แต่ชูอีกลับมองเห็นอย่างชัดเจน นางตัดหัวข้อการสนทนานั้นทิ้งไป พลางกล่าวกับมั่วเหนียงด้วยรอยยิ้ม “หมัวมัว คุณหนูยังบริสุทธิ์อยู่” ทันที่ที่ได้ยินคำพูดนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็เข้าใจถึงความกังวลใจของมั่วเหนียงในทันที ตอนนั้นที่ได้รับบาดเจ็บคนที่ช่วยนางทำความสะอาดเนื้อตัวก็คือชูอี นางจะรู้เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลก
มั่วเชียนเสวี่ยมิได้กล่าวสิ่งใด จึงตกอยู่ในสายตาของหมัวมัวโดยปริยาย นางกล่าวอย่างมีความสุข “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ชูอีเหลือบมองไปที่มั่วเชียนเสวี่ย เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางนิ่งสงบ จึงได้กล่าวเสียงค่อย “คือว่าเมื่อครั้งก่อนตอนที่ช่วยทำแผลให้คุณหนู ก็เห็นว่าจุดแดงพรหมจรรย์ของนางยังคงอยู่”
“ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาครึ่งปีกว่าๆ แต่กลับรักษามันไว้ได้จนถึงตอนนี้ กูเหยียช่างเป็นเหมือนรูปปั้นจริงๆ” มั่วเหนียงอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้ มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเบาๆ โดยไม่พูดอะไร
เหตุผลจริงๆ นางย่อมจะบอกใครไม่ได้อยู่แล้ว
จวนเจี่ยนเต็มไปด้วยโคมไฟหลากสีที่ประดับประดาตกแต่งเอาไว้ พอมั่วเชียนเสวี่ยไปถึงก็มีคนมาพานางไปยังห้องส่วนตัวของเจี่ยนชิงโยว
เดิมทีนางควรจะนำกล่องของขวัญมาให้ตั้งแต่เมื่อวาน ทว่ามีบางเรื่องจึงทำให้ล่าช้าไป ภายหลังมั่วเหนียงก็ได้มา พอดีเลยนางกำลังอยากเห็นการแต่งตัวของเจ้าสาว ดังนั้นวันนี้จึงตื่นแต่เช้าตรู่
วันนี้เจี่ยนชิงโยวเป็นเจ้าสาว มั่วเชียนเสวี่ยจึงไม่ควรอยู่ที่นี่นาน หลังจากนำของขวัญกับจดหมายที่นางเขียนเมื่อวานส่งให้ไปแล้ว ก็พูดแนะนำไม่กี่คำ แล้วก็ลุกขึ้นจากไป กล่องของขวัญที่มั่วเชียนเสวี่ยให้นางก็คือหุ้นจากโรงงานซีอิ๊วกับน้ำส้มสายชูที่อยู่ในหุบเขา นางมอบหุ้นสองหุ้นของโรงงานนี้ให้กับถงจื่อจิ้งและอีกสองหุ้นให้กับเจี่ยนชิงโยวให้ใช้เป็นเป็นสินเดิม
ถ้าต้องจากที่นี่ไป ก็ต้องหาที่พึ่งให้โรงงาน ถ้าไม่มีก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
หุบเขาอยู่ตรงหน้าคฤหาสน์ถง ควรจะมีถงจื่อจิ้งคอยดูแลจัดการ เขามีความโปร่งใสในเรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่ว่านางจะให้ผลประโยชน์หรือไม่ก็ตาม ถงจื่อจิ้งก็จะไม่มีวันทำร้ายนาง เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ป้องกันตาเฒ่าถงนั่นได้แล้ว
การให้หุ้นเจี่ยนชิงโยวจำนวนสองหุ้น ก็ย่อมจะเป็นการดึงเส้นสายของตระกูลเจี่ยนเข้ามา ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปสร้างปัญหาอีก
เรื่องหุ้นของร้านแกะสลักนางก็ได้เตรียมการไว้แล้ว มอบให้หมู่บ้านหวังจยาสองหุ้น และอีกสองหุ้นมอบให้กับซินอี้หมิงเป็นของขวัญแต่งงาน เหตุผลก็เช่นเดียวกับโรงงาน
สำหรับโรงงานเต้าหู้ ก็แบ่งหุ้นให้กับอาซ้อฟางสองหุ้น และมอบให้กับหมู่บ้านสองหุ้น
ทันทีที่มั่วเชียนเสวี่ยจากไป นางก็ป่าวประกาศเรื่องที่นางใช้หุ้นเป็นของขวัญแต่งงานเพื่อให้ข่าวนี้ไปถึงหูของเหลียงหมัวมัว
“ได้ยินมาว่าหนิงเหนัยงจื่อมอบหุ้นของโรงงานน้ำส้มสายชูซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ให้แก่คุณหนูใหญ่เป็นของขวัญวันแต่งงาน” เหลียงหมัวมัวรับใช้ไปพลางเล่าเรื่องนี้ไปพลาง
เจี่ยนเหล่าไท่จวินหรี่ตาลง พลางจิบชา “นางช่างฉลาดจริงๆ แต่ว่า คนที่ใจกว้างและมีเหตุผลเช่นนางทุกวันนี้พบเจอได้น้อยนัก”
“ใช่เจ้าค่ะ!” เหลียงหมัวมัวตอบรับในขณะที่ทุบหลังให้กับเจี่ยนเหล่าไท่จวิน
เจี่ยนเหล่าไท่จวินกล่าว “ได้ยินมาว่าน้ำส้มสายชูชุดต่อไปที่ผลิตในโรงงานนั้นยังกลั่นไม่ได้ที่ ทั้งยังได้ยินมาอีกว่าทั้งหมดที่มีล้วนขายจนเกลี้ยงแล้ว กิจการเช่นนี้ ต่อไปย่อมจะมีคนละโมภอยากได้เป็นแน่ หากมีตระกูลซินและตระกูลเจี่ยน ตระกูลใหญ่ทั้งสองคอยปกป้องโรงงานของนางแล้ว นางก็จะไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลใจ”
“หมัวมัวที่คอยติดตามนางท่าทางไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เห็นแวบแรกก็รู้เลยว่านางคือหมัวมัวที่ได้รับการอบรมมาจากตระกูลใหญ่ ท่านคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวสถานะของหนิงเหนียงจื่อเจ้าคะ”
“ไม่ว่านางจะมีสถานะอย่างไร ตอนนี้นางได้แสดงความปรารถนาดีต่อตระกูลเจี่ยนของเรา ทั้งยังเป็นพี่น้องที่ดีกับชิงโยว ต่อไปภายภาคหน้าพวกเราก็ย่อมจะต้องให้ความช่วยเหลือนางแน่นอน…”
“…”
เมื่อเห็นว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่ มั่วเชียนเสวี่ยก็อยู่ในเมืองอีกสักพัก หลังจากที่ซื้อของกินของใช้เสร็จแล้ว ก็ให้อาอู่ขับรถม้ากลับ
เพิ่งเดินทางมาได้ครึ่งทาง มั่วเหนียงก็ได้เล่าถึงเรื่องของกั๋วกงกับฮูหยินเมื่อครั้งยังหนุ่มสาวให้ฟัง รถม้าเคลื่อนที่เร็วขึ้น มีเสียงของอาอู่ดังมาจากด้านหน้าอย่างเร่งรีบ “ฮูหยิน นั่งให้ดีๆ”
คิ้วของมั่วเหนียงขมวดแน่น แล้วนางก็คว้าดาบขึ้นมา
ชูอีทำท่าทางประหนึ่งประจันหน้ากับศัตรูตัวฉกาจนางคอยคุ้มครองมั่วเชียนเสวี่ยอยู่ด้านหน้า
มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินเสียงกรอบแกรบที่ด้านนอกแล้ว ไม่ใช่เสียงกีบม้าเหมือนครั้งที่แล้ว แต่เป็นเสียงลม และเสียงที่ซ่อนอยู่ในลมที่เหมือนมีคนพยายามควบคุมเสียงนั้นเอาไว้
นกในป่าข้างทางส่งเสียงร้องตกใจกลัวพลางกระพือปีกพุ่งไปบนท้องฟ้า
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกวิตกกังวล ยกมุมม่านขึ้นอย่างระมัดระวัง ก็เห็นร่างคนซึ่งกำลังพุ่งมาทางนี้อยู่ไกลๆ
พวกเขาไม่ได้ส่งเสียงดังใดๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สนใจการเล่นไล่ล่าและหลบหนีมากนัก
ในตอนนี้ มีสองคนที่กระโจนเข้ามาโจมตีอาอู่ คนที่ตามมาด้านหลังก็ใช้ฝ่ามือตบไปที่ม้า
ในขณะที่อาอู่ยกมือขึ้นแก้ทางการจู่โจมของทั้งสองคน คนที่อยู่ด้านหลังก็ฆ่าม้าที่ลากรถม้าแล้ว
ม้าตกใจ ส่งเสียงร้อง และตายในทันที! แต่รถม้าก็ยังคงพุ่งไปข้างหน้า หากควบคุมไม่ได้ เกรงว่าคงจะต้องปะทะกับม้าที่ตายอยู่ข้างหน้าเป็นแน่ รถม้าพังเป็นเรื่องเล็ก แต่คนที่อยู่ในรถม้าจะต้องร่วงลงมา และกระเด็นออกจากรถม้าไปแน่นอน
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี อาอู่จึงเหวี่ยงดาบไปหาสองคนนั้นที่ด้านหน้า แล้วพลิกตัวลงจากรถม้า มือหนึ่งก็คว้าตัวที่ยึดรถม้าเอาไว้
สองคนนั้นกลับซัดฝ่ามือเข้ามาด้านหน้า อาอู่หลบไม่ทัน ทำได้เพียงอดทนต่อสองฝ่ามือนี้อย่างสุดกำลัง รถม้าหยุดลงแล้ว แต่ร่างของเขากลับกระเด็นลอยออกไป
พอม้าตายรถม้าหยุด เพียงเสี้ยววินาทีเดียว คนจากทั้งสองด้านก็เร่งรุดเข้ามา ห้อมล้อมรถม้าเอาไว้
พวกเขาไม่ได้โจมตีรถม้าด้วยอาวุธ แต่ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ เพื่อสร้างวงล้อม โดยแยกอาอู่ออกจากรถม้า อาอู่ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และสามคนก่อนหน้านี้ก็พุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง…
คนกลุ่มนี้มีจำนวนไม่มาก ไม่ได้ปกปิดใบหน้า และแต่ละคนเงียบขรึมและร่วมมือกันเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่า พวกเขาเก่งกาจกว่ากลุ่มคนที่ดูวุ่นวายไม่เป็นระเบียบเมื่อครั้งก่อนมาก
พอรถม้าหยุด หูของมั่วเหนียงก็ขยับ นางรู้ดีถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอก
นางชักดาบออกมาจากเอว มองไปที่ชูอีพลางพูดเสียงต่ำ “ชูอี ข้าจะไปช่วยอาอู่ต่อสู้กับศัตรู พอตีฝ่าวงล้อมได้แล้ว เจ้าก็รีบพาคุณหนูกลับไปหากูเหยียที่หมู่บ้านหวังจยา”
“รับทราบ” ชูอีพยักหน้าพลางพยุงมั่วเชียนเสวี่ย เตรียมพร้อมที่จะไป
สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำเสียงแหบแห้ง “หมัวมัว…”
มั่วเหนียงเหลือบมองไปที่มั่วเชียนเสวี่ยเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วพลางกล่าวเสียงต่ำ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาชักช้า คุณหนูรีบไปกับชูอี…”
พอพูดจบ ดาบยาวของมั่วเหนียงก็แทงทะลุรถม้าออกไป ทำให้รถม้าแตกออก
วินาทีถัดมา นางก็อยู่กลางอากาศแล้ว ดาบพุ่งเข้าไปด้านข้าง
ผู้คนด้านนอกที่รายล้อมอยู่ ย่อมจะไม่คาดคิดว่าหญิงชาวบ้านสองสามคนในรถม้าจะแข็งแกร่ง หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ดูอ่อนแอ แต่กลับมีฝีมือถึงขนาดนี้ ขณะที่ไม่ทันได้ตั้งตัว พวกเขาสองสามคนก็ได้รับบาดเจ็บเพราะดาบของหมัวมัว จนสามารถเปิดแนวป้องกันเล็กๆ ออกได้
เบื้องหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยล้วนนองไปด้วยเลือด เหมือนว่าที่ปลายจมูกจะได้กลิ่นคาวเลือดนิดๆ ด้วย
ขณะที่มึนงง ชูอีก็แบกนางพุ่งออกไปในทันที กระโจนออกไปจากทางออกเล็กๆ นั่น ไม่นานก็พุ่งออกไปได้ไกลถึงหลายสิบจั้ง ทิ้งวงล้อมที่อยู่เบื้องหลังห่างออกไปไกล
ผู้คนที่ห้อมล้อมก็ได้สติขึ้นมา สองสามคนร่วมกันต่อสู้กับมั่วเหนียง แต่คนส่วนใหญ่กลับติดตามพวกนางไป
ในเวลานี้ ก็มีองครักษ์ลับสองคนโผล่ออกมาจากที่ลับ มาสกัดกั้นผู้คนที่มี่กำลังมุ่งเข้ามา
เพียงแต่ คนที่มามีจำนวนมาก องครักษ์สองคนที่สกัดกั้นไว้ ผู้คนที่ห้อมล้อมก็แยกกัน กลุ่มหนึ่งอยู่โจมตีองครักษ์สองคนนี้ อีกกลุ่มหนึ่งไล่ตามไป
พวกเขาไล่ตามมา ถ้าชูอีจะหนีไปคนเดียวย่อมจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่นางยังต้องแบกมั่วเชียนเสวี่ยไปด้วย จึงไม่สามารถเร่งความเร็วให้เร็วกว่านี้ได้
นางจึงตัดสินใจวางมั่วเชียนเสวี่ยลงในทันที พลางกล่าวอย่างเร่งรีบ คุณหนู บ่าวจะสกัดกั้นคนที่ตามมา ท่านรีบหนีไปก่อนเถิด”