขาก็ถอดชุดใหม่ออก
หลังจากที่เขาพับชุดอย่างงุ่มง่ามแล้วก็นำมันไปวางไว้บนชุดสตรีสีฟ้าอ่อนชุดนั้น
ชุดหนึ่งฟ้าชุดหนึ่งน้ำเงิน สองชุดวางอยู่แนบชิดกัน ไม่มีสิ่งใดขั้นไว้ระหว่างกลาง หนิงเซ่าชิงนั่งลูบชุดทั้งสองอยู่ข้างขอบเตียง มุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
……
เมืองเทียนเซียงยังคึกคักเช่นเดิม ผู้คนเดินกันอย่างพลุกพล่าน เพียงแค่โครงสร้างมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
อิ๋งเค่อเซวียนประดับประตูทางเข้าที่ต้อนรับแขกเหรื่ออย่างสวยงาม ฝั่งตรงข้ามเป็นภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีที่มีลูกค้าจำนวนมากมายแวะเวียนกันมาอย่างไม่ขาดสาย
ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งมาถึงก็ได้ยินคนพูดกันว่ายามนี้ถนนเส้นนี้กลายเป็นสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดในเมืองไปแล้ว
อิ๋งเค่อเซวียนมีจุดเรียกแขกก็คือนางคณิกาที่เลื่องชื่อ ร้องรำทำเพลงครึกครื้นกันทุกวี่ทุกวัน!
ส่วนไป๋อวิ๋นจวีก็มีอาหารจานใหม่ ครบเครื่องทุกอย่างทั้งรูปรสกลิ่นสี อีกทั้งพวกเขายังเชิญบัณฑิตมาเล่าเรื่องอีกด้วย…ทำดีมาก!
ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยถูกเชิญไปที่เซียงฝาง[1] นางรู้สึกตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ สำรับอาหารที่ทำจากเต้าหู้นั้นมีแปดอย่าง ใช้เวลาเพียงไม่นาน ทุกจานล้วนว่างเปล่า นางมองไปยังที่มาของเสียงกระแอมอันน่าอึดอัดนั่นอย่างประหลาดใจ
คุณชายเจ็ดกระแอมแล้วกระแอมอีก ชี้ไปที่อาลู่ที่อยู่ข้างๆ ดูกระวนกระวายใจเล็กน้อย “คือว่า… หนิงเหนียงจื่อ อาหารที่ทำจากเต้าหู้ของเจ้าแปลกใหม่เสียจริง ข้าก็เลยให้อาลู่ลองมาชิมดู ผลคือบ่าวมันทำตัวไร้มารยาทกินจนหมดเกลี้ยงเช่นนี้แหละ”
ที่กล่าวมาก็ฟังดูสมเหตุสมผล เพียงแต่…
อาลู่ดูเหมือนคนที่ผิดหวัง แถมท้องยังร้องเสียงดังตลอดเวลา
อาลู่ตัวสั่นพลางก้มหน้าลง ใบหน้าของคุณชายเจ็ดที่หนากว่าเหรียญทองแดงก็แดงก่ำขึ้นมาในทันที
เขาหยิบพัดเล็กขึ้นมา เคาะไปบนหัวของอาลู่ “ใครใช้ให้เจ้าเสียมารยาท ดูสิ เพราะกินไปมากขนาดนั้นถึงได้ทำให้เจ้าท้องร่วงอย่างไรเล่า ยังไม่รีบออกไปอีก น่าขายหน้าจริงๆ!”
อาลู่ย่นคิ้วเล็กน้อย เขาสาบานเลยว่า เดิมทีเขาก็ไม่ได้หิวอะไรถึงเพียงนั้น แต่พอเห็นคุณชายกินอย่างเอร็ดอร่อย อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังดูน่ากินมากๆ จู่ๆ ท้องก็ร้องขึ้นมา จากนั้น…
เขาถูกใช้ให้มาเป็นแพะรับบาปหรือนี่
อาลู่ก้มหน้าลง ไม่อยากพูดตอบโต้
เมื่ออยู่เมืองหลวงเจ้านายของตนเองก็เป็นนายน้อยคนหนึ่งในตระกูลซู
ตอนสามขวบ ซูชีเผาผมของป้า เก้าขวบเขาได้ทุบตีบุตรชายคนเล็กของจวนกั๋วกง สิบขวบเขาออกจากเมืองหลวง ผ่านมาปีแล้วปีเล่า…
ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ เขากลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง แม้ว่าชื่อเสียงที่เลวร้ายจะแพร่หลายสู่ภายนอก แต่สถานะเขาก็ยังสูงส่งอยู่ดี หน้าตาหล่อเหลาและท่วงท่าสง่างาม ทำให้บรรดาสตรีหื่นกระหายดุจสัตว์ป่า มาออดอ้อนออเซาะอิงแอบแนบชิดซุกอยู่ที่อกเขา เพื่อหนีการหมั้นหมายที่เหล่าฮูหยินจัดไว้ให้ คุณชายจึงขอคุณชายใหญ่ให้สั่งการ เขาจึงซ่อนตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้มาได้โดยตลอด
ต่อหน้าเหล่าสตรีในเมืองหลวง คุณชายมักจะทำลายภาพลักษณ์ตนเอง
เหตุใด พอมาถึงที่นี่ ต่อหน้าหญิงชาวบ้านผู้นี้ เจ้านายของตนถึงให้ความสนใจนักเล่า
ในเมื่อคิดใคร่ครวญเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ อาลู่จึงหยุดคิด ทำได้เพียงแค่ก้มหน้าก้มตารีบเดินออกไปทันที
มั่วเชียนเสวี่ยมีหรือจะไม่เข้าใจว่าคุณชายเจ็ดนี้กินเก่ง เการยอมรับว่าตนเองกินเก่งมีอะไรที่ต้องขายหน้าหรือ
นางพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลัง พลางเหลือบมองไปที่หน้าท้องของเขา
มันแบนเรียบสุดๆ ไปเลย ชายคนนี้รูปร่างสมส่วน ไม่อ้วนไม่ผอม กินจุเช่นนี้ แต่ยังมีรูปร่างที่สง่างามได้ถึงเพียงนี้ คนที่กินเก่งอย่างเขากลับรักษารูปร่างได้ดี น่าอิจฉาจริงๆ!
ไม่นานก็คุยเกี่ยวกับเรื่องเต้าหู้เสร็จ คุณชายเจ็ดเลิกคิ้วขึ้นน้ำเสียงนุ่มนวลคล้ายกับว่าอยากพูดคุยกับนางต่อไปเรื่อยๆ แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับลุกขึ้นและขอตัวลากลับ
ชายหญิงไม่ควรอยู่กันสองต่อสองเป็นเวลานาน
คุณชายเจ็ดแทบจะกอดขาอ้อนวอนนางอยู่แล้ว นางจึงรับปากว่าเต้าหู้ของปีนี้ทางภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีจะได้ไป ไม่ว่านางจะทำได้เท่าไหร่ทางภัตตาคารก็จะรับไปเท่านั้น จะเริ่มส่งให้ภายในวันถัดไป ที่ไป๋อวิ๋นจวีนี้ให้ราคาถูกกว่าที่อื่นถึงร้อยละยี่สิบ มั่วเชียนเสวี่ยก็นึกเสียดายกำไรที่ขาดไป ถือว่าเป็นการจ่ายค่าสร้างชื่อเสียงให้เต้าหู้ของนางแก่ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจีเสียก็แล้วกัน นางจึงพยักหน้าตอบตกลง
พอออกมาพ้นประตู มั่วเชียนเสวี่ยที่วางมาดนิ่งมานาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหว หัวเราะหลังขดหลังแข็ง ถ้าไม่ระบายออกมา อวัยวะภายในอาจได้รับความเสียหายเพราะต้องกลั้นหัวเราะไว้นานเกินควร
คุณชายเจ็ดยืนอยู่หลังประตู บีบจนพัดในมือแตกหัก
ตัวเขาเองรักการกินอาหารรสเลิศจริงๆ แต่ที่กินไปเยอะขนาดนั้นเป็นเพราะเขาเองก็หิวมากด้วย
[1] เซียงฝาง เรือนตะวันออกและเรือนตะวันตกในแต่ละฝั่ง