ฮ่องเต้เหลือบมองหัวหน้าตระกูลเซี่ยอย่างดูแคลนพลางกล่าวอย่างแดกดัน “หัวหน้าตระกูลเซี่ย เชี่ยวชาญในการวางกลยุทธ เอาชนะจากระยะไกลได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน บุตรีคนโตกลายเป็นคนที่ถูกทอดทิ้ง หรือว่าจะให้ข้าพูดให้ฟังอย่างละเอียด”
บุตรีคนโตถูกทอดทิ้ง! ประโยคนี้บีบหัวใจเขาเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ใจของหัวหน้าตระกูลเซี่ยสั่นคลอน เขาคิดมาโดยตลอดว่าเหตุการณ์ในปีนั้นไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่กลับมีคนคอยมองดูอยู่มาจนถึงตอนนี้ จะไม่ให้เขาอับอายได้อย่างไร
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสุดยอดตระกูลขุนนางจะเกี่ยวพันกัน แต่กลับไม่เคยข้องเกี่ยวกันด้วยเรื่องการแต่งงานมาก่อน แม้จะเป็นอนุ หรือเมียเก็บก็ตาม
ปีนั้นที่เซี่ยซื่อสามารถแต่งเข้าตระกูลหนิงได้ เป็นการพลิกสถานการณ์ของตระกูลให้กลับมาดี
ด้วยเพราะเรื่องนี้ ตระกูลเซี่ยของเขาจึงมีความแข็งแกร่งมาก เพื่อที่จะให้แน่ใจว่าบุตรคนนี้มีประโยชน์ สิบกว่าปีมานี้ก็ไม่ได้มีการติดต่อกันแม้แต่น้อย
ฝ่าบาทรู้ได้อย่างไร
เวลาเหมือนว่าจะหยุดลง ดูเหมือนว่าที่บนหัวของหัวหน้าตระกูลเซี่ยจะมีเหงื่อออก ที่ตระกูลเซี่ยของเขามีทุกอย่างได้ในวันนี้ ก็ต้องพึ่งพาความสัมพันธ์ทางสังคม นั่นก็คือเหล่าขุนนางในราชสำนัก และยังต้องพึ่งพาอำนาจของคนในราชวงศ์อีกด้วย
ถ้าตระกูลเซี่ยของเขาไม่มีกำลังทรัพย์จากตระกูลหนิง และไม่มีอำนาจทางการทหารจากตระกูลซู ก็ยากที่จะยืดหยัดอย่างมั่นคงได้ ทำได้แต่เข้าหาคนในราชวงศ์เท่านั้น
ฝ่าบาทเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร จึงส่งเสียงหึออกมา “ตระกูลหนิงแข็งแกร่งมาก ลำพังเจ้าเพียงคนเดียวควบคุมไม่ได้หรอก! เกรงว่า…ถึงแม้เจ้าจะกลืนมันเข้าไป แต่มันก็ย่อยยาก”
ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อดีเสียแล้ว ก็แอบวางแผน หัวหน้าตระกูลเซี่ยพยายามข่มจิตใจที่เคืองโกรธลง ในขณะที่อยู่ในความนิ่งสงบท่าทางเขาก็ดูผ่อนคลายลง เขาจึงลุกขึ้นโค้งคำนับ “ฝ่าบาทโปรดชี้แจงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ให้เซี่ยซื่อของเจ้าช่วยข้าเอาตระกูลหนิงมา ข้ารับปากว่าตระกูลเซี่ยของเจ้าจะเจริญรุ่งเรืองตลอดไป ต่อไปตำแหน่งจะไม่มีทางสั่นคลอนอย่างแน่นอน”
เขาย่อมจะรู้ถึงความโกรธที่มีอยู่ในใจของเขา รู้ว่าเขาไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ไปขัดขวางแผนการณ์ของเขา ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบตระกูลเซี่ยก็อยู่ในกำมือของราชวงศ์ของเขาอยู่แล้ว
“ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมจะรับใช้พระองค์อย่างสุดความสามารถ” หัวหน้าตระกูลเซี่ยกลับไม่ได้คิดอะไรมาก แม้ว่าเขาจะเอ่ยปากรับคำฮ่องเต้ แต่กลับไม่ตอบฮ่องเต้ด้วยสีหน้าที่ดีนัก “ที่เรือนของกระหม่อมยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ หากฝ่าบาทมิมีเรื่องอันใดแล้ว กระหม่อมขอทูลลา”
ตระกูลเซี่ยของเขาพึ่งใบบุญของคนในราชวงศ์ถึงได้สามารถเชิดหน้าชูตาได้ ทว่าราชวงศ์ก็จะโดดเดี่ยวหากไม่มีตระกูลเซี่ยคอยสนับสนุน ในราชสำนักไม่ต้องไปคิดถึงความราบรื่นเลย
เพล้งงง หัวหน้าตระกูลเซี่ยเพิ่งจะออกจากประตูไป ฮ่องเต้ก็ปาแก้วที่อยู่ในมือลงบนพื้น
ถ้าเปรียบโลกเป็นกระดานหมากรุก ข้าก็คือผู้เล่นเพียงคนเดียว คนอื่นๆ ล้วนเป็นหมากในกระดาน
เพียงรอให้ข้าจัดการตระกูลหนิงได้เสียก่อน ข้าก็จะได้กำลังทรัพย์และกองกำลังลับ แล้วค่อยยึดอำนาจทางการทหารของตระกูลซู ต่อไปภายภาคหน้าก็จะไม่มีสุดยอดตระกูลขุนนางอีกต่อไป และยิ่งจะไม่มีตระกูลเซี่ยของเจ้าด้วย
ราชวงศ์เทียนฉีจะเป็นโลกของข้าคนเดียวเท่านั้น และก็จะไม่มีใครที่จะมีศักดิ์ศรีเสมอข้าอีก ทุกคนที่เข้าเฝ้าข้าจะต้องคุกเข่าโค้งคำนับ แสดงความเคารพ
ในระหว่างนั้น ข้าก็ค่อยใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ ยกเลิกสิทธิพิเศษของตระกูลขุนนางขั้นหนึ่ง ตระกูลขุนนางก็จะเป็นเมฆหมอกที่จะสลายหายไปเท่านั้น
ราชวงศ์เทียนฉี จะมีเพียงราชวงศ์ของข้าที่มีเกียรติสูงส่งหนึ่งเดียว!
จนถึงตอนนี้ ก็จะไม่มีใครกล้าเรียกชื่อแซ่ต่อหน้าข้าแล้ว
หัวหน้าตระกูลเซี่ยได้ยินเสียง เพล้ง นั้นอย่างชัดเจน ก็ยิ้มเย้ยหยันในทันที
มัวแต่คิดร้ายต่อผู้อื่น จึงไม่ทันรู้ตัวว่าหายนะตามหลังมา!
ฝ่าบาทวางแผนมาดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ! จะกินตระกูลหนิงทั้งหมด ไม่เหลือแม้แต่น้ำแกงให้กับตระกูลเซี่ยของเขาเลยหรือ ไม่มีทาง!
ไม่รู้เหรอว่า ตระกูลเซี่ยของข้าไม่ต้องพึ่งพาอำนาจจากราชวงศ์ของเขาตั้งนานแล้ว
คนในตระกูลเซี่ยได้เป็นฮองเฮามาหลายชั่วอายุคน แต่ไม่มีสักคนที่ให้กำเนิดองค์ชาย
ฮองเฮาทุกพระองค์ในราชวงศ์ล้วนมีภาวะมีบุตรยาก บางครั้งถ้าพวกนางตั้งครรภ์ก็จะเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง สุดท้ายก็มีเพียงบุตรีเท่านั้นที่สามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย ตระกูลกูของเขาคิดว่าตระกูลเซี่ยของข้าจะยอมเป็นคนโง่ที่ให้พวกเขาเล่นอยู่ในฝ่ามืออย่างนั้นหรือ
ในวังแห่งนี้คนที่มีอำนาจมากที่สุดก็คือฮ่องเต้ หากเขาไม่ต้องการให้สตรีจากตระกูลเซี่ยให้กำเนิดองค์ชาย ฮองเฮาก็จะไม่มีวันจะมีบุตรชายตลอดไป
ให้กำเนิดบุตรีได้กี่คน ก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากแพทย์ในราชสำนักก่อน อย่างไรก็ได้บุตรีอยู่ดี เพื่อที่จะปิดปากคนทั้งโลก เพื่อที่จะระงับความโกรธของตระกูลเซี่ยของเขา ก็ต้องให้คลอดออกมา
กำลังทรัพย์และกองกำลังลับของตระกูลหนิง ตระกูลเซี่ยของเขาจะต้องเอามาให้ได้แน่
……
รถม้าขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วภายใต้การคุ้มกันของคนไม่กี่คน นิ่งสงบมาตลอดทั้งวัน
เส้นทางสาธารณาสายตาผู้คนมากมายคอยจับจ้อง จึงเปลี่ยนเส้นทาง สุดท้ายหนิงเซ่าชิงก็กำหนดเส้นทาง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเส้นทางเดินป่าเล็กๆ
เส้นทางเล็กๆ นี้ลึกลับมาก ถึงแม้สุดท้ายแล้วจะเลี่ยงการถูกตามฆ่าไม่ได้ แต่มันก็ทำให้คนที่ตามล่างุนงง ไม่อาจล่วงหน้าไปซุ่มโจมตีได้
ฟ้าก็มืดแล้ว กองกำลังทั้งหมดก็หยุดพักผ่อนอยู่ในป่าทึบ
มองไปข้างหน้า ก็เห็นเนินเขาเป็นลูกคลื่นทอดยาวไกลสุดสายตา ป่านี้กว้างใกล้ไพศาล กลางป่าเขียวขจียังมีดอกไม้เล็กๆ สีเหลืองกระจัดกระจายอยู่ประปราย
สถานที่แห่งนี้ได้เปิดสายตา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสถานที่ที่กำหนดไว้ล่วงว่าจะค้างคืน
อาซานล่าเนื้อกวาง อาอู่หาที่กำบังเพื่อก่อไฟ มั่วเหนียงพาชูอีและสืออู่ไปย่างเนื้อสักหน่อยให้ทุกคนได้แบ่งกันทาน อิ่งชาและองครักษ์ทั้งสี่ ผลัดกันเปลี่ยนเวรยาม
รถม้าใหญ่มาก มั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงจึงนอนค้างคืนอยู่ในรถม้า
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นช่วงต้นฤดูร้อน ทว่ากลางคืนก็มีลมภูเขาพัดผ่านมา มันจึงค่อนข้างที่จะหนาว
ในรถม้า มั่วเชียนเสวี่ยซุกอยู่ที่อกของหนิงเซ่าชิง เขาลูบผมที่งดงามของนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“ข้าได้ยินข่าวลือจากเมืองหลวงมาว่า สุขภาพของท่านพ่อข้าไม่ค่อยจะดีเหมือนปีก่อนๆ ปีนี้เขาก็ล้มป่วยหนักกว่าเดิมอีก เดิมทีข้าก็ไม่เชื่อ แต่พอเห็นแม่ลูกมหาประลัยพวกนั้นกระทำการอย่างอุกอาจ ไร้ความปรานีเช่นนี้ ข้าก็ต้องเชื่อแล้ว”
ท่านพ่อเฉลียวฉลาดมาตลอดชีวิต เขาไม่เคยยอมให้เม็ดทรายเข้าตาเขาแม้แต่น้อย และไม่มีทางทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นโดยเด็ดขาด
เคยเห็นเขาผลิยิ้มอย่างอ่อนโยน เคยเห็นเขาไร้เหตุผล อาละวาด มัดนาง กัดนาง เคยเห็นเขาแสดงทัศนคติต่อโลกอย่างเสรี ทั้งยังเคยเห็นเขาเต็มไปด้วยความหึงหวง…แต่น้อยครั้งนักที่มั่วเชียนเสวี่ยจะหนิงเซ่าชิงกังวลกับเรื่องอะไรสักอย่างจริงๆ นี่คือครั้งแรกรับรู้ได้ถึงความรักและความเป็นกังวลที่เขามีต่อพ่อ มั่วเชียนเสวี่ยก็อดที่จะปวดใจไม่ได้ นางบีบมือของเขาพลางกล่าวปลอบโยน “เหล่ากูเหยียเป็นคนดีสวรรค์ย่อมจะคุ้มครอง ร่างกายต้องแข็งแรงเป็นแน่ แม้จะเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ บ้างเป็นบางครั้ง อาจจะเป็นเพราะว่าคิดมากจนเกินไป ไม่แน่ว่าพอเขาเห็นหน้าท่าน ความเจ็บป่วยทั้งหลายก็จะหายไป”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น!” หนิงเซ่าชิงถอนกายใจยาว ในตอนแรกที่เขาได้ยินว่าท่านพ่อสุขภาพไม่ดี การตอบสนองแรกของเขาก็คือ ท่านพ่อจงใจทำให้ตัวเองป่วยเพื่อดึงตัวเขากลับไป
ทว่า ดูแล้วตอนนี้…
หอลับ…ที่ตระกูลหนิงควบคุมกองกำลังลับไว้ทั่วแคว้น ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของเขา สามารถหลีกหนีหูตาของสองแม่ลูกมหาภัยนั่นได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกหนีจากเครือข่ายข่าวกรองอันดับหนึ่งนี้
หากพยายาม ภายในระยะเวลาหนึ่งปีหอลับไม่มีทางที่จะหาเบาะแสของเขาไม่เจอ ทว่าตอนนี้ไม่มีคนของท่านพ่อสักคนที่มาตามหาเขา แต่คนของแม่ลูกมหาภัยนั่นกลับมาแล้ว
สถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ สองแม่ลูกนั่นกระทำการอุกอาจขนาดนี้ แต่ท่านพ่อยังคงไม่เคลื่อนไหวอะไร เขาจึงรู้สึกแย่เล็กน้อย
ความรู้สึกที่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ กลับกลายเป็นความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมที่ท่วมท้นหัวใจ
ไม่แน่ว่าแม่ลูกชั่วร้ายนั่น อาจจะใช้เล่ห์กลอะไรกับท่านพ่ออยู่
เดิมที เขาก็ยังไม่ได้เชื่อเต็มที่ แต่พอเห็นหน่วยกล้าตายของตระกูลเซี่ย ในวินาทีนั้นเขาก็เชื่อทันที
และด้วยอำนาจที่มี พวกเขาไม่ได้ใจกล้าขนาดนี้ ทว่าหากมีตระกูลของเซี่ยซื่อแทรกแซง เช่นนั้นเรื่องก็จะซับซ้อนแล้ว
ดังนั้น…
การกลับไปที่จวนไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหนทางสู่ความพินาศก็เป็นได้
[1] กระบี่บนสายพิณ หมายถึง สถานการณ์คับขัน ที่จำเป็นต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้