ในท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่กดดันมั่วเชียนเสวี่ย หรือว่าฝ่ายที่ปกป้องมั่วเชียนเสวี่ย และแม้แต่ฝ่ายที่ไม่แสดงจุดยืนใดๆ ในขณะนี้ล้วนรู้สึกชื่นชมหญิงสาวที่สุขุมใจเย็นผู้ที่อยู่เบื้องหน้ามาจากก้นบึ้งของหัวใจ
หลายคนตั้งคำถามกับตัวเองว่า หากเปลี่ยนมาเป็นตนเอง พวกเขาจะยังคงสง่างามอย่างนี้ได้หรือไม่ คำตอบคือไม่อย่างแน่นอน ดังนั้นเหงื่อจึงได้ออกเต็มแผ่นหลัง
ในท้องพระโรงเงียบสงบลง ฮ่องเต้ก็พึงพอพระทัยแล้ว
เมื่อสักครู่นี้นี่เองที่ทุกคนแสดงความคิดเห็นของตนเอง เขาก็ได้นำทัศนคติของทุกคน ทุกฝ่ายมาคิดวิเคราะห์ให้กระจ่างชัด นึกไม่ถึงว่าผ่านเรื่องเช่นนี้ ยังจะสามารถได้รับผลประโยชน์ที่ไม่คาดคิดแบบนี้
แต่ว่า เขากลับมิกล่าวสิ่งใด เขาต้องการหยั่งเชิงเพื่อดูนิสัยใจคอของสตรีที่อยู่ด้านล่างผู้นี้
ฎีกาหนักยิ่ง ไม่นานมั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกปวดมือมาก ยังดีที่นางมีพลังใจที่แข็งแกร่ง แม้ว่ามือจะสั่นเล็กน้อย แต่กลับยังอดทนถือเอาไว้ได้
“อ่านจบแล้ว?” เป็นเวลาค่อนข้างนาน ในที่สุดฮ่องเต้ก็เปิดปากพูดแล้ว
น้ำเสียงของเขาฟังดูใจเย็นกว่าก่อนหน้านี้มากนัก เห็นได้ว่าการที่เหล่าขุนนางมีปากมีเสียงกันก็มีประโยชน์เหมือนกัน อย่างน้อยๆ ก็ทำให้โทสะของฮ่องเต้ที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉินเบาบางลงมาก
“กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันอ่านหมดแล้วเพคะ” มือที่ถือของหนักเป็นเวลานานเกินไปก็ย่อมจะสั่นเล็กน้อย แม้ว่าน้ำเสียงจะเต็มไปด้วยความเคารพแต่ก็ยังคงนิ่งสงบเช่นเคย
แม้ว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ทว่าฮ่องเต้ก็พึงพอใจกับท่าทางยื่นฎีกาพลางก้มศีรษะของมั่วเชียนเสวี่ย
เขาให้ขันทีนำฎีกากลับคืนมา จากนั้นฮ่องเต้ก็เอ่ยถามอีกครั้ง “เจ้ารับทราบความผิดแล้วใช่ไหม”
ฎีกาในมือของมั่วเชียนเสวี่ยถูกนำออกไป นางจึงเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถึงฎีกา “กราบทูลฝ่าบาท ความสามารถทางด้านวรรณกรรมของเหล่าใต้เท้าทั้งหลายหม่อมฉันมิอาจวิจารณ์ได้ แต่หม่อมฉันกลับไม่ทราบจริงๆ ว่า หม่อมฉันมีความผิดตรงไหน ใต้เหล้าทั้งหลายต่างก็เห็นหม่อมฉันเข่นฆ่าคนบนถนน กล่าวหาว่าหม่อมฉันท้าทายอำนาจของฝ่าบาท เช่นนั้นหม่อมฉันขออาจหาญถามเหล่าใต้เท้าทุกๆ ท่าน จะตรวจสอบอย่างละเอียดได้หรือไม่ว่าเหตุใดหม่อมฉันถึงต้องฆ่าคนเพคะ”
เป็นเวลานานที่ไร้ซึ่งผู้ที่จะออกมาแสดงความคิดเห็น ดูเหมือนว่าผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ฮ่องเต้อย่างจิ่งอ๋องจะรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย อดมิได้ที่จะเอ่ยปากถาม “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงต้องฆ่าคนด้วย”
ประโยคนี้ถามได้ถูกเวลาจริงๆ ใต้เท้าคนอื่นล้วนเกิดคำถามนี้ขึ้นในใจ แต่กลับพยายามควบคุมตนเอง ด้วยเพราะไม่กล้าถามขึ้นมาในทันที ฮ่องเต้ยังไม่ถาม นั่นก็เพราะว่าพระองค์ยังไม่ต้องการเปิดโอกาสให้มั่วเชียนเสวี่ยได้อธิบายอย่างง่ายดาย
จิ่งอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นพระปิตุลาของฮ่องเต้ คำถามของเขาถือว่าเทียบเท่ากับคำถามของฮ่องเต้ได้ระดับหนึ่ง
มีชีวิตอยู่จวบจนบัดนี้ จะมีความอยากรู้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ที่ตำหนักกระดิ่งทองนี่อีก มั่วเชียนเสวี่ยแอบขอบคุณจิ่งอ๋องที่ช่วยพานางออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ นางจึงกล่าวรายงานต่อฮ่องเต้ด้วยสีหน้าจริงจัง “กราบทูลฝ่าบาท ตอนที่หม่อมฉันอยู่บนถนนได้ถูกขอทานกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมเอาไว้ เมื่อเห็นดังนั้นก็รีบหยิบเงินออกมาแล้วโยนให้กระจายไปบนถนนทันที แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจริงๆ แล้วขอทานเหล่านั้นไม่ได้ต้องการเงินเพคะ”
จิ่งอ๋องจ้องมองมาพลางกล่าวอย่างแปลกใจ “มีเรื่องประหลาดเช่นนี้ในโลกด้วยหรือ ขอทานไม่ปรารถนาเงิน?”
จิ่งอ๋องที่ดูเหมือนจะไม่สนใจ แต่ทุกประโยคที่ไถ่ถามล้วนตรงประเด็น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังช่วยนางอยู่
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรจิ่งอ๋องผู้นี้ถึงได้ช่วยตนเอง แต่นางก็ไม่ได้โง่เขลา และได้คว้าเอาโอกาสนี้ไว้ พลางกล่าว “ฝ่าบาททรงพระปรีชา ขอทานเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่ต้องการเงิน แต่ละคนล้วนมีวิชาการต่อสู้ และรถม้าที่หม่อมฉันนั่งไปก็ขับเคลื่อนอยู่บนเส้นทางสาธารณะ พวกเขารู้ถึงสถานะของหม่อมฉันดีแต่ก็ยังเข้ามาปิดล้อม แม้ว่าหม่อมฉันจะเขลาเพียงใด แต่ก็รู้ว่าขอทานเหล่านี้ไม่ใช่พลเมืองดี แต่เป็นกบฏเพคะ”
อย่างไรก็ตามขอทานกลุ่มนั้นได้ตายไปแล้ว เหตุใดถึงพูดว่าขึ้นอยู่กับนาง ท้ายที่สุดแล้วเจ้าเมืองเขตเมืองหลวงผู้นั้นก็ปฏิบัติต่อนางอย่างดี คิดดูแล้วคงไม่แทงข้างหลัง เขาเองก็ไม่ได้รับข้อดีอะไร
“หากไม่ใช่เพราะว่าสาวใช้ของหม่อมฉันมีวิทยายุทธ์อยู่บ้าง และเหล่าองครักษ์ก็เสี่ยงชีวิตต่อสู้กับพวกกบฏหลายสิบคนที่รวมกลุ่มเข้ามาจู่โจม ไม่แน่ว่าหม่อมฉันจะกลายเป็นศพนอนตายอยู่บนถนนแล้วเพคะ” น้ำเสียงของมั่วเชียนเสวี่ยฟังดูไร้เรี่ยวแรง กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกให้เห็นใจ ในเวลาที่เหมาะสม ก็ยังต้องแสดงความอ่อนแอของหญิงสาวออกมาสักหน่อย
ในตอนนี้บนแก้มของนางก็มีคราบเลือดติดอยู่ด้วย บนชุดสีขาวก็เปื้อนไปด้วยจุดสีแดงๆ ราวกับดอกเหมย ฮ่องเต้เมื่อได้เห็นดังนั้น จากที่ใจแข็งดั่งหินผา ในเวลานี้ก็ได้อ่อนลงมาบ้างแล้ว
เมื่อเห็นว่าท่าทีของฮ่องเต้ได้อ่อนลงมาบ้างแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยจึงได้กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “แน่นอนว่าต่อให้หม่อมฉันตายก็ไม่เป็นอะไร แต่ว่าหม่อมฉันเพียงกังวลว่า กบฏเหล่านี้วันนี้สามารถลอบสังหารหม่อมฉันบนถนนได้ ต่อไปอาจลอบเข้ามาในวัง เพื่อลอบสังหารฝ่าบาท พระองค์ทรงสูงส่งเทียมฟ้า เป็นกษัตริย์ที่มิมีผู้ใดเทียบเคียงได้ เทียนฉี ภายใต้การปกครองของฝ่าบาท ล้วนเจริญรุ่งเรืองไปทั่วทุกหัวระแหง จะให้มีข้อผิดพลาดแม้นเพียงน้อยนิดได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้หม่อมฉันจึงต้องขอบังอาจวิงวอนให้ฝ่าบาทช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยเพคะ ตรวจสอบดูว่ามีใครบงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่ มิเช่นนั้น ลำพังเพียงขอทานกลุ่มหนึ่ง จะใจกล้าขนาดนี้ได้อย่างไร ก่อความวุ่นวายในเมืองของกษัตริย์ ลอบสังหารผู้มีอำนาจ…”
คนที่กลัวตายมากที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือฮ่องเต้ คนที่กระหายในอำนาจมากที่สุดก็คือฮ่องเต้ และคนที่ชอบฟังคำเยินยอมากที่สุดก็คือฮ่องเต้เช่นกัน
ความคิดที่อยากประหารเหล่าขุนนางที่มีปากเสียงกันเมื่อครู่นี้ ได้ลดลงไปมากแล้ว ตอนนี้ได้ฟังคำพูดของมั่วเชียนเสวี่ยที่ดูสมเหตุสมผลแล้ว ก็ย่อมจะคิดได้ว่า วันนี้กบฏเหล่านั้นกล้าที่จะขวางรถม้าของมั่วเชียนเสวี่ย ต่อไปภายภาคหน้าก็คงจะกล้าขวางรถม้าพระที่นั่งเหมือนกัน…
เกิดความโกลาหลเช่นนี้ เมืองหลวงยังจะมีความมั่นคงได้อย่างไร! เมืองหลวงไม่มีความสงบสุข นั่นถึงจะถือเป็นเรื่องใหญ่เพราะชาติบ้านเมืองจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้
เรื่องนี้ก็เพียงพอที่จะเป็นบทเรียนให้แก่มั่วเชียนเสวี่ยได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องสังหารนางในตอนนี้
ลงโทษนางเล็กน้อย ให้นางจดจำไปนานๆ หน่อย ในขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมีเมตตาของตนเอง แน่นอนว่าเขายังมีความหวาดระแวงอยู่อีกมาก
สถานการณ์ภายในของมั่วเชียนเสวี่ยทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายผิวเผินเช่นนั้น ก่อนหน้านี้เขารู้สึกกังวล นึกถึงแต่ด้านเดียว ไม่นึกถึงด้านอื่น เขาคือฮ่องเต้ วางแผนร้ายไปๆ มาๆ ตอนนี้ย่อมจะคิดได้แล้วว่าจะต้องมีคนใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อเอาชีวิตมั่วเชียนเสวี่ยเป็นแน่
เมื่อคิดได้ถึงส่วนนี้ ฮ่องเต้จึงล้มเลิกความคิดที่จะประหาร
เจตนาเดิมของเขาก็คือเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็จะรามือ เพียงแต่ว่าพอนึกถึงร่างนั้น ก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมาชั่วขณะ
เขายังต้องยืมเรื่องนี้มาใช้เพื่อเดินหมากกับตระกูลเฟิงตระกูลหนิงและตระกูลเซี่ย จะทำลายเบี้ยตัวนี้ทิ้งไปก่อนได้เยี่ยงไร
มั่วเชียนเสวี่ยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหวังจยาเป็นระยะเวลาครึ่งปี กระดาษมิอาจห่อไฟได้ ได้ยินข่าวลือมาจากตระกูลเซี่ยว่า ขนาดฮองเฮายังรู้เลยว่ามั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงอยู่กินกันฉันสามีภรรยาในหมู่บ้านหวังจยา แล้วฮ่องเต้จะไม่ทราบได้อย่างไร
เพียงแค่ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ออกมา เพราะคนที่รู้ความจริง ไม่มีใครเต็มใจที่จะเห็นมั่วเชียนเสวี่ยติดตามหนิงเซ่าชิงกลับไปยังตระกูลหนิง
หากเป็นเช่นนั้น ตระกูลหนิงก็เหมือนเสือติดปีก เดิมทีเขาก็มีความมั่งคั่งและอิทธิพลอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีกองกำลังลับอีก หากตอนนี้ยังมีอำนาจทางการทหารอีก เช่นนั้นใครก็จะทำอะไรเขาไม่ได้เลย
หากถึงเวลานั้นจริงๆ เขาจะต้องสร้างข้อกล่าวหาขึ้นมาในทันที เพื่อประทานความตายให้แก่มั่วเชียนเสวี่ย ไม่มีทางให้มั่วเชียนเสวี่ยแต่งเข้าตระกูลหนิงโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะในฐานะภรรยาเอกหรืออนุภรรยาก็ตาม
เพียงแค่ในยามวิกฤติแบบนี้ ไม่เพียงแต่หนิงเซ่าชิงเท่านั้นที่ไม่ปรากฏตัว ตระกูลหนิงก็ไม่ได้ยื่นมือออกมาช่วย ซึ่งเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของฮ่องเต้
ฮ่องเต้ไม่ค่อยจะเข้าพระทัยนัก!
ตามแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ หนิงเซ่าชิงผู้นั้นให้ความสำคัญกับมั่วเชียนเสวี่ยมาก
หรือว่า ตระกูลหนิงกลัวเสียแล้ว…หนิงเซ่าชิงทรยศ?…หรือว่ามีอุบายอะไร…
การตายของเจิ้นกั๋วกงเป็นโอกาสที่ทำให้สามารถจัดระเบียบอำนาจทางการทหารใหม่ได้อีกครั้ง แต่ว่ายิ่งความหวังของทุกฝ่ายมากขึ้นเท่าไร ความผิดหวังก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ที่ชายแดนตะวันตกหลายๆ เมืองล้วนเป็นมั่วเทียนฟ่างที่ยึดกลับมาได้ กองพลต่างๆ เหล่านั้นก็ล้วนยอมรับแต่มั่วเทียนฟ่าง ไม่ยอมรับราชสำนัก ทางราชสำนักก็ส่งคนไปรับแม่ทัพเหล่านั้นให้มาเมืองหลวงเพื่อรายงานสถานการณ์อยู่หลายครั้ง แต่มักถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลหลากหลายประการ