ตอนที่ 23 ฝันไปเถอะ! งาช้างย่อมไม่งอกออกจากปากสุนัข
หมอหลี่เห็นญาติคนป่วยประเภทต่างๆ จนชินชา เมื่อได้ยินข่าวร้าย บ้างก็วิงวอนต่อฟ้าดิน บ้างก็ใช้วาจาคุกคาม บ้างก็เงียบคิดหาทางหนีทีไล่ให้ตน การกระทำที่น่าขบขันต่างๆ ทำให้เขาไม่ได้ใส่ใจต่อความเป็นความตายที่อยู่ตรงหน้า
วันนี้ถึงแม้สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยนั้นจะโศกเศร้า ที่ดวงตามีน้ำเอ่อนองแต่กลับสกัดกลั้นไม่ให้มันไหลลงมา พยายามอดทนหวังให้เข้มแข็งขึ้น กิริยาท่าทางสุภาพมีมารยาท จนทำให้เขาอดสงสารไม่ได้
“เอาเถิด ตัวข้ามีสูตรยาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเพื่อใช้รักษาพิษเย็นโดยเฉพาะ เพียงใช้ยาสามชุดต้องฟื้นแน่ หากใช้ต่อเนื่องกันเจ็ดวันจะช่วยยับยั้งอาการหนาวเย็นได้ร้อยวัน แต่ว่าตัวยาชนิดนี้หายากเหลือเกิน ยาชุดหนึ่งต้องใช้เงินถึงห้าสิบตำลึงเชียวนะ”
หมอหลี่พูดด้วยอารมณ์ซับซ้อน “หลังจากร้อยวันผ่านไป อาการหนาวนี้ก็อาจไม่สามารถหยุดยั้งได้อีก เช่นนี้แล้ว…ใบสั่งยานี้แม่นางจะรับอยู่หรือไม่” หมอหลี่ดูลำบากใจเป็นอย่างมากที่จะพูดออกมา แต่มั่วเชียนเสวี่ยไม่ต้องคิดก็ตัดสินใจได้เลยทันที
มีเวลาร้อยวันงั้นหรือ ภายในร้อยวันค่อยเชิญหมอในเมืองมารักษาอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องมีวิธีดีๆ มารักษาอย่างแน่นอน “ท่านหมอ ออกใบสั่งยาเถิด เรื่องในวันนี้มั่วเชียนเสวี่ยจะขอจดจำไว้ หากวันหน้าสามีของข้ารักษาจนหาย ข้าจะไปขอบคุณท่านถึงบ้าน!”
หลังรักษาเสร็จ หมอหลี่ก็ขอตัวลาก่อน ฟางต้าถังนำเงินที่มั่วเชียนเสวี่ยให้และอาสาตามไปเอายาด้วย
ยาชุดละห้าสิบตำลึง กินต่อเนื่องกันเจ็ดวันรวมสามร้อยห้าสิบตำลึง! แพงขนาดนี้ทำไมไม่ปล้นๆ กันไปให้สิ้นเรื่องเลยล่ะ เมื่อหมอหลี่กลับไปแล้ว อาซ้อฟางเริ่มด่าว่าเขานั้นใจดำ
หลังด่าเสร็จ อาซ้อฟางก็พูดปลอบใจมั่วเชียนเสวี่ย ในใจก็คิดอยากหาวิธีให้น้องได้เริ่มชีวิตคู่สามีภรรยากันเร็วๆ เสียที หากมีลูกก่อนที่เขาจะจากไปก็จะเลี่ยงการถูกขายเป็นทาสได้ ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ยังมีความหวัง
มั่วเชียนเสวี่ยที่เรียกสติกลับมาได้ จับไปที่มือของอาซ้อฟางแล้วเอ่ยถาม “อาซ้อ วันนี้ตอนกลางวันที่ท่านมาส่งอาหารเจออะไรผิดปกติหรือไม่”
หลังจากไล่หมอผีออกไป มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่ามีเสื้อเปียกอยู่บนเก้าอี้ จึงนึกสงสัยอยู่ในใจแต่ยังหาโอกาสถามอาซ้อฟางไม่ได้
“ข้าก็กำลังจะเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังอยู่พอดี…”
ดังนั้น อาซ้อฟางจึงรีบเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันอย่างละเอียด นางคิดไม่ตกจริงๆ ว่าเรื่องที่ท่านอาจารย์ป่วยครั้งจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับอาสะใภ้และฟางเถาเอ๋อร์ แต่หากไม่พูดออกไปมันคงจะเป็นปมในใจของนาง
พูดตามจริง ท่าทางของทั้งสองนั้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำอะไรไปบ้างแต่กลับรู้สึกแปลกเป็นอย่างมาก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ
หากบอกว่าเป็นการวางยา อาจารย์หนิงก็เป็นคนที่เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่ได้ไปขัดแย้งใคร ไม่ได้มีความแค้นต่อใคร ต่อให้ไปขัดใจใครไว้ก็ไม่น่าทำถึงเพียงนี้
ฟางอู่พ่อของเถาเอ๋อร์ คือท่านอาห้าของสามีนาง หากจะพูดก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เรื่องการออกเรือนของฟางเถาเอ๋อร์นั้น อาซ้อฟางย่อมรู้เรื่องบ้างเป็นธรรมดา
นางไม่สนใจว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะโกรธหรือไม่ ที่พูดในสิ่งที่ตนรู้ทั้งหมดออกไป
หลังจากดูแลและป้อนยาสามีเสร็จ ฟ้าก็มืดแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยล้างตัวและขึ้นไปนอนบนเตียง
ยื่นมือไปลูบใบหน้าอันหล่อเหลาของหนิงเซ่าชิง อาซ้อฟางแม้จะคิดไม่ออกว่าเรื่องราวครั้งนี้มันเชื่อมโยงกันอย่างไร แต่ตัวมั่วเชียนเสวี่ยนั้นดูละครน้ำเน่ามาไม่น้อย เมื่อนำเรื่องราวมาคิดอีกทีก็พอเดาได้บ้างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ในใจทั้งโกรธทั้งแค้น!
แต่เมื่อเห็นว่าหนิงเซ่าชิงหนาวจนตัวสั่น ใจก็ทนไม่ไหว นำผ้าห่มของตนห่มให้กับเขาและถอดเสื้อผ้าของนางไปไว้ในผ้าห่มหนิงเซ่าชิงเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับเขา
นางคิดวาดแผนอยู่ในหัว ให้พวกนั้นได้รับผิดชอบกับผลที่ตามมา เรื่องออกเรือนของฟางเถาเอ๋อร์ นางจะหาวิธีการจัดการให้นางได้ไปที่ชอบๆ เพื่อตอบแทนกับสิ่งที่นางได้กระทำไปในวันนี้อย่างสาสม
เช้ามืดวันถัดมา ร่างกายของหนิงเซ่าชิงจากเย็นเฉียบก็พลันอุ่นขึ้น มั่วเชียนเสวี่ยสะลึมสะลือแล้วหลับไป
นางนอนไปเพียงครู่เดียวก็ฝืนตัวเองลุกขึ้นมา เมื่อวานนางกับคุณชายเจ็ดนัดกันไว้แล้ว ทางภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีจะมาถึงหน้าประตูยามซื่อ[1] เพื่อมารับเต้าหู้ที่ต้องการ
นางตกลงไว้ว่าวันหนึ่งจะส่งให้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยจิน[2] เพราะยังต้องหาเงินซื้อยาของหนิงเซ่าชิง
เมื่อถึงยามเหม่า[3] มั่วเชียนเสวี่ยก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อาซ้อฟางและอาซ้อกุ้ยฮวามาถึงแล้วเช่นกัน การทำเต้าหู้ต้องใช้ทักษะและแรงกาย ถึงแม้อาซ้อทั้งสองจะมีเจตนาหวังดีให้นางได้พักผ่อนแต่พวกนางก็ทำไม่เป็น กลัวจะทำของเสียหาย แม้จะยังเกร็งๆ อยู่บ้าง แต่ทั้งสามก็ทำสำเร็จจนได้
เมื่อถึงยามซื่อ รถม้าจากไป๋อวิ๋นจวีก็มาถึงแล้ว รถม้านี้ดีกว่ารถม้าของตระกูลจ้าวที่หน้าหมู่บ้านเสียอีก ดูดีมีราคายิ่งนัก
สารถีเป็นชายที่ดูเย็นชาพร้อมถือดาบอยู่ในมือ เขามีร่างกายกำยำและมีใบหน้าที่หล่อเหลา มีเสี่ยวฉีจื่อติดตามมาด้วย
ทั้งสามคนเริ่มทำเต้าหู้กันอย่างลำบากตั้งแต่เช้าตรู่ ใช้เวลาสองชั่วยามถึงจะทำเต้าหู้หนึ่งร้อยจินเสร็จ นำกล่องไม้มาวางเป็นชั้นๆ จนเป็นกองใหญ่ ชายหนุ่มเย็นชาคนนั้นมือหนึ่งถือดาบ อีกมือหนึ่งยกกล่องเต้าหู้ เพียงสองรอบก็ยกไปไว้บนรถหมดแล้ว
เสี่ยวฉีจื่อพูดตรงไปตรงมา บอกว่าเต้าหู้ที่ส่งไปเมื่อวานยังไม่ถึงเที่ยงวันก็ขายไปหมดแล้ว เถ้าแก่ฝากมาแจ้งให้มั่วเชียนเสวี่ยช่วยทำเพิ่มด้วย
มั่วเชียนเสวี่ยทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย หนิงเซ่าชิงก็ยังนอนอยู่ในห้อง นางจะไปมีกะจิตกะใจสนใจคนตรงหน้าที่ไหนกัน หลังส่งของก็หันหลังหมุนตัวเดินจากไปทันที
ทำเอาเสี่ยวฉีจื่อวางตัวไม่ถูก อาซ้อฟางจึงรีบอธิบายให้ฟังว่าสามีของมั่วเชียนเสวี่ยนั้นป่วยอยู่และตอบรับแทนมั่วเชียนเสวี่ยว่าพรุ่งนี้จะทำเพิ่ม
เสี่ยวฉีจื่ออ่านสีหน้าคนออก บวกกับไม่กล้าทำให้มั่วเชียนเสวี่ยไม่พอใจจึงปล่อยเลยตามเลย
พูดหยอกล้อกับอาซ้อฟางอีกเล็กน้อย ชายหนุ่มที่ถือดาบก็มองมาด้วยสายตาเย็นชา เสี่ยวฉีจื่อตกใจจึงรีบเดินขึ้นรถไป
ถั่วหนึ่งจินราคาหนึ่งอีแปะ เต้าหู้หนึ่งจินราคาห้าอีแปะ ถั่วหนึ่งจินทำเต้าหู้ได้สามจิน
ถึงแม้กำไรจะมาก แต่เต้าหู้หนึ่งร้อยจินขายได้ราคาห้าร้อยอีแปะ หนึ่งพันอีแปะเท่ากับเงินหนึ่งตำลึง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้เหนื่อยทั้งเดือนยังได้เงินไม่กี่ตำลึงเอง ยาทั้งเจ็ดชุดของหนิงเฉ่าชิงตั้งสามร้อยห้าสิบตำลึง ครั้งแรกที่ขายสูตรอาหารได้มาสองร้อยตำลึง ครั้งที่สองก็ได้มาสองร้องตำลึง บวกกับที่ใช้จ่ายไปสิบกว่าตำลึง…
คิดไปคิดมาเหลือเงินเพียงหยิบมืออยู่ในเหอเปา มั่วเชียนเสวี่ยฝืนยิ้ม ดูท่าทางแล้ว นางต้องหาวิธีอื่นที่ทำเงินได้เร็วกว่านี้
ช่วงบ่าย มั่วเชียนเสวี่ยนั่งกลัดกลุ้มอยู่ในห้องว่าจะหาเงินได้อย่างไร จู่ๆ ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เมื่อเปิดประตู กลับพบว่าเป็นหลี่่ไคสือ มั่วเชียนเสวี่ยรีบปิดประตูแต่มือของหลี่่ไคสือนั้นเร็วกว่า เขาใช้มือใหญ่ดันไว้ข้างหนึ่งแทรกตัวเข้ามาครึ่งตัวทางประตู อีกมือหนึ่งก็จับไปที่มือของมั่วเชียนเสวี่ยที่ขวางประตูไว้
มั่วเชียนเสวี่ยรีบร้อนดึงมือกลับแล้วถอยไปหลังหนึ่งก้าว หลี่่ไคสือใช้โอกาสนี้เดินเข้าไปในบ้าน
เมื่อหลี่่ไคสือเข้ามาในเรือนได้ก็หัวเราะอย่างลำพองใจ แผลที่อยู่บนหน้าของเขายังไม่หายดี รอยแผลยาวที่ตกสะเก็ดนั้นสั่นตามการหัวเราะ คล้ายกับว่าไม่อาจทนรับการหัวเราะนี้ได้
หลี่่ไคสือพลิกฝ่ามือไปปิดประตู ขาของเขาก็ยังไม่หายดี แต่การเคลื่อนไหวกลับไม่ช้า เดินกระโผลกกระเผลกผ่านเข้าบ้านไปนั่งพักอยู่บนเก้าอี้ที่ห้องโถง พลางทำท่าเย่อหยิ่งและพฤติกรรมแสนน่ารังเกียจ “หนิงเหนียงจื่อ ข้าได้ยินมาว่าไอ้ขี้โรคนั้นจะไม่รอดแล้ว?”
“เจ้านั่นแหละที่จะไม่รอด! ทั้งครอบครัวเจ้าก็จะไม่รอด…” มั่วเชียนเสวี่ยเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็กัดฟันกรอดด้วยความโมโห
หลี่่ไคสือไม่สนใจมั่วเชียนเสวี่ยกำลังโมโหแม้แต่น้อยพร้อมกับเริ่มพูดจาหยาบคายอีกครั้ง “พ่อข้าพูดไว้แล้ว รอไอ้ขี้โรคนั้นตายก็จะขายเจ้าไปเป็นทาส แต่ถ้าเจ้าขอร้องข้า ไม่แน่ข้าอาจใจอ่อน รับเจ้าเข้ามาเป็นอนุ หากไม่ สตรีสวยๆ เช่นเจ้าถ้าโดนขายไปคงน่าเวทนาไม่น้อย ไม่แน่อาจะโดนขายไปที่… ”
มั่วเชียนเสวี่ยคิดไว้แล้วว่าคนชั่วๆ อย่างเขาคงพูดอะไรดีๆ ไม่ได้ หลังจากนี้คงพูดจาไม่น่าฟังอยู่เนิ่นนาน นางจึงพูดตะคอกออกไป “เจ้านั่นแหละที่จะโดนขาย ทั้งครอบครัวของเจ้าด้วย…”
หลี่่ไคสือที่เห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยถลึงตาใส่เขา ก็รู้สึกว่าดวงตากลมโตของนางนั้นยิ่งน่ารักขึ้นไปอีก
“พูดตามจริง รูปร่างหน้าตาอย่างเจ้าให้เป็นอนุภรรยามันก็น่าเสียดาย แต่แม่ของข้าเคยพูดไว้ คนที่เคยแต่งงานเช่นเจ้าจะแต่งมาเป็นภรรยาเอกไม่ได้ แต่ว่าเจ้าวางใจได้ ถ้าหากตบแต่งเข้ามาข้าจะทำดีกับเจ้าอย่างแน่นอน”
[1] ยามซื่อ ช่วงเวลา 09.00-11.00 น.
[2] จิน 1 จิน เท่ากับ ครึ่งจินกรัม หรือ 500 กรัม
[3]ยามเหม่า ช่วงเวลา 05.00-09.00 น.