หากเขาเอาศพกลับสำนักกฎหมาย มีสองสามคน ‘ฟื้นคืนชีพ’ มาเป็นพยาน เช่นนั้นแม้นางจะมีร้อยปาก ก็ไม่อาจพูดแสดงความบริสุทธิ์ได้
คำพูดของมั่วเชียนเสวี่ยใต้เท้าหวังเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง เขาไม่ตายใจแล้วส่งสายตาให้บริวาร
เจ้าหน้าที่สี่ห้าคนเดินตรวจลมหายใจพวกขอทานอย่างรวดเร็ว เดินกลับมาด้วยความผิดหวังพร้อมส่ายหน้าให้ใต้เท้าของตน
ชั่วขณะหนึ่งสีหน้าหม่นหมองของใต้เท้าหวังถูกแทนที่ด้วยความเจ้าเล่ห์ หึ! แม้เขาจะลากคนตายกลับไป ก็ไม่เป็นเช่นไร
“เอาตัวศพพวกนี้กลับไป ชันสูตรศพ” นี่เป็นขั้นตอนปกติของทางราชการ คาดว่าคุณหนูบุตรีขุนนางใหญ่คนนี้ที่ผ่านโลกมาน้อยคงหาเหตุผลมาหยุดยั้งไม่ได้ ศพอยู่ในมือของเขา ที่แห่งนี้ไม่มีบุคคลที่สาม เขามีวิธีที่จะทำให้หนึ่งหรือสองในศพ ‘ฟื้นคืนชีพ’ มา ‘กล่าวคำให้การ’ เป็นพยานในชั้นศาล
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเขายังคงยืนกรานจะเอาศพกลับไป นางหัวเราะเยือกเย็นในใจ ทว่าหน้าไม่เปลี่ยนสี
“เมื่อใต้เท้าหวังเอาศพพวกนี้ไปจากข้า เช่นนั้นใต้เท้าหวังโปรดลงลายลักษณ์อักษรและประทับตราให้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลา มีคน ‘ฟื้นคืนชีพ’ แล้วพูดจาเหลวไหลคงไม่ดีนัก…”
น้ำเสียงของมั่วเชียนเสวี่ยยังคงไม่ดังและไม่เบา ไม่รีบร้อนและไม่ชักช้า ทว่ากลับทำให้ใต้เท้าหวังที่หันหลังไปแล้วถึงกับหยุดชะงัก
ใต้เท้าหวังหันขวับกลับมาทันควัน จ้องมั่วเชียนเสวี่ยตาเขม็ง
สตรีคนนี้คิดรอบคอบยิ่งกว่าบุรุษ ละเอียดทุกอย่าง ช่างน่าสะพรึงกลัวนัก!
พบเจอปัญหาแต่นางกลับนิ่งงันเช่นนี้ เห็นชัดว่ามีที่พึ่งพิง เหตุใดเขาจึงลืมไปว่า ไม่แน่ตระกูลเฟิงอาจจะให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังนางก็เป็นได้ นางไม่ได้ต่อสู้ตามลำพัง หากตนยื่นมือเข้าไปยุ่งโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่แน่เมื่อถึงเวลาจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้
ปล่อยให้นางไปสู้รบตบมือกับคนในความลับเองก็แล้วกัน
ถึงอย่างไรผลลัพธ์ในวันนี้ เขารับเงินและทำงานแล้ว คนคนนั้นอยากจะทำเช่นไร ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว เหตุใดเขาจึงไม่อาศัยโอกาสนี้ แสดงน้ำใจต่อนางเล่า
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าเคร่งขรึมของใต้เท้าหวังแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มทันที “คุณหนูมั่วพูดถูก ข้าออกหลักฐานให้คุณหนูหนึ่งฉบับ เพื่อเป็นหลักฐานว่าศพที่ข้าเอากลับไป ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต”
ประโยคสุดท้ายคำว่า ‘ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต’ เขาลากเสียงยาวเล็กน้อย เห็นชัดว่าต้องการให้มั่วเชียนเสวี่ยรับรู้ว่าเขามีน้ำใจต่อนาง
ได้ฟังถ้อยคำประจบประแจงที่แฝงไว้ในน้ำเสียง สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยผ่อนคลายลงเล็กน้อย มีรอยยิ้มบางๆ แล้วพูดวางมาด “เช่นนั้นรบกวนใต้เท้าหวังแล้ว วันหน้าเชียนเสวี่ยจะไปเยี่ยมที่จวนอย่างแน่นอน”
พูดจบ มั่วเชียนเสวี่ยหมุนตัวหันหลังเดินไปที่รถม้า เรื่องที่เหลือ แน่นอนว่ามีพวกมั่วเหนียงส่งมอบงานให้เจ้าหน้าที่พวกนั้น นางไม่ต้องกังวลอีก
ใต้เท้าหวังประสานมือแล้วพูดส่งนาง ท่าทีของเขาแตกต่างจากเมื่อครู่ราวกับฟ้าดิน “ขอรับ ขอรับ คุณหนูเดินทางปลอดภัย!”
ในเมื่อเจ้าเมืองอยากจะแสดงน้ำใจต่อมั่วเชียนเสวี่ย เช่นนั้นเรื่องที่เหลือเขาย่อมไม่หาเรื่องนางอีก เขาสั่งบริวารประทับตรา จากนั้นเปิดทางให้รถม้าของนาง แล้วปล่อยตัวนางไป
มีเรื่องเกิดขึ้นทำให้การเดินทางล่าช้า กว่าจะกลับถึงจวนกั๋วกงก็ยามซวี[1]แล้ว ทันทีที่มั่วเหนียงกลับถึงจวนก็สั่งให้สาวรับใช้ยกน้ำอาบน้ำมา ให้สาวใช้สองคนที่ไว้ใจได้ช่วยมั่วเชียนเสวี่ยอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ปัดเป่าความอัปมงคล
มั่วเชียนเสวี่ยเพลิดเพลินกับทักษะการนวดที่ยอดเยี่ยมของสาวใช้ทั้งสองคน การนวดของสาวใช้ทำให้กล้ามเนื้อที่เมื่อยล้าและเหยียดตึงได้รับการผ่อนคลาย
หลังจากได้รับการดูแลปรนนิบัติมั่วเชียนเสวี่ยที่เดิมทีอ่อนเพลียยิ่งนักเวลานี้สดชื่นขึ้นมาทันที นางกลับมากระปรี้กระเปร่า อดไม่ได้ที่จะพูดทอดถอนหายใจ เป็นจริงตามคำที่กล่าวว่ายากจนแล้วร่ำรวยปรับตัวง่าย ร่ำรวยแล้วยากจนปรับตัวลำบาก ชีวิตที่มีคนคอยปรนนิบัติดูแลช่างสบายเสียจริง
วันนี้ท่านเจ้าเมืองเก็บศพขอทาน ประชุมราชสำนักเช้าวันพรุ่งนี้ต้องมีคนนำเรื่องนี้ไปกราบทูลฮ่องเต้อย่างแน่นอน
ช่วงเวลาสั้นๆ มีคนตายมากมายในเมืองหลวง ฮ่องเต้ต้องทรงกริ้วมากแน่นอน…
เมื่อก่อนตอนอยู่หมู่บ้านหวังจยา มีชาวบ้านอยากจะชิงสมบัติของนาง ทว่าคนส่วนมากล้วนมีชีวิตที่เรียบง่าย
พวกที่มีจิตใจเลวทราม ก็ล้วนเป็นพวกต่ำช้า ไม่คู่ค่าให้นางใส่ใจ ดังนั้นนางจึงเพียงอยากใช้ชีวิตของตนเองให้ดี นางที่ทะลุมิติมายังสมัยโบราณไม่เคยคิดจะวางอุบายเจ้าเล่ห์ ไม่เคยคิดจะวางแผนทำร้ายผู้ใด
แต่ว่า สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนกัน
หนทางด้านหน้าของนางโปรยด้วยใบมีด หากนางอยากจะมีชีวิต จำต้องเหยียบใบมีดเหล่านั้นแล้วคลานขึ้นไปทีละก้าวๆ แล้วเอาใบมีดแทงหัวใจพวกคนที่คิดทำร้ายนางและหนิงเซ่าชิง
ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยกำลังคาดเดาพฤติกรรมที่อาจจะเป็นไปได้ของฮ่องเต้ ครุ่นคิดถึงช่องโหว่ด้านต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น พ่อบ้านมั่วรวบรวมผู้รับผิดชอบเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในตระกูลมาที่ลานหน้าเรือนแล้ว เชิญมั่วเชียนเสวี่ยไปอบรม
เรื่องในวันพรุ่งนี้ไม่อาจคิดคำนวณ ทว่าเรื่องนี้วันนี้จำต้องจัดการ…ก่อนจะโจมตีข้าศึกต้องให้ความสำคัญกับภายในก่อน นางเข้าใจหลักการข้อนี้
จวนกั๋วกงต้องเป็นเหมือนเมื่อก่อน เข็มไม่อาจทิ่มแทง น้ำไม่อาจสาดเข้ามา[2] ทั้งตระกูลเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ค่ำคืนนี้ เบื้องหน้าของเมืองหลวงยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน เบื้องหน้าควรจุดไฟส่องสว่างก็ยังคงจุดไฟส่องสว่าง ควรร้องเล่นเต้นระบำก็ยังคงร้องเล่นเต้นระบำ
ทว่า ภายในความมืดมีหลายสิ่งกำลังเคลื่อนไหว…
เรื่องใหญ่เช่นนี้ จะปิดบังผู้มีใจใคร่รู้ได้อย่างไร การแข่งขันของหลายขั้วอำนาจก็มีการวางแผนใหม่ เพราะการมาของหมากตัวใหม่
ไม่ว่าจะเป็นการเอาชีวิตรอดอย่างชาญฉลาดจากน้ำมือของฮองเฮา หรือว่าสังหารขอทานกลางท้องถนน ล้วนต้องใช้ความกล้าหาญ ความองอาจและไหวพริบ ไม่อาจขาดแม้เพียงสิ่งหนึ่ง!
มีบางคนมองเช่นนี้ กล้าเปิดศึกสังหารในเมืองหลวง มั่วเชียนเสวี่ยคนนี้รนหาที่ตายจริงๆ…
และมีคนมองเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยคนนี้มีความกล้าหาญและเจ้าแผนการ สมกับเป็นบุตรีของเจิ้นกั๋วกง…
ทั้งยังมีคนมองเช่นนี้ สตรีคนนี้ไม่ธรรมดา คิดรอบคอบ ทำงานดีไร้ข้อผิดพลาด สามารถผูกมิตรได้…
ยิ่งกว่านั้นมีคนมองว่า มั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนจิตใจอำมหิต หลังจากนี้พยายามอย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องของนาง…
……
จวนมั่ว
โถงใหญ่ในห้องประชุม เต็มไปด้วยเปลวไฟส่องสว่าง หัวหน้าตระกูลมั่วและผู้อาวุโสทั้งสี่อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แน่นอนว่าคุณชายทั้งสามของตระกูลมั่วก็อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
หัวหน้าตระกูลมั่วพูดขึ้น “คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะมีชีวิตรอดออกมาจากวังหลวง”
ผู้อาวุโสใหญ่ “เด็กคนนั้นสังหารขอทานทั้งหมด ที่นี่คือเมืองหลวง พรุ่งนี้ฮ่องเต้ต้องทรงกลิ้วมากแน่นอน ไม่แน่ อาจจะอาศัยโอกาสนี้ถอดยศก็เป็นได้ สตรีล้างผลาญตระกูล รนหาที่ตาย…”
ผู้อาวุโสรอง “นางรนหาที่ตายไม่ใช่เรื่องสำคัญ ประเด็นสำคัญคือทำให้ตระกูลมั่วของเราเดือดร้อนไปด้วย…”
ผู้อาวุโสสาม “…”
ผู้อาวุโสสี่ “…”
ชั่วขณะหนึ่งโถงห้องประชุมเดือดผล่าน ทุกคนต่างโมโห
หัวหน้าตระกูลสีหน้าเคร่งขรึม ตบโต๊ะ “เงียบ!”
หัวหน้าตระกูลมั่วเหี้ยมโหด เขาจึงมีความน่าเกรงขาม ทุกคนในห้องต่างเงียบ แล้วมองไปที่เขา
หัวหน้าตระกูลมั่วมองไปที่มั่วจื่อถั่ง “จื่อถั่ง จื่อฮว่า จื่อเยี่ยวันนี้พวกเจ้าเพิ่งพบเจอนาง เล่าสถานการณ์ทุกอย่างตอนที่พวกเจ้าเจอนางในวันนี้อย่างละเอียด ห้ามตกหล่นแม้แต่น้อย” มั่วจื่อถัง มั่วจื่อฮว่าและมั่วจื่อเยี่ยทั้งสามมองหน้ากัน โดยมีมั่วจื่อถั่งเล่าเรื่องทั้งหมดในวันนี้ รวมถึงเรื่องตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยเข้ามาในจวนแล้วทำร้ายสาวใช้ด้วย
[1] ยามซวี หมายถึงเวลาประมาณ 19.00 น. – 21.00 น.
[2] เข็มไม่อาจทิ่มแทง น้ำไม่อาจสาดเข้ามา หมายถึง เปรียบเปรยถึงกลุ่มคนที่แข็งแรง คนนอกไม่สามารถทำร้ายได้ง่ายๆ