พอเดินออกจากห้องมา นางก็มองไปที่มุมปากที่ยกขึ้นของเขา พวกเขาจับมือกันแกว่งไปมา พอได้สติ นางก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม “วิชาฝ่ามือของเซ่าชิงร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ เช่นนั้นเรียกมันว่าวิชาฝ่ามือรักหวานชื่นเถิด”
หนิงเซ่าชิงเลิกคิ้วพลางยิ้มโดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ การฝึกฝนการต่อสู้นี้มิอาจทำได้สำเร็จในชั่วข้ามคืน! นางไม่รู้จักการต่อสู้ เมื่อมีอันตรายมาถึงเขาจะปกป้องนางเอง
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้ม เผยให้เห็นความพึงพอใจบนใบหน้า
นึกไม่ถึงเลยว่า คนที่จริงจัง ขี้อายและเป็นสุภาพบุรุษอย่างเขา ก็ขี้เล่นเหมือนกัน ทั้งยังรู้จักทำตัวโรแมนติกอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ก็ยังใจกว้าง สุขุมนุ่มลึก กุมมือของนางไว้ ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยอุ่นใจ นางเชื่อว่า เพียงมีเขาอยู่ทุกอย่างก็จะราบรื่น
ในเมืองเทียนเซียง จ้าวต้าเฟยเพิ่งออกมาจากบ่อนและได้เดินผ่านแผงขายของเล็กๆ ร้านหนึ่ง เขาเห็นชายสองคนคลี่ม้วนภาพออกมาพลางถามเจ้าของแผงลอยนั่น “ท่านเคยพบเจอคนในรูปนี้หรือไม่” เขาเหลือบมองดูเล็กน้อย
ตั้งแต่ที่ครอบครัวอาซ้อรองจ้าวถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านอู่เจีย เขาก็ได้ขโมยเงินทั้งหมดของครอบครัวแล้วเข้าเมืองมา ครั้งสุดท้ายเขาทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อร์คอยต้อนรับแขกอยู่ได้ไม่กี่วัน เจ้าของร้านก็ปิดกิจการแล้ว เขาจึงร่วมทำเรื่องฉ้อโกงกับอันธพาลสองสามคนที่เพิ่งเจอมาก่อนหน้านี้
เจ้าของร้านคนนั้นส่ายหัวพลางบอกว่าไม่เคยเห็นมาก่อน จากนั้นเขาก็กลับไปง่วนอยู่งานของตนเองต่อ แต่จ้าวต้าเฟยกลับดูภูมิใจมาก เมื่อครู่นี้เพิ่งจะสูญเงินไปจนเกลี้ยง กลัวว่าจะไม่มีเงินไปเล่นต่อเพื่อเอาเงินคืนจากบ่อน แต่ตอนนี้เงินลอยมาแล้ว
คนในรูปคือท่านอาจารย์หนิงมิใช่หรือ วันนี้ข้ารวยอีกแล้ว!
เขาเดินตามชายทั้งสองเข้าไปใกล้ๆ และกระซิบบอกพวกพวกเขาจากด้านหลัง “ข้าเคยเห็นคนในภาพมาก่อน”
ชายสองคนต่างมองหน้ากัน หยุดเดินแล้วหันกลับไปพลางกล่าวอย่างเย็นชา “เขาอยู่ที่ไหน”
จ้าวต้าเฟยทำท่าโยนเงิน “เหตุใดข้าถึงต้องบอกพวกเจ้าด้วย”
ชายคนหนึ่งใช้มือล้วงเข้าไปในอก แล้วหยิบเงินสิบตำลึงโยนออกไปให้เขา “ตอนนี้บอกได้แล้วสินะ”
พอรับเงินมา เขาก็กัดปากแล้วผลิยิ้มอย่างมีความสุขออกมาทันที “คนผู้นี้แซ่หนิง เขาเป็นอาจารย์อยู่ที่สำนักปฐมวัยซึ่งอยู่ในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่นอกเมืองไปไม่ไกลนัก…”
ชายทั้งสองรีบกล่าว “รีบพาพวกเราไปหาเขา”
สองคนนี้โง่เง่าตามเขาไม่ทัน เมื่อครู่นี้ให้เงินเขามาอย่างง่ายๆ แน่นอนว่าต้องฉวยโอกาสนี้เรียกเงินให้มากหน่อย จ้าวต้าเฟยเก็บเงินไว้ในอก แล้วทำท่าโยนเงินอีกครั้ง
ชายผู้ที่ถามยิ้มเหยียดหยัน นำเงินออกมาแล้วโยนให้เขา “รับไปซะ แล้วรีบนำทางไป”
ระหว่างทาง จ้าวต้าเฟยได้บอกทุกเรื่องที่เขารู้ให้พวกเขาทราบจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสามคนก็มาถึงบริเวณนอกหมู่บ้านหวังจยา ทั้งสองคนต่างมองหน้ากันพลางพยักหน้า จากนั้นก็ชักดาบออกมาจากด้านหลัง สังหารจ้าวต้าเฟยในทันที พวกเขายิ้มเจ้าเล่ห์พลางหยิบเงินที่ให้ไปสองรอบกลับคืนมา แล้วก็โยนเขาลงไปในหุบเขาทันที แม้แต่พิธีศพเขาก็ยังไม่มีโอกาสได้จัด
หลังจากเสร็จเรื่องนี้แล้ว ทั้งสองคนก็ซ่อนตัวอยู่ในป่า แล้วก็ปล่อยนกพิราบออกไป
ไม่นานนัก ก็มีสตรีนางหนึ่งผู้โดดเด่นควบม้าเข้ามา พอมาถึงทางเข้าหมู่บ้านก็ลงจากม้า นางจูงม้าแล้วไปถามชาวบ้าน จากนั้นมุ่งหน้าไปเรือนสกุลหนิงทันที
งานแต่งของ เจี่ยนชิงโยวกับซินอี้หมิง คือวันพรุ่งนี้ วันแต่งงานของพวกเขาใกล้เข้ามาถึงแล้ว เป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ
คุณหนูเจ็ดเจี่ยนชิงเจิน ผู้นั้นถูกจับได้ในงานหมั้นวันนั้นของเจี่ยนชิงโยวว่าแอบล่วงประเวณีกับเด็กรับใช้ ถึงแม้จะมีเหล่าไท่จวินออกหน้าจัดการเรื่องนี้ให้ แต่ฮูหยินรองกับคุณหนูเจ็ดก็ถูกส่งตัวออกจากจวนไปในวันนั้น และได้ไปอยู่ที่สำนักนางชี ด้านนอกพูดกันว่าพวกนางไปขอพร แต่ความจริงแล้วถูกบังคับให้ออกจากจวนไป ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แม้ว่าจะปิดปากฮูหยินเหล่านั้นโดยการให้ผลประโยชน์แล้ว และให้ปิดเรื่องนี้เอาไว้ แต่กลับไม่อาจหยุดการวิจารณ์อย่างสงสัยต่างๆ นาๆ ลับหลังได้
ใครจะคิดว่า ผ่านไปได้ไม่กี่วัน คุณหนูห้าตระกูลเจี่ยนก็ถูกคนพบว่าลักลอบพบกับบุตรชายผู้เสเพลชื่อเสียงเลวร้ายของตระกูลที่ร่ำรวยในเมืองหลวง
คนรวยผู้นั้น ชอบออกไปสำมะเลเทเมาในเมือง ยังไม่ทันได้แต่งงานก็มีเมียเก็บจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ได้ยินมาว่ายังแอบเลี้ยงผู้ชายเอาไว้อีกด้วย ผู้หญิงดีๆ มีชาติตระกูลที่ไหนจะมาแต่งงานกับคนเช่นนี้
ทว่า ในตอนที่คุณหนูห้าตระกูลเจี่ยนผู้นั้นถูกคนพบ ชุดของนางก็กระเซอะกระเซิง ชื่อเสียงถูกทำลาย ต้องเป็นอนุ จำต้องหมั้นโดยเร็ว เกี้ยวถูกยกเข้าประตูมาได้ยินมาว่าพอผ่านประตูเข้ามา ผ่านไปไม่กี่วันก็มีสภาพที่เรียกได้ว่าคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง
สองสามวันนี้ก็ยังไม่ยุติ คุณชายรองเจี่ยนก็นอนรักษาอาการบาดเจ็บอยู่บนเตียง แต่เขาก็เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน
การโจมตีอย่างต่อเนื่องทำให้ตระกูลเจี่ยนวุ่นวายไปหมด เจี่ยนเหล่าไท่จวินสั่งการลงมาให้เลือกวันให้ เจี่ยนชิงโยวล่วงหน้า พวกเขาจำเป็นต้องมีงานแต่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อหยุดไม่ให้คนนินทา
มั่วเชียนเสวี่ยอยู่ในห้องตำรา กำลังเขียนจดหมายถึงเจี่ยนชิงโยว ชูอีก็ผลักประตูเข้ามา พลางพูดด้วยความดีใจว่า “คุณหนู หมัวมัวมาแล้ว”
มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้น สืออู่ก็ได้พยุงสตรีนางหนึ่งที่ดูเรียบร้อยอายุราวๆ สามสิบกว่าปีเข้ามาในห้อง ผู้หญิงคนนี้มีใบหน้าที่งดงาม แต่คิ้วกลับขมวด และจ้องมองนางอย่างตื่นเต้นมาก
เมื่อสตรีคนนั้นเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้น นางก็น้ำตาคลอเบ้าทันที
แม้ว่านางจะตื่นเต้น แต่ระหว่างที่เคลื่อนไหวก็ไม่ได้ลืมมารยาท นางได้โค้งตัวคำนับ “มั่วเหนียง คำนับคุณหนู”
เพิ่งจะคำนับไป ก็คุกเข่าโค้งคำนับที่พื้นอีกครั้ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “บ่าวมาช้าไป คุณหนูโปรดลงโทษด้วย”
มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว “หมัวมัวโปรดลุกขึ้น” ส่งสัญญาณให้ชูอีกับสืออู่พยุงนางขึ้นมา
มั่วเหนียงก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล พออีชูและสืออู่ช่วยพยุงขึ้นมา สีหน้าก็แลดูเศร้าสร้อย “บ่าวได้รับความไว้วางใจจากฮูหยินให้ดูแลคุณหนู หลังจากที่บ่าวส่งคุณหนูกลับเมืองหลวงแล้ว ก็ค่อยทำโทษบ่าวเถิด”
มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินชูอีกับสืออู่พูดถึงมั่วเหนียงผู้นี้อยู่หลายครั้งหลายครา เพียงมองแค่แวบเดียว นางก็เห็นความรักที่มาจากใจในดวงตาของมั่วเหนียง ซึ่งคล้ายกับสายตาที่แม่ของนางมองนางในชาติก่อนมาก
ในขณะนั้นเอง ที่ดวงตาของนางสั่นไหว อีกนิดเดียวก็แทบจะเห็นเป็นเงาทับซ้อนกันระหว่างแม่ของนางในยุคปัจจุบันกับหมัวมัวคนนี้แล้ว นางกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มออกมาเล็กน้อย “หมัวมัวทำดีที่สุดแล้ว ถ้าท่านแม่ที่อยู่ปรโลกรู้นางก็จะไม่โทษท่านหรอกนะ”
คำพูดนี้ทำให้ใจของมั่วเหนียงสงบลง ทำให้จิตใจของนางมั่นคงขึ้นเช่นกัน ที่ได้รับอภัยจากเรื่องที่ผิดพลาดในอดีต เรื่องในอดีตไม่ควรไปยึดติด นางสามารถใช้วิธีการของตนเอง เพื่อหาจุดยืนของตัวนางเองในโลกที่แตกต่างใบนี้ได้
นางต้องกลับเมืองหลวงอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าจะใช้สถานะของเสวี่ยเอ๋อร์แล้ว แต่ก็ไม่ได้จะใช้ชีวิตอยู่แทนเสวี่ยเอ๋อร์ นางที่มีชีวิตอยู่จะเป็นเพียงมั่วเชียนเสวี่ยตลอดไป ไม่ใช่คนอื่น
ได้ยินมาว่านางคือบ่าวรับใช้ที่เป็นสินสอดของมารดาตนเอง โตมากับท่านแม่ ฉลาดเฉลียว เก่งทั้งบุ๋นและบู๊เดิมทีท่านแม่จะยกนางให้ไปเป็นภรรยาของแม่ทัพหนุ่มขั้นสี่ ทว่านางกลับสาบานว่าจะไม่แต่งงานชั่วชีวิต
จากนั้นนางก็ทำตามตรรกะความคิดของตนเองคอยรับใช้ดูแลท่านแม่มาโดยตลอด นางมักจะเป็น ที่พึ่งพาของท่านแม่ ต่อมา ท่านแม่ก็ได้ติดตามตามพ่อไปที่ชายแดน แต่ก็กลัวว่านางจะถูกรังแกจึงได้ฝากเชียนเสวี่ยเอาไว้ให้หมัวมัวดูแล
ชูอีตอบกลับ “ใช่แล้ว หมัวมัว ในเวลานั้นท่านเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ฮูหยินที่อยู่ในปรโลกจะไม่ตำหนิท่านแน่นอน”
สืออู่ก็พูดเช่นกัน “หมัวมัว ไม่เจอกันนานเลย สืออู่คิดถึงท่านนะ”
เจ้านายและบ่าวพูดพวกนางทั้งสี่คนพูดคุยกันได้สักพัก มั่วเชียนเสวี่ยยังได้ถามถึงความเคลื่่อนไหวบางอย่างในเมืองหลวง หนิงเซ่าชิงก็กลับมาแล้ว
ชูอีและสืออู่ถอยมายืนอยู่ข้างๆ ตามกฎ “คำนับกูเหยียเจ้าค่ะ”