นางไม่ใช่คนภพนี้ ย่อมไม่เข้าใจกฎของที่นี่
เข้าใจถึงเรื่องที่ว่าตอนที่ผู้เชี่ยวชาญฝังเข็ม ปกติแล้วจะไม่ให้ใครเห็นฉากนี้
ก่อนหน้านี้ที่ฝังเข็มในครานั้น สำหรับหมอประหลาดแล้วเป็นเพียงการกระตุ้นจิตวิญญาณ แค่ปลุกให้หนิงเซ่าชิงให้ฟื้นขึ้นมาอย่างง่ายๆ เท่านั้น ไม่ต้องปิดบังอะไรอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้ จะต้องฝังเข็มอย่างจริงจัง ทักษะที่นำมาใช้จำต้องเป็นทักษะสูงสุด แน่นอนว่าปิดบังไว้จะดีกว่า
หวังเห็นว่านางไม่ยอมออกไปเสียที ก็คิดว่านางยังกังวลว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาอีก ดังนั้นจึงจ้องไปที่มั่วเชียนเสวี่ยพลางกล่าวคำพูดที่ลึกซึ้งออกมา “แค่กแค่ก…ใช้ตัวยาเสริมประสิทธิภาพแก้พิษ ต่อไปก็จะไม่เป็นอุปสรรคค่อการร่วมเตียงทุกรูปแบบ อยากมีลูกกี่คนก็ย่อมได้…”
มั่วเชียนเสวี่ยที่ได้ฟังถึงตรงนี้ จะยังอยู่ต่อไปได้เสียที่ไหน ราวกับจะกระโจนออกมานอกห้องอย่างไรอย่างนั้น
พอออกจากประตูมาแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่ได้ยินว่าหนิงเซ่าชิงกลับห้องมา แต่เป็นชูอี สืออู่ อาซานและอาอู่ ยืนรอฟังข่าวอยู่หน้าประตูด้วยกัน
ถ้าเขาหายดีแล้ว นางต้องการรู้ในทันที
ฟ้าเริ่มสาง ลมและฝนก็ได้หยุดลงแล้ว ราวกับรู้ว่าคนที่อยู่ในห้องอดหลับอดนอนมาทั้งคืน ต้องการชดเชยโดยการให้นอนหลับอย่างสบาย
อาซานและอาอู่อยู่ในลานเรือน ชูอี สืออู่ หมิงเย่ว์และไฉ่สยาล้วนเดินย่องออกมา ด้วยเพราะกลัวว่าถ้าเดินเสียงดัง จะไปปลุกให้เจ้านายตื่นขึ้นมา
……
คนชุดดำสิบเก้าคนยืนอยู่ในป่าท้อซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านหวังจยา
ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนเหยียดตรงอยู่บนเนินเขา จ้องมองมายังหมู่บ้านหวังจยา
คนผู้หนึ่งคุกเข่าลงข้างเดียวพลางเอ่ยตอบ “คุณชาย ตระกูลหนิงสงบเงียบมาก หมอประหลาดก็ออกจากตระกูลหนิงไปยังเมืองเทียนเซียงแล้วขอรับ”
เมื่อคืนนี้ ตระกูลหนิงวุ่นวายมาก เข้าๆ ออกๆ เสียงดังอลหม่านเป็นระยะๆ เพราะเหตุนี้ถึงได้เชิญหมอประหลาดมารักษาด้วย
ดูแล้ว อาการบาดเจ็บของเสวี่ยเอ๋อร์คงไม่เบาเลยทีเดียว
แต่ว่า ในเมื่อมีหมอประหลาดรักษาแล้ว แต่ในเวลานี้ตระกูลหนิงกลับเงียบสงบ นั่นก็แสดงว่าเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว และก็ถึงเวลาที่ตนเองควรจากที่นี่ไปแล้ว
ต้องการต่อสู้ แต่ก็ต้องการรอให้ร่างกายของเสวี่ยเอ๋อร์หายดีจึงเลื่อนออกไปก่อน
เขาไม่อาจโจมตีอย่างผลีผลามได้อีกต่อไป เขาจะให้คนแซ่หนิงผู้นั้นปล่อยนางไปอย่างเต็มใจ ให้เสวี่ยเอ๋อร์ตามเขากลับไปอย่างสบายใจ
เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เฟิงอวี้เฉินรีบหันกลับมา สุดท้ายก็ชำเลืองมองไปยังป่าดอกท้อ พลางชี้ไปที่เฟิงปัว เฟิงล่วนแล้วกล่าว “พวกเจ้าทั้งสองคนอยู่ที่นี่ คอยสังเกตุการณ์ความเคลื่อนไหวของคุณหนู และก็มารายงานข้าทุกวัน”
เฟิงปัวและเฟิงล่วนรับคำสั่ง พลางขานรับอย่างพร้อมเพรียง “รับทราบ”
เฟิงอวี้เฉินก็ไม่ได้หันกลับไป พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถอนกำลัง!” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาหนักแน่น เขาก้าวไปข้างหน้าและกระโดดขึ้นหลังม้า องครักษ์เฟิงอวิ๋นทั้งสิบหกคนที่อยู่ด้านหลัง รับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียงกันแล้วขึ้นควบม้า
ทั้งสิบเจ็ดคนควบม้าอย่างดุเดือดไปตลอดทาง จนฝุ่นตลบอบอวลลอยคละคลุ้งกลางอากาศ
ที่นอกเมืองหลวง มีสตรีนางหนึ่งกำลังควบม้ามุ่งหน้าไปยังเมืองเทียนเซียง
สตรีผู้นี้ไม่ใช่เด็กสาว แต่มือเท้ากลับดูคล่องแคล่วว่องไว องอาจกล้าหาญ และท่าทางการฟาดม้าดูเป็นธรรมชาติเสียจริง
ในจวนตระกูลมั่ว มีการปรึกษาหารือราชการกันในห้องโถง หัวหน้าตระกูลมั่ว นั่งจิบชาอยู่ในห้องโถงใหญ่
มีคนมารายงานที่ห้องโถง “รายงานนายท่าน วันนี้ฟ้ายังไม่ทันสางมั่วผอจื่อก็ออกจากจวนกั๋วกงไปแล้วและจากนั้นก็ออกจากเมืองหลวงไป”
“อืม!” หัวหน้าตระกูลมั่ววางจอกชาลงบนโต๊ะ ผู้หญิงชั้นต่ำคนนี้มีแผนการอะไรบางอย่างจริงๆ
“ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน นางบอกว่าตนเองป่วย วันนี้กลับลอบออกนอกเมืองหลวงไป จะต้องมีอุบายบางอย่างเป็นแน่” จิตสังหารที่ซ่อนเร้นไว้ ได้แผ่ออกมาจากสายตาเจ้าเล่ห์ “เจ้ารีบส่งคนไปคอยติดตามดูอยู่ห่างๆ จำไว้ว่า อย่าเข้าไปใกล้จนเกินไปโดยเด็ดขาด หญิงชั้นต่ำคนนี้เจ้าเล่ห์มาก อย่าให้นางรู้ตัว”
“นายท่านโปรดวางใจ บ่าวจะกระทำการอย่างระมัดระวัง”
“เมื่อนางพบคนที่นางต้องการจะพบ ก็อย่าเพิ่งกระทำการใดๆ โดยผลีผลาม ให้รีบควบม้าเร็วมารายงานข้าเพราะข้ามีแผนการอยู่แล้ว”
“รับทราบ”
……
มั่วเชียนเสวี่ยหลับไปอย่างสะลึมสะลือ และในขณะที่กำลังงุนงงอยู่ก็รู้สึกได้ว่าหนิงเซ่าชิงลุกขึ้นมา สั่งงานอะไรสักอย่างกับชูอีที่อยู่ข้างเตียง
มั่วเชียนเสวี่ยพยายามลืมตาขึ้น หนิงเซ่าชิงได้โบกมือให้ชูอีถอยไปยืนอยู่ตรงหัวเตียงและจ้องมองนาง เมื่อเห็นว่านางตื่นขึ้นมาแล้ว เขาก็ลูบศีรษะของนางพลางยิ้มเบาๆ “เสียงดังจนทำให้เจ้าตื่นหรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยพยายามลุกขึ้นมา เขารีบกดตัวนางลงไป “ยังเช้าอยู่เลย นอนพักผ่อนอีกสักหน่อยเถิด” เมื่อเห็นแววตาที่แลดูกังวลและเป็นห่วง มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจพลางกล่าวอย่างออดอ้อน “อื้ม”เล็กน้อย จากนั้นก็หลับตาลง ไม่นานก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เรื่องนี้จะโทษนางก็ไม่ได้ นางได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว อดหลับอดนอนมาทั้งคืน อีกทั้งยังหัวหมุนเพราะเรื่องของเขา รู้สึกวิตกกังวล นางจึงง่วงมากจริงๆ!
เมื่อนางผล็อยหลับไป หนิงเซ่าชิงก็หรี่ตาอันงดงามลุ่มลึกลง
อาการบาดเจ็บนี้เดิมทีถือว่าเป็นเพียงอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ดูแลให้ดี ก็จะฟื้นตัวได้ภายในสองถึงสามวัน แต่เมื่อคืนนางทำงานหนัก ทำให้บาดแผลปริออกอีกครั้ง เสียเลือดไปไม่น้อยเลยทีเดียว ขนาดเลือดที่เปื้อนชุดด้านในก็ล้วนแข็งตัวแล้ว ดูท่า เลือดจะซึมออกมาได้สักพักแล้ว
แต่นางกลับสงบเยือกเย็นมาก ยืนกรานจะรอจนกว่าพิษของเขาจะถูกขจัดไป เมื่อเห็นว่าเขาหลับแล้วถึงได้ให้ชูอีทำแผลให้นางใหม่
นางคิดว่าเขาหลับไปแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าเขาสมองปลอดโปร่งมาก จดจำทุกคำพูดที่นางได้พูดกับชูอีเอาไว้ในใจ
ตอนนั้นที่เปลี่ยนชุดซับใน เขาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน ทว่าเขาไม่เคลื่อนไหว แกล้งหลับต่อไป เพียงเพื่อความใจดีทั้งหมดของนาง เขาจ้องมองไปอย่างตั้งใจ นางในฝันด้านข้างช่างงดงามมาก ใบหน้ารูปไข่ห่านเอนเอียงเล็กน้อย และส่วนเว้าโค้งของนางก็เรียบราวกับหยกอันงดงามที่ถูกแกะสลักเป็นส่วนโค้งที่สมบูรณ์แบบที่สุด จากนั้นก็ทำลวดลายอันวิจิตรเอาไว้ที่ด้านบน
แสงสว่างจากภายนอกสาดส่องไปที่สันจมูกที่โผล่ขึ้นมาจากหว่างคิ้ว ทำให้ทั่วทั้งใบหน้าเคลือบแฝงไปด้วยประกายแวววาว ทว่าจมูกเล็กๆ นั่นก็ยังหายใจอยู่ตลอด ช่างน่ารักยิ่งนัก
มองลงไปที่ด้านล่าง ริมฝีปากอวบอิ่มเปรียบเสมือนดอกอิงเถา[1]ที่ปลิวลอยล่อง ในขณะที่หลับสนิทปากเล็กๆ พึมพำเป็นระยะๆ เผยให้เห็นความรักความทะนุถนอมอย่างลึกซึ้งและแสงสะท้อนจากคลื่นน้ำที่ใสสะอาดซึ่งดึงดูดให้เขาเข้าไปใกล้ แต่มันก็ทำให้เขาทนไม่ได้ที่จะปลุกความฝันอันสวยงามนี้ให้ตื่น ระยะที่เข้าใกล้ได้หยุดอยู่เพียงตรงนั้น
เขาไม่เคยตั้งใจมองดูใบหน้าของนางให้ละเอียดถี่ถ้วนอย่างเงียบๆ มาก่อน เพียงรู้สึกว่าใช้คำพูดที่สวยงามที่สุดในโลกก็ไม่เพียงพอจะบรรยายรูปโฉมของนางแม้แต่น้อย
มั่วเชียนเสวี่ยลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หนิงเซ่าชิงก็นั่งกุมมือนางอยู่ที่หน้าเตียงพลางมองนางด้วยรอยยิ้ม “ตื่นแล้วหรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยเพียงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้นนั่งอย่างนุ่มนวลที่สุด “ในเมื่อตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมาทานข้าวต้มสักหน่อยเถิด”
เขาช่วยประคองให้มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นมาพิงหัวเตียง จากนั้นนางก็กล่าวกับเขาอย่างแผ่วเบา “ท่านนั่งอยู่ตรงนี้มาโดยตลอดเลยหรือ”
หนิงเซ่าชิงยิ้มพลางพยักหน้า
มั่วเชียนเสวี่ยจึงกล่าวอย่างเห็นใจ “เหตุใดถึงไม่นอนพักผ่อนให้มากหน่อย เพิ่งจะขจัดพิษออกไป จะต้องดูแลรักษาร่างกายให้ดี”
ขณะที่พูด หนิงเซ่าชิงก็ได้บิดผ้าเช็ดหน้าแล้ว จากนั้นก็นำมาเช็ดมือและใบหน้าให้มั่วเชียนเสวี่ย
เมื่อวางผ้าเช็ดหน้าลงแล้ว หนิงเซ่าชิงก็ยิ้มตอบรับความเห็นอกเห็นใจนั่น “ไม่จำเป็น พอพิษนี้ถูกขจัดออกไปแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวล้วนโปร่งโล่งสบาย รู้สึกสบายกว่าการเปิดเส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตูในตอนนั้นเสียอีก”
มีใครที่ไหนอธิบายแบบนี้กันบ้าง! มั่วเชียนเสวี่ยผลิยิ้ม หนิงเซ่าชิงยกข้าวต้มมาจากหัวเตียงแล้ว ข้าวต้มนี่เขาได้บอกให้ชูอีเตรียมไว้ก่อนแล้ว “ครั้งที่แล้วข้าป่วยก็เป็นเจ้าที่คอยป้อนน้ำป้อนข้าวข้า ครั้งนี้ถึงคราวที่ข้าต้องดูแลเจ้าบ้างแล้ว”
มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวออกไปอย่างรู้สึกเกรงใจ “ให้ข้าจัดการเองเถิด”
พูดจบนางก็ยื่นมือไปรับข้าวต้มชามนั้น หนิงเซ่าชิงจึงใช้มือที่ยังว่างอีกมือหนึ่งไปจับมือนางมาไว้ที่ด้านข้างอย่างแน่วแน่ “ไม่ได้ เจ้าได้รับบาดเจ็บแล้ว จะเหนื่อยอีกไม่ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลปริออกอีกครั้ง”
[1] ดอกอิงเถา ดอกซากุระ