ประมาณเส้นทางที่นางต้องเดินด้วยสายตา กว้างราวสิบห้าจั้ง รถเล็กๆ แปดคันสามารถขับบนท้องถนนได้ บนท้องถนนใช้รางน้ำเว้นเป็นสามส่วน ตรงกลางกว้างประมาณหกถึงเจ็ดจั้ง รถคันเล็กๆ สี่คันสามารถขับเคลื่อนได้ ด้านข้างกว้างประมาณสี่ถึงห้าจั้ง รถคันเล็กสองคนสามารถขับเคลื่อนได้
ถนนเส้นกลางเป็นถนนราชการ สำหรับรถม้าของราชวงศ์ ตระกูลขุนนางใหญ่และชนชั้นสูงโดยเฉพาะ ส่วนถนนอีกสองข้างนั้นสำหรับรถม้าของขุนนางทั่วไปและชาวบ้านใช้
เป็นธรรมดาที่รถม้าของมั่วเชียนเสวี่ยย่อมต้องวิ่งบนถนนเส้นกลาง บุตรีภรรยาเอกของท่านกั๋วกง มีฐานะเป็นสตรีชั้นสูง แน่นอนว่าย่อมมีสิทธิ์ในการวิ่งบนถนนราชการ
ไม่เพียงแค่มีสิทธิ์ นางยังให้มั่วเหยียนและมั่วสิงพูดตลอดทางว่า “บุตรีภรรยาเอกของท่านกั๋วกงกลับเมืองหลวงแล้ว…บุตรีภรรยาเอกของท่านกั๋วกงกลับเมืองหลวง…”
นางจะกลับเมืองหลวงด้วยความเอิกเกริก กลับมาอย่างโดดเด่น ขอเพียงนางเข้าเมืองหลวงแล้ว คนเหล่านั้นก็จะเป็นกังวล
ไกลสุดลูกหูลูกตา บ้านเรือนที่งดงาม ตั้งเรียงรายกัน ชายคาบ้านเรือนคล้ายจะทอดยาวเหยียดฟ้า ถนนทั้งสองข้างทางที่มีลมหนาวพัดผ่านเต็มไปด้วยต้นไหว ต้นอวี๋ ต้นซง ต้นไป่และต้นไม้เขียวชอุ่มต่างๆ มากมาย ต้นไม้ใบหญ้าอุดมสมบูรณ์ เพิ่มความอ่อนโยนให้กับเมืองนี้
ได้ยินคำพูดของมั่วเหยียนและมั่วสิง ทุกคนต่างถอยหลังไปอยู่ทั้งสองข้างแล้วยืนด้วยความเคารพ นางแสดงสัญลักษณ์ที่เป็นเกียรติออกมา ชาวบ้านทุกคนย่อมต้องให้ความเคารพ
ทุกคนก้มหน้าลงด้วยความเคารพ ทั้งยังมีคนอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกัน
“ไหนบอกว่าบุตรีภรรยาเอกของท่านกั๋วกงประสบอุบัติเหตุและฝังไปพร้อมกับท่านกั๋วกงแล้วไม่ใช่หรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้น ได้ยินว่านางหายตัวไป แม้แต่ฮ่องเต้ยังมีราชโองการให้ออกตามหา”
“ตอนนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว คนตระกูลมั่วต้องไม่หยุดง่ายๆ แน่”
“หึๆ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ชาวบ้านธรรมดาอย่างเราจะเสวนาได้ รีบเก็บข้าวของกลับไปเถอะ เกรงว่าลมในเมืองหลวงจะเปลี่ยนทิศแล้ว”
รถม้าวิ่งอยู่บนท้องถนนไม่นาน หยุดลงหน้าบ้านหลังหนึ่ง สีหน้าของมั่วเหนียง แปรเปลี่ยนเป็นสง่างามและเคร่งขรึม ความอ่อนโยนในอดีตหายไปหมดแล้ว
ชูอีและสืออู่ กระโดดลงมาจากม้า เปิดม่านรถม้า แล้วพยุงมั่วเชียนเสวี่ยลงจากรถม้า
มองจากภายนอกแทบจะดูไม่ออกว่าจวนหลังนี้แตกต่างกับจวนขุนนางทั่วไปอย่างไร บนประตูสลักตัวอักษรคำว่า ‘จวนกั๋วกง’ สามพยางค์อย่างเรียบง่าย
จากสามตัวอักษรที่เรียบง่ายไม่โอ้อวด มั่วเชียนเสวี่ยคล้ายมองเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของมั่วเทียนฟั่ง
มั่วเทียนฟั่งเป็นคนซื่อตรง รักใครรักนาน อ่อนโยนกับคนรักดั่งสายลมในฤดูวสันต์ แต่กับศัตรูนั้นเลือดเย็นและเหี้ยมโหด
มั่วเหนียงจับห่วงประตูแล้วเคาะเบาๆ หลังจากนั้นถอยไปยืนเฉียงๆ อยู่ข้างมั่วเชียนเสวี่ย ทางด้านชูอีและสืออู่ยืนตัวตรงอยู่ด้านหลังมั่วเชียนเสวี่ย
ประตูเปิดออกโดยไร้ซึ่งเสียง ชายชราหนวดยาวเฟื้อยยื่นหน้าออกมามองมั่วเชียนเสวี่ย
……
ณ จวนมั่ว หัวหน้าตระกูลมั่วกำลังนั่งหน้าดำคร่ำเครียดดื่มน้ำชาในห้องหนังสือ ชายชราสองคนเดินเข้าไปหาด้วยความรีบร้อน
ชายชราสองคนนั้นยังไม่รอสาวใช้ยกน้ำชามาให้ก็พูดด้วยความรีบร้อน “นายท่าน นางเด็กนั่นกลับมาอย่างเอิกเกริกแล้วจริงๆ”
หัวหน้าตระกูลมั่วเลิกคิ้วขึ้นขมวดเล็กน้อย “กลับมาอย่างเอิกเกริก? นางไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงหรืออย่างไร” เห็นหัวหน้าตระกูลไม่ร้อนรน ชายชราอีกคนก็พูดด้วยความร้อนใจ “ไหนบอกว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรือ เหตุใดนางจึงกลับมาได้”
คล้ายหัวหน้าตระกูลมั่วรู้แต่แรกแล้วว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะกลับมา จิบน้ำชาแล้วพูด “นางกลับมาอย่างปลอดภัย เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือ คนที่จัดเตรียมเอาไว้ตลอดทางถูกคนของนางจัดการหมดแล้ว ดูท่าครั้งนี้ตระกูลเฟิงคงจะลงแรงไม่น้อย”
คนที่มาด้วยรีบร้อน ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองแห่งตระกูลมั่ว ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรอง ทางด้านคุณชายทั้งสามของจวนกั๋วกง คนหนึ่งคือบุตรชายของหัวหน้าตระกูลมั่ว และยังมีอีกสองคนคือหลานชายของผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรอง
ตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยกลับมาอย่างปลอดภัย ตำแหน่งกั๋วกงกำลังจะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา จะไม่ให้พวกเขาร้อนใจได้อย่างไร!
ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยถาม “จะเป็นตัวปลอมหรือไม่”
หัวหน้าตระกูลมั่วครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพูด “เด็กคนนี้ไม่มีวันเป็นตัวปลอม เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ตระกูลเฟิงไม่กล้าพูดเหลวไหล”
ผู้อาวุโสรองพูดขึ้น “เช่น…เช่นนั้นจะทำอย่างไร”
“กระวนกระวายอะไร!” หัวหน้าตระกูลมั่วกระแทกถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ สีหน้าฉายความเจ้าเล่ห์แล้วหัวเราะหึในลำคอเสียงดัง “หากนางยังมีชีวิต เช่นนั้นผ่านวันนี้ไปก่อนค่อยว่ากัน…ฮ่าๆๆ…”
เสียงหัวเราะนั้นช่างน่าหวาดกลัว
ชายชราหนวดเครายาวเฟื้อยยื่นหน้าออกไปมองมั่วเชียนเสวี่ย สีหน้าดีใจอย่างมาก รีบคุกเข่ากราบไหว้ “น้อมทำความเคารพคุณหนูใหญ่ขอรับ!”
มั่วเชียนเสวี่ยฟังหมัวมัวพูดมาตลอดทาง ว่าพ่อบ้านเป็นชายชราหนวดเครายาวเฟื้อย เขาคือชายชราที่ติดตามรับใช้ท่านกั๋วกงมานานหลายปี ย่อมมีความน่าเกรงขาม
แม้ว่าในจวนจะมีคุณชายสามคนเข้ามา ภายนอกคุณชายทั้งสามเป็นนาย ทันทีที่ย้ายเข้ามาในจวนก็ยึดอำนาจของพ่อบ้าน ให้พ่อบ้านมีเพียงตำแหน่งเปล่าเท่านั้น ทว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนโดยมากล้วนยังอยู่ในกำมือของพ่อบ้าน
คิดไม่ถึงว่าหมัวมัวเพิ่งออกจากจวนไปเพียงสิบกว่าวัน เขาจะถูกย้ายให้มาเป็นคนเฝ้าประตูแล้ว? เป็นเพราะเขาไม่เอาไหน หรือว่ามีบางอย่างแฝงเอาไว้!
มีคำถามก่อตัวขึ้นในใจมั่วเชียนเสวี่ย ทว่าสีหน้าของนางยังคงเคร่งขรึม ยกมือขึ้นเล็กน้อย “พ่อบ้านไม่ต้องมากพิธี”
ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง!
นางม้วนผมสามห่วง ทั้งยังติดปิ่นหยกขาวลายดอกเหมย ผมดำขลับของนางปล่อยยาวลงมาจากบ่า สวมกระโปรงร้อยกลีบสีขาวปักลายหลานเหมย มือสวมกำไรหยกสองวง รอบตัวของนางแผ่ซ่านด้วยความสูงศักดิ์ ข้าวของทุกอย่างล้วนราคาสูงลิ่ว
เสื้อผ้าที่มั่วเชียนเสวี่ยสวมในวันนี้ล้วนเป็นเสื้อผ้าที่หนิงเซ่าชิงเตรียมให้นางมานานแล้ว ถ่อมตนทว่าแสดงถึงความหรูหรา
อย่าดูแคลนเครื่องประดับบนศีรษะ ปิ่นหยกขาวลายดอกเหมยทำจากหยกทั้งหมด ทอประกายทั้งอัน สิ่งที่หาได้ยากยิ่งกว่านั้นคือยามดอกเหมยต้องแสงจะมีไอระเหยขึ้นมาจากภายในสู่ภายนอก ทำให้ประกายสีแดงอ่อนๆ อย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายดอกเหมยจริงกำลังบานสะพรั่ง
มั่วเชียนเสวี่ยเปิดหูเปิดตามามาก ทว่านางไม่เคยเห็นหยกน้ำดีเช่นนี้มาก่อน แกะสลักหยกลายดอกเหมยแดงได้สีที่เป็นธรรมชาติเช่นนี้ ตอนที่มั่วเหนียงหยิบขึ้นมา นางชื่นชมไม่หยุด เอาแต่บอกว่านี่เป็นของล้ำค่าราคาแพง
นัยน์ตาพ่อบ้านมั่วทอประกาย เขาลุกขึ้น แล้วรีบเปิดประตูจวน ร้องตะโกนบอกคนด้านใน “คุณหนูใหญ่กลับจวน ทุกคนออกมาโค้งคำนับต้อนรับให้พร้อมเพรียง!”
ไม่ว่าคนในจวนกำลังทำสิ่งใด กำลังคิดอะไร นายที่แท้จริงเพียงคนเดียวของจวนกลับมา เวลานี้ต้องรีบออกมาต้อนรับ
มือทั้งสองข้างของมั่วเชียนเสวี่ยวางไว้บริเวณท้อง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ท่าทีของนางทระนง สีหน้าเยือกเย็น ยืนอยู่ที่ประตูไม่ก้าวเข้าไปในจวน นางต้องการจะรอ รอให้ทุกคนยืนกันอย่างเรียบร้อยทั้งสองข้างทางก่อนเพื่อต้อนรับนางเข้าไปในจวน
นางจะประกาศสงครามกับตระกูลมั่วอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่อาจกลับเข้าจวนเงียบๆ ได้ ยิ่งไม่อาจพลาดโอกาสนี้
พลาดโอกาสในการแสดงอำนาจ!
นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจวนกั๋วกงแม้แต่น้อย แม้ว่าหมัวมัวจะจงรักภักดี แต่มั่วเชียนเสวี่ยเองก็ไม่อาจเชื่อหมัวมัวทุกอย่าง
พูดจากใจจริง นี่เป็นโอกาสดีในการกรองทุกคนในจวน
เพียงครู่หนึ่ง ทั้งสองด้านของประตูใหญ่มีคนยืนเรียงรายอย่างเรียบร้อย ภายใต้การนำของพ่อบ้าน ร้องตะโกนขึ้นพร้อมกัน “ยินดีต้อนรับคุณหนูใหญ่กลับจวน…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้มั่วเชียนเสวี่ยจึงค่อยก้าวเท้า เดินเข้าไปด้านใน คล้ายไม่ได้มอง แต่ความเป็นจริงหางตาของนางกวาดมองท่าทีของทุกคนจนหมดแล้ว คำนวณจากกลุ่มคนที่ยืนอยู่ทั้งสองข้างทาง บ่าวรับใช้ทั้งชายและหญิงในจวนมีประมาณห้าหกสิบคน องครักษ์เองก็มีราวยี่สิบกว่าคน
สีหน้าของพวกบ่าวรับใช้บางคนคล้ายกำลังจะได้ดูเรื่องสนุกๆ บางคนสีหน้านิ่งเฉย ทั้งยังมีบางคนที่สีหน้าเย้ยหยัน มีบ่าวรับใช้ไม่ถึงหนึ่งในสามที่สีหน้าฉายความเคารพและยินดี