แม่ทัพที่อยู่ด้านนอก ไม่ฟังคำสั่งของฮ่องเต้
ยิ่งไปกว่านั้น แม่ทัพเหล่านั้นล้วนเหมือนกับมั่วเทียนฟ่าง เริ่มจากชนชั้นรากหญ้า ไม่ต้องรับผิดชอบตระกูล สมาชิกในครอบครัวทุกคนล้วนพามาอยู่ในกองทัพหมดแล้ว ไม่ยอมรับการควบคุมของเขาเลย
หากกดดันพวกเขามากจนเกินไป ก็เกรงว่าคนพวกนั้นจะต่อต้านกลับมา และหากพวกเขาต่อต้านแล้ว ราชสำนักจะไปกวาดล้าง? หรือจะปล่อยไว้ไม่สนใจ…นี่ก็ล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้ปวดสมองได้จริงๆ
หากทางราชสำนักเข้าไปกวาดล้าง จะกวาดล้างได้หรือไม่ได้นั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง ที่สำคัญก็คือจะต้องมีค่าใช้จ่ายทางการทหารอีก ต้องส่งกองทัพไปอีกครั้ง วางกลยุทธ์ คอยติดตาม จัดเตรียม…และอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลต่อสถานการณ์ทั้งหมดจริงๆ…
หากส่งผลต่อสถาณการณ์ทั้งหมดแล้ว สามารถกวาดล้างได้ก็ดีไป แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ ถูกต่อต้านกลับมาจริงๆ ภายภาคหน้าจะต้องมีปัญหาใหญ่กับผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อถือได้เป็นแน่
เดิมทีเรื่องนี้ได้ผูกเป็นเงื่อนตายไปแล้ว แต่กลับเป็นเพราะการกลับมาของมั่วเชียนเสวี่ย จึงต้องคลายปมออกมาใหม่อีกครั้ง
การเมืองคือการประนีประนอมทุกๆ รูปแบบ ก่อนหน้านี้เป็นเพราะบรรยากาศโดยรอบ โทสะที่พร้อมจะสังหารได้หายไปถึงเจ็ดส่วนแล้ว แม้จะไม่ชอบมั่วเทียนฟ่าง แต่อย่างไรเสียก็นับว่าเขาเป็นผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์
เขาไม่ควรเข้าไปขัดแย้งเช่นนี้ แน่นอนว่าการก่อความวุ่นวายของขอทานเหล่านี้ สำหรับเขาแล้ว ก็เป็นโอกาสหนึ่ง ที่นำพาให้คนของตนเองไปสู่ตำแหน่งที่สำคัญ
องครักษ์แข็งแกร่งขึ้นก็สมเหตุสมผล ยุติการดำรงตำแหน่งของบางคนก็เหมาะสม และเปลี่ยนเป็นให้บางคนมาคอยปกป้องคุ้มกันในเขตพื้นที่เมืองหลวง
ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสสิ่งใด มั่วเชียนเสวี่ยจึงไม่กล่าวอะไรมาก เพียงคุกเข่าพลางครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น
สิ่งที่นางสามารถคาดการณ์ได้ก็คือ ฮ่องเต้จะนำเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างทำให้เป็นการกระทำที่ใหญ่โต จะเกิดความโกลาหลทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นในเทียนฉีอีกครั้ง และในความโกลาหลครั้งนี้ใครจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายกันแน่ ก็บอกได้ยาก
ตระกูลขุนนางใหญ่ๆ ทั้งหลาย และกองกำลังจากทุกฝ่ายล้วนรอดูอยู่
ฉวยโอกาสตกปลาท่ามกลางความโกลาหลถึงจะดี หากไม่วุ่นวายแล้วจะได้ผลประโยชน์ได้อย่างไร
จุดนี้ ทุกคนต่างก็ประเมินสถานการณ์กันในใจ ฝ่าบาทกำลังวางอุบาย ในขณะเดียวกัน ทุกคนล้วนต่างก็วางอุบายว่าจะรับมือกับความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่ที่จะมาถึงอย่างไร เพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์สูงสุด
จากชนวนที่เกิดจากมั่วเชียนเสวี่ยนี้ ทุกคนกลับไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
ใครคือผู้ล่า ใครคือเหยื่อ เมื่อยังไม่ถึงจุดจบก็ยังไม่ใครสามารถล่วงรู้ได้
“เช่นนั้นความหมายของเจ้าก็คือ เจ้าจัดการกับคนไปนับสิบคน ไม่เพียงแต่ไม่มีความผิด แต่ยังมีความดีความชอบด้วย?” ฮ่องเต้พิจารณาในใจเรียบร้อยแล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยยังคุกเข่าอยู่ที่พื้น น้ำเสียงฟังดูเย้ยหยัน
การประชดประชันของฮ่องเต้ มีหรือที่มั่วเชียนเสวี่ยจะฟังไม่ออก “กราบทูลฝ่าบาท แม้ว่าหม่อมฉันจะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ก็มิกล้ารับว่ามีความดีความชอบ หม่อมฉันเชื่อว่า ไม่ว่าคุณหนูจากตระกูลขุนนางตระกูลไหนเมื่อต้องเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ ล้วนต้องมีใจรักบ้านเมือง ไปตัดศีรษะผู้ที่ผิดวินัยไม่เคารพกฎหมายอยู่แล้วเพคะ”
“หืม?” ฝ่าบาทส่งเสียงออกมาเบาๆ “หมายความว่า ไม่เพียงแต่ข้าไม่อาจลงโทษเจ้า แต่ต้องให้รางวัลเจ้าด้วย”
‘หืม’ คำนี้ แฝงไปด้วยความไม่พอใจ หากมั่วเชียนเสวี่ยกล้าที่จะกล่าวขัดฝ่าบาทอีกเพียงประโยคเดียว คาดว่าจะดึงความโกรธกลับมาอีกครั้ง
อยู่ใกล้ฮ่องเต้ช่างเหมือนอยู่ใกล้พยัคฆ์จริงๆ!
มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดเล็กน้อย “รางวัลของฝ่าบาท หม่อมฉันมิกล้ารับเพคะ หม่อมฉันย่อมจะมีความผิดในเรื่องนี้อยู่แล้ว หม่อมฉันผิดที่ ยังไม่ทันข้ามคืนก็นำเรื่องนี้ถวายรายงานต่อฝ่าบาท ด้วยเหตุนี้จึงวุ่นวายทำให้เกิดความเข้าใจผิดที่ยุ่งเหยิง ทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธ ทั้งยังทำให้เหล่าขุนนางต้องปวดหัวอย่างมากเพราะเรื่องนี้ ทำผิดอย่างใหญ่หลวง…เพื่อที่หม่อมฉันจะได้สำนึกผิดในความผิดทุกๆ อย่าง หม่อมฉันขอวิงวอนให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้หม่อมฉันได้ตรึกตรองถึงความผิดพลาดที่ได้กระทำลงไปตามลำพังเจ็ดวัน แล้วค่อยลงโทษหม่อมฉันโดยการตัดเบี้ยหวัดสามปีด้วยเพคะ”
สำนึกผิดเจ็ดวัน ดีเลยจะได้ไม่มีใครมาคอยรังควาน ถือโอกาสใช้เจ็ดวันนี้จัดระเบียบทุกๆ คนในจวนให้ดี
ตัดเบี้ยหวัด! ช่างเป็นความคิดที่ปราดเปรื่อง
นางรู้มาจากพ่อบ้านนานแล้ว ในห้าปีนี้ ท่านพ่อไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง เบี้ยหวัดของจวนกั๋วกงล้วนเป็นตระกูลมั่วที่เอาไป ตอนนี้นางกลับมาแล้ว แน่นอนว่าจะไม่ยอมให้คนที่เห็นประโยชน์จนลืมคุณธรรมกลุ่มนั้นได้อยู่ดีกินดีเป็นแน่
ตระกูลมั่วสร้างภาพเสียสวยหรู ทั้งจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อจัดพิธีศพให้ท่านพ่อท่านแม่ ทั้งให้ลูกหลานในตระกูลมั่วไว้ทุกข์ให้นาง หากนางเสนอให้นำเบี้ยหวัดกลับคืนมา ก็จะเป็นการไม่ซื่อสัตย์ อกตัญญู โหดร้ายและไม่ยุติธรรม
ตอนนี้ด้วยวิธีการนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นการเอาใจฮ่องเต้ ทั้งยังเป็นการควบคุมตระกูลมั่วเอาไว้ด้วย ทำให้ตระกูลมั่วขาดแหล่งรายได้ไปหนึ่งแหล่ง ทำไมนางจะไม่ทำ หรือว่าจะปล่อยให้พวกเขาเอาเงินของนางไป แล้วค่อยกลับมาฆ่านางเล่า?
นางไม่โง่เขลาขนาดนั้น!
นี่ถือเป็นการเตือนพวกเขาครั้งแรก!
คำพูดในระหว่างการสนทนานี้ของมั่วเชียนเสวี่ย ทำให้ทั่วทั้งร่างกายของฮ่องเต้เหมือนถูกตรึงไว้ในทันที เป็นการเอาใจฮ่องเต้ ขณะเดียวกันก็เสนอเงินให้ ทั้งสองอย่างนี้ล้วนทำตามความพระประสงค์ของฮ่องเต้
ตอนนี้เงินในคลังหลวงร่อยหรอ จวนกั๋วกงได้รับเบี้ยหวัดไม่น้อยเลยทีเดียว งดให้เบี้ยหวัดสามปี ถือเป็นการเพิ่มรายได้เข้าคลัง
เห็นคราบเลือดบนใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว ฮ่องเต้จึงกลับมาคิดได้ว่า ฎีกามากมายเช่นนั้นน้ำหนักต้องไม่เบาเลยทีเดียว ถือว่าได้ให้บทเรียนแก่นางแล้ว และนางก็รู้จักหน้าที่ ไม่เพียงแต่ขอรับโทษเองแต่ยังเสนอเรื่องเบี้ยหวัดอีก…
อย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้เป็นคนแบบไหนกัน เขาเป็นคนเจนโลก ในศูนย์กลางการเมือง แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ แต่ปากกลับเหมือนถูกสถานการณ์บังคับ ยิ้มแหยๆ พลางกล่าว “ในเมื่อเจ้ามีใจที่ภักดี เช่นนั้นข้าก็อนุญาต เลิกประชุมได้…”
เลิกประชุมเร็วหน่อย เขาก็จะได้หารือกับลูกน้องคนสนิทเร็วขึ้นว่าจะเปลี่ยนคนอย่างไรดี ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ทำให้ผู้ที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ได้รับผลประโยชน์ได้อย่างไร
ผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของผู้อื่น ไม่รู้ว่ามีกี่ตระกูลสุขสมกี่ตระกูลต้องทุกข์ตรม อย่างไรก็ตาม ตระกูลมั่วในตอนนี้จะต้องอยู่ไม่เป็นสุขเป็นแน่
ภัยพิบัติครานี้ ก็ได้หายไปทั้งๆ แบบนี้ เหล่าขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงล้วนอิจฉาในความโชคดีของมั่วเชียนเสวี่ย อิจฉาที่ฝ่าบาททรงเมตตากรุณาต่อนาง แต่ใครเล่าจะรู้ถึงความแค้นในใจนาง
พอออกมาจากตำหนิกจินหลวนเป่าแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยถึงจะกล้าสัมผัสบาดแผลของตน ยื่นมือออกมาแตะ รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก มั่วเชียนเสวี่ยจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและเริ่มเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า
ที่ไม่เช็ดตอนที่อยู่ในท้องพระโรง เพราะต้องการทำให้ฮ่องเต้รู้สึกละอายใจ ไม่ลงโทษหนักยิ่งขึ้นอีก
ซูชีเดินตามหลังขึ้นมา ยิ้มอย่างไร้กังวลพลางกล่าวเรียก “คุณหนูมั่วแห่งจวนกั๋วกง โปรดหยุดก่อน…”
มั่วเชียนเสวี่ยดูนิ่งสงบตอนที่อยู่ในท้องพระโรงก็จริง แต่จะไม่กระวนกระวายใจเลยคงจะเป็นไปไม่ได้ ทั้งยังต้องคุกเข่าอยู่ด้านหน้าตลอด จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าซูชีคือหนึ่งในขุนนางที่อยู่ในนั้น พอหันกลับไปดู ก็เห็นว่าเป็นซูชี มั่วเชียนเสวี่ยจึงตะลึงงันในทันที
เรื่องในตอนนั้น หากจะบอกว่าไม่หลงเหลือเงาในใจของมั่วเชียนเสวี่ยแม้แต่น้อย…เป็นไปไม่ได้!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ทั้งสองใกล้ชิดกันขนาดนั้น แถมนางยังเคยทำแบบนั้น…และ ครั้งนี้ ก็เป็นครั้งแรกที่ได้พบซูชีหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น
มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะมองไปที่คอของเขา ผิวยังเนียนผ่องไม่มีรอยแผลเป็น ราวกับว่าหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในใจได้ตกลงสู่พื้นแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยหันกลับมามอง ซูชีจึงมองไปบนหน้าผากของนาง บาดแผลอันน่ากลัวนั้น ทำให้ใจเขาเจ็บปวด ยิ่งเห็นนางกวาดสายตามองมาที่คอของตนเองแล้ว หัวใจก็รู้สึกเจ็บและอบอุ่นไปพร้อมๆ กัน
แต่ว่า ที่มากกว่านั้นก็คือรู้สึกตกตะลึง
เขานึกไม่ถึงว่าสาวน้อยคนหนึ่ง จะมีความสามารถเช่นนี้ สามารถอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางได้อย่างสุขุมเยือกเย็น ชี้แจงแถลงไขจนเอาชีวิตรอดจากความตายมาได้
ต่างคนต่างครุ่นคิด สายตาของทั้งสองประสานกัน เชื่อมเป็นสายตาเดียวกัน
มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ซูชีรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจจนพูดไม่ออก
ซูชีดึงสติกลับมาได้ก่อน “ข้าจะส่งเจ้ากลับจวน” เขาบอกไว้แล้วว่าจะปกป้องนาง เมื่อครู่นี้ตอนที่อยู่ในท้องพระโรง ท่าทางของนางทรงพลังมาก เขาจึงไม่มีโอกาสได้ปกป้อง
ตอนนี้ เขาจะส่งนางกลับจวนด้วยความซื่อสัตย์
ให้พวกที่ต้องการเหยียบย่ำนางเหล่านั้น รู้จักประเมินตนสักหน่อยว่ามีปัญญากระทำการใดได้หรือไม่