มั่วเชียนเสวี่ยเดินไปด้านหน้าช้าๆ หนิงเซ่าชิงหันควับกลับมา จับมือนางแล้วกระโดดลงจากซากกำแพง
ทันใดนั้นเอง มั่วเชียนเสวี่ยหันกลับไปมองบนซากกำแพง ไม่รู้ว่าบนซากกำแพงมีชายชุดดำกอดกระบี่ยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น คล้ายจะประสานรวมเป็นหนึ่งกับซากกำแพง เขายืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นชายชุดดำก็เอ่ยปากพูด “ท่านคือคนแรกที่สามารถหลบเลี่ยงการลอบทำร้ายของข้า”
หนิงเซ่าชิงซ่อนมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ด้านหลัง สีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าพูดได้แค่ว่า คนที่ท่านเคยลอบทำร้ายก่อนหน้านี้ประมาทเลินเล่อจนเกินไป”
“เช่นนั้นหรือ” ท่ามกลางคำพูดประชดประชันของชายชุดดำเคล้าไปด้วยความเย้ยหยัน คล้ายว่าหนิงเซ่าชิงที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่ตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น “แม้ท่านจะหลบกระบี่แรกได้ แต่ท่านไม่มีวันหลบกระบี่ที่สองได้ ภายใต้การสังหารของข้า ไม่เคยมีผู้ใดรอดเกินกระบี่เล่มที่สาม”
หนิงเซ่าชิงย่นจมูก “คิดว่าสังหารนักกระบี่ที่ไร้ความเชี่ยวชาญเพียงไม่กี่คน ตนก็กลายเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งแล้วเช่นนั้นหรือหรือ น่าขันจริงๆ!” ชายชุดดำโมโหกับคำพูดถากถางของหนิงเซ่าชิง เคร้ง เสียงดังขึ้น กระบี่ออกจากฝัก พุ่งตรงไปทางหนิงเซ่าชิง
เร็วยิ่งนัก!
หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยบีบรัด มือซ้ายของหนิงเซ่าชิงผลักมั่วเชียนเสวี่ย มือขวาจับเอวของนางเบาๆ
มั่วเชียนเสวี่ยรีบก้าวถอยหลัง ยังไม่ทันได้ดูชัดเจนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ลำแสงกระบี่แวววับ กระบี่ในมือหนิงเซ่าชิงแทงไปที่คอของชายชุดดำแล้ว
ส่วนกระบี่ในมือชายชุดดำอยู่ห่างจากหนิงเซ่าชิงสามนิ้วเพียงแต่เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยื่นกระบี่มาด้านหน้าอีกแม้แต่น้อย
เพราะว่า วินาทีต่อมา ดวงตาของชายชุดดำเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วล้มลงกับพื้น
พบเจอกันสั้นๆ?
เปิดตัวอย่างผ่าเผย ทว่าจุดจบกลับรวดเร็วเช่นนี้?
ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยตะลึงงันอยู่นั้น หนิงเซ่าชิงเก็บกระบี่ในมือแล้ว เขาพูดพึมพำ “นึกว่าตระกูลถงจะสามารถหาคนฝีมือดีได้เสียอีก แต่ฝีมือของนักฆ่ากลับเพียงแค่นี้! ดูเหมือนว่า ตระกูลถงควรจะเปลี่ยนหัวหน้าตระกูลแล้วจริงๆ!” หลังจากจัดการนักฆ่าคนนี้เสร็จ หนิงเซ่าชิงเดินกลับไปโอบกอดมั่วเชียนเสวี่ย แล้วกระโดดขึ้นบนซากกำแพงอีกครั้ง ดูสถานการณ์การต่อสู้ด้านล่าง
การต่อสู้ที่ชุลมุนของคนเกือบสองร้อยคนเริ่มมีแนวโน้มแล้ว เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม คนเหล่านั้นถูกสังหารจนหมด ส่วนอีกหลายคนที่คิดอยากจะหนี ก็ถูกสังหารภายใต้กระบี่ของอิ่งซาอย่างน่าประหลาด
ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน การที่คนนับร้อยตายต่อหน้าต่อตา หากจะบอกว่านางไม่ตกตะลึงแม้แต่น้อยก็คงโกหก แต่ว่าการเห็นคนตายด้วยตาตนเองเช่นนี้ นางกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว แต่รู้สึกไม่สบายใจ
มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนจึงรู้สึกไม่สบายใจ
เห็นสีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยไม่มีความหวาดกลัวและสะอิดสะเอียนเหมือนเมื่อคราวก่อน หนิงเซ่าชิงโอบร่างบางของนางแล้วพูดเสียงเบา “อย่าคิดมาก ต่อให้พวกเราไม่สังหารคนเหล่านี้ ย่อมมีคนสังหารพวกเขาอยู่แล้ว อีกทั้ง นี่เป็นเพียงกลุ่มแรกเท่านั้น”
มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้ว “หรือว่ายังจะมีคนไล่สังหารพวกเรามากกว่านี้เช่นนั้นหรือ”
ฟังหนิงเซ่าชิงพูดแฝงความหมายลุ่มลึก สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยแปรเปลี่ยนเล็กน้อย นางฝืนยิ้มแล้วพูด “ท่านรู้ได้อย่างไรหรือ”
หนิงเซ่าชิงพูดเสียงเยือกเย็น “หากตระกูลถงมีความสามารถเพียงเท่านี้ เช่นนั้นคงจะถูกทำลายไปนานแล้ว จะมีความสำเร็จและรุ่งโรจน์เช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร”
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยเงียบ หนิงเซ่าชิงจึงพูดต่อ “ท่านผู้เฒ่าถงอยากให้ข้าตาย ทว่าไม่อยากใช้องครักษ์ตระกูลถง ด้วยเหตุนี้จึงให้พ่อบ้านถงเป็นคนจัดการ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นท่านผู้เฒ่าถง ก็พูดได้ว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หรือไม่ก็โยนความผิดทั้งหมดให้พ่อบ้างถง”
มั่วเชียนเสวี่ยหัวใจเต้นเร็วด้วยความหวาดกลัว แต่สีหน้าของนางยังคงเป็นปกติ เรื่องเช่นนี้ท่านผู้เฒ่าถงทำได้ลงคอจริงๆ แต่ว่า เหตุใดพ่อบ้านต้องทำเช่นนี้ นี่เป็นการ…ทรยศหักหลังนาย! ด้วยความจงรักภักดีที่พ่อบ้านมีต่อท่านผู้เฒ่าถงนี่คือเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้น!
แต่ว่า นางกลับหาถ้อยคำมาโต้แย้งไม่ได้
หนิงเซ่าพูดต่อ “ดูจากเรื่องที่เกิดขึ้น อีกไม่นานถงจื่อจิ้งจะได้เป็นหัวหน้าตระกูลถงแล้ว เจ้าและข้าไม่จำเป็นต้องกังวลอีก!”
มั่วเชียนเสวี่ยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าอิ่งซากลับทะยานมาตรงหน้าแล้วรายงาน “เจ้านาย จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ”
หนิงเซ่าชิงนิ่งสงบ “เสียคนของเราไปกี่คน”
อิ่งซาตอบ “ฝ่ายตรงข้ามมีทั้งหมดหนึ่งร้อยสามคน ถูกสังหารทั้งหมด ส่วนฝ่ายของเราตายไปสิบเจ็ดคน บาดเจ็บสิบคนขอรับ”
“ส่งต่อคำสั่งของข้า สิบคนที่บาดเจ็บให้พักอยู่ที่นี่ ไม่ต้องติดตามไปแล้ว”
“ขอรับ” หลังจากอิ่งซาก้มหน้ารับคำสั่ง เขาก็พูดต่อ “ขอเชิญเจ้านายรีบขึ้นรถม้า สิ่งสำคัญในตอนนี้คือต้องรีบเดินทางทั้งคืนเพื่อให้ไปถึงจุดพักถัดไปขอรับ”
มั่วเชียนเสวี่ยกวาดมองรอบๆ ทิวทัศน์ด้านล่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว แม้จะยังชุลมุนวุ่นวาย ทว่าไม่มีซากศพและไม่มีคราบเลือดแล้ว
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนสมัยโบราณจะฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ สามารถปกปิดร่องรอยได้ดีเช่นนี้ แม้ว่านางจะเคยเห็นหลายครั้ง แต่ยังคงรู้สึกชื่นชมอย่างมาก
พื้นดินและต้นหญ้าด้านล่าง แม้ไม่ได้อุดมสมบูรณ์และมากมายเหมือนก่อนหน้า ทว่าดูไม่เหมือนว่าเคยมีฝูงชนต่อสู้กันที่นี่มาก่อน ในทางตรงกันข้ามต้นหญ้าและต้นไม้เหล่านั้นกลับคล้ายถูกสัตว์เหยียบย่ำจึงยุ่งเหยิงเช่นนี้
การต่อสู้ในครั้งนี้ ยาวนานจนท้องฟ้ามืดค่ำ มั่วเชียนเสวี่ยมองไปทางทิศตะวันตก เป็นเวลาอาทิตย์อัสดงพอดี เส้นขอบฟ้ามีแสงสนธนยาเป็นชั้นๆ ท้องฟ้าสีแดง ส้มเขียว คราม น้ำเงินและม่วง ทอประกายดั่งสีชาด งดงามเสมือนผ้าแพร แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเพียงเวลาหนึ่งชั่วยาม ที่แห่งนี้จะมีคนนับร้อยถูกฝังเอาไว้
หิมะตกพันลี้ ความหนาวแผ่ซ่านกว่าหมื่นลี้ หวังว่าชาติหน้าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดี อย่าเป็นอาวุธในมือผู้อื่นอีกเลย
ตัวนางเอง นับจากวันนี้เป็นต้นไปก็จะเลิกสงสารผู้อื่น พยายามเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สามารถบดบังฝนได้
สุดท้ายนางมองที่นี่ครู่หนึ่ง สีหน้าไม่สบายใจของมั่วเชียนเสวี่ยหายไป แววตาของนางฉายความหนักแน่น หันหลังแล้วขึ้นรถม้าไปพร้อมกับหนิงเซ่าชิง
พวกเขาขี่ม้าเร่งเดินทางอยู่นานครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หยุดพักที่ขอบหน้าผา
เวลานี้เป็นเวลากลางดึกแล้ว หลังจากถูกลอบทำร้ายเมื่อคราวก่อน พวกเขาก็ออกเดินทางตอนเช้าตรู่ แล้วหยุดพักตอนกลางดึก
พวกเขานั่งพักอยู่บนพื้นหญ้า เดินทางทั้งวันทำให้เหน็ดเหนื่อยกันมากแล้ว
หมัวมัวไปตักน้ำแล้วเอาน้ำมาให้มั่วเชียนเสวี่ย ชูอีและสืออู่ก็มานวดตัวให้นาง มั่วเชียนเสวี่ยดื่มน้ำ แล้วยื่นให้ชูอี เพื่อบอกให้พวกนางไปพักผ่อนได้แล้ว ไม่ต้องสนใจตนแล้ว
พวกนางขี่ม้า เหนื่อยกว่านางที่นั่งอยู่ในรถม้ามาก โดยเฉพาะชูอีเมื่อคราวก่อนนางก็ได้รับบาดเจ็บ แม้ไม่ได้บาดเจ็บสาหัส แต่อย่างไรก็ตามนางก็เป็นผู้บาดเจ็บคนหนึ่ง
หนิงเซ่าชิงพิงรถม้า มือซ้ายจับจี้หยกเล่นไปมา พูดเสียงดัง “พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางทางน้ำโดยการอ้อมไปเมืองอวิ๋นฉี่ ทุกคนต้องฮึดสู้และกระปรี้กระเปร่ากันเข้าไว้” ขอเพียงผ่านด่านนี้ไป ถึงจะถือว่าปลอดภัย
บรรยากาศหดหู่ที่เกิดขึ้นติดต่อกันหลายวันและปัญหาที่พยายามสลัดทิ้งไปหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ทำให้เขาสังหรณ์ใจไม่ดี คิดว่าพรุ่งนี้ต้องเจอศึกหนักเป็นแน่
รุ่งสาง เต็มไปด้วยหมอกหนา
หมอกหนาจนเกินไป ทำให้มองเห็นถนนหนทางไม่ชัดเจน ไม่สามารถออกเดินทางตอนเช้าตรู่ตามกำหนดการเดิมที่วางไว้
ในเมื่อหลังจากไปถึงเมืองหลวง มั่วเชียนเสวี่ยต้องกลับจวนกั๋วกง อาศัยช่วงเวลานี้ หนิงเซ่าชิงสั่งให้ชูอีช่วยมั่วเชียนเสวี่ยแต่งกายใหม่เปลี่ยนเป็นชุดหญิงสาว ไม่แต่งกายเป็นหญิงออกเรือนอีก
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เดินออกมาจากรถม้า หนิงเซ่าชิงจับมือมั่วเชียนเสวี่ยแล้วพานางไปนั่งบนพื้นหญ้านุ่มๆ เล่าเรื่องมากมายในเมืองหลวงให้นางฟัง
หมอกหนาสีขาวน้ำนมคล้ายนุ่นที่ลอยไปลอยมา คล้ายอยู่ในแดนสวรรค์ มั่วเชียนเสวี่ยซบอยู่ในอ้อมกอดของหนิงเซ่าชิงแล้วฟังเขาเล่าเรื่องในเมืองหลวง ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกไป กางมือออกมองท้องฟ้า