พักเพียงครู่หนึ่ง ก็ออกเดินทางกันต่อ
ไปถึงทางน้ำที่จองเอาไว้ล่วงหน้า การต่อสู้ครั้งใหญ่กว่าเดิมเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด
ลมในที่ลับ พัดเสื้อของหนิงเซ่าชิง ทั้งยังพัดเมฆครึ้มมามากมาย อากาศเปลี่ยนแปลงทันที แสงแดดเจิดจ้าถูกเมฆครึ้มบดบัง
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกเย็นไปทั้งตัว จากนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกร้อนเหมือนถูกแผดเผา
ความโมโหที่ไม่อาจอธิบาย เหมือนเปลวไฟที่ก่อตัวจากเท้าของนางขึ้นไปบนคอ แผดเผาดวงหน้าของนาง มากไปกว่านั้นยังแผดเผาดวงตาของนางอีกด้วย
คนพวกนี้ เหตุใดจึงไม่ยอมรามือและปล่อยพวกเขาไปเสียที แม้แต่ตุ๊กตาดินเผาก็มีสามอารมณ์เช่นเดียวกัน เมื่อก่อน นางเพียงแค่ดิ้นรนอยากจะมีชีวิตที่ดี ทว่าสิ่งที่นางคิดในตอนนี้คือหลังจากเข้าเมืองหลวง นางจะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้สยมอยู่แทบเท้านางและหนิงเซ่าชิง
ทว่า การต่อสู้ในครั้งนี้ดุเดือดอย่างมาก แม้จำนวนศัตรูในครั้งนี้จะมีไม่มาก ทว่าศัตรูในครั้งนี้เป็นจอมวางแผน มีการซ่อนตัวและสุ่มโจมตีล่วงหน้า
หนิงเซ่าชิงเดินนำศัตรูก้าวหนึ่ง สังหารศัตรูจนหมดสิ้น ทว่าเพราะหมดเรี่ยวแรง เขาจึงตกลงไปในน้ำวนแล้วถูกกระแสน้ำพัดไป ทางด้านอิ่งซ่ารีบไปหาเขาที่ต้นน้ำ
มองดูหนิงเซ่าชิงถูกกระแสน้ำพัดไป หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยบีบรัด พลังปราณขับเคลื่อนเลือดจนปั่นป่วน เหตุเพราะก่อนหน้านี้นางบาดเจ็บจากฝ่ามือวาโย ทำให้นางกระอักเลือดออกมา
ไม่เคยได้รับสิ่งดีๆ จากพลังปราณมาก่อน ตอนนี้กลับถูกพลังปราณทำร้าย
มั่วเชียนเสวี่ยน้ำตานองหน้า หัวใจของนางเหมือนถูกมีดทิ่มแทง หลังจากชักเพราะหายใจไม่ออก นางแทบอยากจะกระโดดลงไปในกระแสน้ำวน แต่กลับถูกหมัวมัวและชูอีห้ามเอาไว้ มั่วเชียนเสวี่ยจึงทำได้เพียงตามหาหนิงเซ่าชิงไปตามลำธารด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
แม้ว่ามั่วเหนียง ชูอี สืออู่ อาซานและอู่จะไม่บาดเจ็บถึงขั้นอันตรายต่อชีวิต ทว่าพวกเขาต่างบาดเจ็บไม่น้อย มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากทำให้พวกนางต้องเหน็ดเหนื่อย ชั่วขณะหนึ่งนางก็คิดขึ้นได้ทันที
นางจะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด! จะแสวงหาความตายเหมือนหญิงโบราณที่อ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้นางต้องตาย นางก็ต้องสังหารคนที่ทำร้ายเขาทีละคนๆ
ยิ่งไปกว่านั้น หนิงเซ่าชิงแค่ตกลงไปในแม่น้ำเท่านั้น ใช่ว่าจะตายแน่นอน
หากนางหาไปตามริมลำธารต้องเจอตัวหนิงเซ่าชิงแน่นอน
ตอนนี้คือต้นฤดูคิมหันต์ ดอกท้อริมลำธารบานสะพรั่ง ทว่าคนที่ชมดอกไม้กับนางกลับไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด
คืนเดือนหงาย ดวงจันทร์กลมมน
คล้ายว่าดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้งดงามกว่าปกติ งดงามอย่างลึกลับ งดงามอย่างน่าเศร้าสลด งดงามจนทำให้หัวใจของคนแตกสลาย
อาศัยแสงจันทร์ ออกตามหาหนิงเซ่าชิงในส่วนลึกของหุบเขาด้วยความทุลักทุเล แม้ว่าพวกเขาจะบาดเจ็บและอิดโรยอย่างมาก ทว่าพวกเขาไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย และไม่กล้าแยกย้ายไปตามหา ทุกคนเดินตามหลังมั่วเชียนเสวี่ยเท่านั้น
ยิ่งเดินลึกเข้าไปด้านใน ดอกท้อก็ยิ่งมากขึ้น กลีบดอกท้อพริ้วไหว ราวกับฝนพรำ ทั้งดอกท้อและกลีบดอกท้อ ตกลงบนหัวไหล่และดวงหน้า ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยที่น้ำตานองรู้สึกคับแค้นใจ
“เซ่าชิง เซ่าชิง ท่านอยู่ที่ใด”
มั่วเชียนเสวี่ยร้องเรียกหนิงเซ่าชิงไม่หยุด แต่ไม่ว่านางจะร้องเรียกเขาอย่างไร สุดท้ายก็ไม่พบร่างที่คุ้นเคย ทั้งยังไม่มีเงาของอิ่งซา
ร้องไห้ตลอดหนึ่งคืน ตามหาหนิงเซ่าชิงทั้งคืน แต่ก็ไร้ผล
มั่วเชียนเสวี่ยนั่งอยู่บนก้อนหิน หวนคิดถึงทุกช่วงเวลาของนางกับหนิงเซ่าชิงหนึ่งรอบ
หนิงเซ่าชิงเป็นคนที่ทำงานทุกอย่างได้ดีและรอบคอบมาก นอกจากพลาดพลั้งให้กับสองแม่ลูกชั่วช้าแล้วนั้น นางไม่เคยเห็นเขาเสียเปรียบที่ใดมาก่อน
นึกถึงคำพูดของหนิงเซ่าชิงตอนเช้าตรู่ “เด็กโง่ หากข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าไม่เพียงต้องมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ยังต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ใช้ชีวิตแทนส่วนของข้า”
ความหวังเล็กน้อยก่อตัวขึ้นในใจมั่วเชียนเสวี่ย เขาคิดจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่
ไม่ เหตุใดเขาจึงไม่บอกตน ปล่อยให้ตนกังวลเพื่ออะไร
ท้องฟ้าสว่างเจิดจ้า แสงแดดยามเช้าสาดส่องมา
มั่วเหนียงพูดด้วยความระมัดระวัง “คุณหนู บ่าวคิดว่า พวกเราเข้าเมืองหลวงก่อนเถอะเจ้าค่ะ คุณชายเป็นคนดีสวรรค์ย่อมคุ้มครอง ไม่แน่ว่าคุณชายอาจจะเข้าเมืองหลวงก่อนพวกเราแล้วก็ได้เจ้าค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยเงียบ
อาอู่พูดเกลี้ยกล่อม “จริงด้วยขอรับ ฮูหยิน ตอนแรกก็ตกลงกันแล้วว่า หลังจากผ่านลำธารนี้พวกเราก็จะแยกกันเดินทาง” เขากับอาซานไม่เชื่อว่า แค่กระแสน้ำจะทำให้คุณชายเป็นอะไรไปได้
“ต่อไปนี้ต้องเรียกว่าคุณหนู” อาซานบอกกับอาอู่ หนิงเซ่าชิงยกพวกเขาให้มั่วเชียนเสวี่ยอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยกลับจวนกั๋วกงนางก็จะกลายเป็นบุตรีภรรยาเอกของท่านกั๋วกง พวกเขาก็ต้องเรียกนางใหม่ว่าคุณหนู
เห็นสีหน้านิ่งงันของทั้งสองที่พูดเกลี้ยกล่อมตน จิตใจที่เป็นกังวลของมั่วเชียนเสวี่ยก็นิ่งสงบลง
หากหนิงเซ่าชิงเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ด้วยความจงรักภักดีของทั้งสอง ต้องเป็นกังวลมากแน่นอน
หรือว่า…มีความจำเป็นบางอย่าง
“คุณหนูรีบออกเดินทางเถอะเจ้าค่ะ/ขอรับ!” ทั้งห้าคนเห็นมั่วเชียนเสวี่ยนั่งนิ่งไม่ขยับ จึงคุกเข่าแล้วพูดอ้อนวอนพร้อมกัน
จู่ๆ มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ได้ยินคำพูดของพวกเขา แต่ตอนนี้นางพอจะมั่นใจแล้วว่าหนิงเซ่าชิงน่าจะปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ นางจึงตัดสินใจ เช็ดน้ำตา แล้วลุกขึ้น
ไม่ว่าจะมีความจำเป็นใด นางล้วนให้อภัยเขา ขอเพียงเขาปลอดภัยก็พอแล้ว นางยินดีให้เขาหลอกลวงนางเพราะความจำเป็น ดีกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเขาเข้าจริงๆ
เผชิญกับแสงแดดยามเช้า มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าของนางหนักแน่น
การถูกลอบโจมตีติดต่อกัน ไม่ได้ทำให้นางยอมแพ้ ในทางตรงกันข้ามเรื่องที่เกิดขึ้นกลับปลุกความไม่ยอมแพ้ในตัวนางออกมา สร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ นึกถึงนางในอดีตที่เป็นเพียงหญิงบ้านนาไร้อำนาจไร้ที่พึ่งพิง อาศัยแรงบันดาลใจเช่นนี้ ใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีในการทำการค้า ทั้งยังซื้อบ้าน แล้วยังซื้อรถม้า สร้างโรงงานด้วยมือเปล่า
หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร นางจะไม่ใช้ชีวิตแบบเดิมเหมือนตอนที่เพิ่งทะลุมิติมาอีก นางจะใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย
นางจะเป็นคนเหนือคน
โลกที่โหดร้ายนี้ มีเพียงเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนเหนือคน สุดท้ายจึงจะสามารถมีชีวิตที่สงบสุข
ยุคสมัยที่รุ่งโรจน์ ถนนหนทางกว้างใหญ่และสะอาดสะอ้าน บ้านเมืองสร้างด้วยความงดงาม ถนนหนทางครึกครื้น ที่แห่งนี้มีคนเก่งที่มากความสามารถที่สุด มีหญิงงามผู้ร้องเพลงและร่ายรำได้เย้ายวนจิตใจที่สุด มีทหารผู้กล้าหาญที่สุด มีสตรีที่มีเกียรติที่สุด มีสุราหอมกรุ่นที่สุด มีอาหารที่เลิศรส
ของที่ดีที่สุดในราชวงศ์เทียนฉีล้วนหาได้จากที่นี่ ที่นี่คล้ายจะมีทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการ
ระหว่างทางตอนเบื่อๆ หนิงเซ่าชิงเคยเล่าทิวทัศน์มากมายในเมืองหลวงให้นางฟัง มั่วเชียนเสวี่ยเองก็เคยจินตนาการถึงเมืองหลวงนับครั้งไม่ถ้วน แต่ตอนที่นางเห็นกับตาตนเอง ยังคงตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่ของเมืองหลวง
……
เมื่อเดินออกมาจากลำธาร หนิงเซ่าชิงสั่งหน่วยลับเตรียมรถม้ามาให้นางตั้งแต่แรกแล้ว นอกจากนี้บนรถม้ายังมีเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนอีกด้วย
องครักษ์ลับทั้งสองคน แม้ไม่เห็นหนิงเซ่าชิงแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย เพียงแค่ส่งมอบรถม้าให้อาซานและอาอู่เท่านั้น พร้อมกับบอกว่าคุณชายสั่งให้พวกเขาติดตามฮูหยินนับตั้งแต่นี้ แล้วเป็นคนของฮูหยินนับตั้งแต่นี้
มั่วเชียนเสวี่ยถามพวกเขาว่าหนิงเซ่าชิงอยู่ที่ใด ทว่าพวกเขากลับสายหน้า บอกว่าเตรียมรถม้าคันนี้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน ตามคำสั่งในจดหมายที่นกพิราบส่งมา หลังจากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยก็ถามว่าพวกเขาชื่ออะไร พวกเขาบอกเพียงว่าตนเป็นองครักษ์ลับ ไม่เคยมีชื่อมาก่อนมีเพียงลำดับเลข ขอมั่วเชียนเสวี่ยตั้งชื่อให้ใหม่
เขา…ต้องยังมีชีวิตอยู่แน่นอน แต่เพราะเหตุใดเขาจึงไม่ยอมมาเจอนาง ไม่บอกนาง ว่าเขาสบายดี
หรือว่าหลังจากเข้าเมืองหลวง พวกเขาจำเป็นต้องแยกย้ายกันจริงๆ ส่วนนางก็ทำได้เพียงรอเขายกเกี้ยวมาสู่ขอที่จวนกั๋วกงเช่นนั้นหรือ
ในเวลาเดียวกันที่นางรู้สึกกังวล ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเคือง
แต่ว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโกรธเคือง นางจำเป็นต้องตั้งสติและกระตือรือร้นในการรับมือกับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น หลังจากตั้งชื่อให้องครักษ์ลับสองคนนั้นว่ามั่วเหยียนและมั่วสิง มั่วเชียนเสวี่ยก็เดินนำมั่วเหนียงขึ้นรถม้าแล้วแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อย นางข่มจิตใจที่ว้าวุ่น เก็บความคิดต่างๆ ในใจ จากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยก็เปิดม่านขึ้น แล้วมองออกไปด้านนอก