เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 234 กลางคืนจะหายดี การต่อสู้จะหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น (3)

ตอนไปยังดีๆ อยู่เลย เหตุไฉนกลับมาหน้าผากถึงแตกเสียได้ หัวเข่าก็ยังบวมอีก

มั่วเหนียงต่อว่าฮ่องเต้นับร้อยนับพันครั้งในใจ ยังดีที่แม้ว่าสองสามปีมานี้จะไม่ได้พักอาศัยอยู่ในจวน แต่ภายใต้การดูแลของพ่อบ้านก็ไม่มีสิ่งใดขาดไป หมัวมัวจึงใช้ยาสมุนไพรผสมลงไปในน้ำร้อน และทาให้มั่วเชียนเสวี่ย ชูอีและสืออู่ก็คอยนวดอยู่ข้างๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตสลายเลือดคั่ง

เพิ่งจะรักษาเสร็จ ก็รับประทานอาหารเที่ยงกัน มั่วเชียนเสวี่ยกำลังจะหลับตาพักผ่อนลงสักครู่เพื่อที่จะใช้ความคิดและจะได้ทำจิตให้สงบไปพร้อมๆ กัน แต่พ่อบ้านกลับให้คนมารายงาน บอกว่าหัวหน้าตระกูลมั่ว กับเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลมาถึงแล้ว ตอนนี้กำลังจิบชาอยู่หน้าห้องโถง

“มากันแล้วหรือ” มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

นางคิดไม่ถึงว่าหัวหน้าตระกูลมั่วจะมีความอดทนต่ำถึงเพียงนี้ นางเพิ่งจะขอรับโทษจากฝ่าบาท เขาก็มาถึงจวนแล้ว ไม่ให้เวลานางได้พักผ่อนเลย

มั่วเหนียงรู้สึกโกรธเสียจนอยากเข้าไปกัดและขับไล่พวกโฉดเขลาอย่างพวกเขาออกจากจวนกั๋วกงไปทันที แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ มิอาจให้เกิดข้อผิดพลาดได้ จึงทำได้แต่กล่าวแนะนำ “บอกไปว่าคุณหนูรู้สึกเหนื่อย ให้พวกเขากลับไปก่อน ดีหรือไม่เจ้าคะ”

ให้พวกเขากลับไป? คนกลุ่มนี้แต่ละคนล้วนเป็นหมาป่าที่มาแบ่งเนื้อชิ้นใหญ่นี้ของจวนกั๋วกง เนื้อที่ใหญ่ที่สุดคือยศถาบรรดาศักดิ์ ยังไม่ทันได้เข้าปาก ฟันก็หลุดออกมา และเบี้ยหวัด ก็สูญไปแล้ว

จะให้พวกเขากลับไปง่ายๆ ได้อย่างไร

นางต้องดูคนโฉดเขลาที่น่ามิอายเหล่านี้เสียหน่อย

มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นแล้วคว้าชุดขาวที่เปื้อนเลือดชุดนั้นขึ้นมา “เปลี่ยนชุด!”

“คุณหนูเปลี่ยนชุดเสียหน่อยดีไหมเจ้าคะ” เดิมทีมั่วเหนียงจะรอให้มั่วเชียนเสวี่ยหลับลงก่อน แล้วค่อยนำชุดขาวนี้ออกไปซักให้นางเอง

“ไม่ต้อง!” คราบเลือดบนชุดนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้พอดี ชุดที่ดีกว่านี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็วางไว้ตรงนั้น

เพียงเห็นว่าหน้าผากของนางพันผ้าพันแผลเอาไว้ และชุดสีขาวที่เปื้อนหยาดโลหิต แต่ก็เพราะเป็นนี้นี่เองที่จะทำให้นางดูเด็ดเดี่ยวและงามสง่า เผยให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม

พอมั่วเชียนเสวี่ยเจอใครที่แข็งแกร่งนางก็จะยิ่งแข็งแกร่ง และกล้าหาญมากยิ่งขึ้น

ในห้องนอกจากมีหมัวมัว ชูอีและสืออู่คอยรับใช้อยู่ยังมีสาวใช้อีกสองคนที่คอยจัดการธุระให้และมีผอจื่อสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ท่าทางอันสุขุมของมั่วเชียนเสวี่ย ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องสั่นสะท้านในทันที

มั่วเหนียงที่อยู่ในห้อง รู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ คุณหนูโตเป็นสาวแล้วจริงๆ มีคุณหนูที่เป็นเช่นนี้ จวนกั๋วกงมิมีทางตกต่ำอย่างแน่นอน

ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของหมัวมัว ชูอี สืออู่และเหล่าผอจื่อ มั่วเชียนเสวี่ยก็มาถึงห้องโถงใหญ่ที่อยู่ตรงลานด้านหน้า

พอมาถึงหน้าประตูห้องโถง ก็เห็นชายชราอายุราวๆห้าสิบปีนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ นอกจากนี้ยังมีชายชราอีกสี่คนนั่งอยู่ข้างๆ ทั้งสองฝั่ง น่าจะเป็นผู้อาวุโสของตระกูลที่เล่าขานกันมาอะไรเทือกนั้นกระมัง

มั่วจื่อถัง มั่วจื่อฮว่า มั่วจื่อเยี่ย ล้วนยืนอยู่ในห้องอย่างให้เกียรติ

พ่อบ้านตระกูลมั่วยืนยิ้มตอนรับอยู่ด้านข้าง พอเห็นมั่วเชียนเสวี่ยมาถึงหน้าประตูแล้ว ก็ส่งสายตาให้นางระวัง

นอกจากพ่อบ้านตระกูลมั่วที่คอยดูแลรับใช้อยู่ข้างๆแล้ว ที่ด้านข้างของพวกชายชรายังมีเหล่าสาวใช้คอยยืนรับใช้อยู่ด้วย ในห้องโถงใหญ่มีคนยืนอยู่เต็มไปหมด ราวกับเป็นห้องสืบสวนอย่างไรอย่างนั้น

ใช้อำนาจบาตรใหญ่มาข่มนางสินะ!

มั่วเชียนเสวี่ยได้แต่ส่งเสียงหึอยู่ในใจ นางย่อมจะรู้อยู่แล้วว่านี่คือสิ่งที่หัวหน้าตระกูลมั่วจงใจจัดเตรียมเอาไว้ ดังนั้นที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการข่มขวัญ ทำให้คนที่เข้ามารู้สึกกดดันขึ้นในจิตใจ

แต่ว่า เขาพลาดแล้ว

ขนาดตำหนักจินหลวนเป่านางยังไปมาแล้ว เผชิญหน้ากับฮ่องเต้และเหล่าขุนนางได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ที่นี่คือห้องโถงใหญ่ของจวนกั๋วกงเป็นอาณาเขตของนาง แล้วนางจะรู้สึกกดดันได้เยี่ยงไร

มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มเยาะ พลางก้าวเท้าเข้าไปด้านใน

ทันทีที่มั่วเชียนเสวี่ยผ่านประตูเข้ามา เสียงของมั่วจื่อเยี่ยก็ดังขึ้นมา “น้องเสวี่ยมาแล้ว รีบเข้ามาคารวะหัวหน้าตระกูลกับเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเร็วเข้า”

น้องเสวี่ยอะไรกัน ใครคือน้องเสวี่ยของเขา มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

เพราะเสียงของเขา ทำให้ทุกคนต่างมองมายังนาง สายตาที่เฉียบคมเช่นนั้น ทำให้คนที่ตามหลังมาอย่างมั่วเหนียงซึ่งผ่านเรื่องราวมามากมายนับไม่ถ้วนแต่เมื่อเห็นฉากนี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ

อย่างไรก็ตาม มั่วเชียนเสวี่ยกลับก้าวไปข้างหน้าอย่างหนักแน่น สุขุมเยือกเย็น ไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนเหล่านี้รู้อยู่แล้วว่านางมาแล้ว ที่แสดงท่าทางเช่นนี้ คิดว่านางจะไม่รู้หรือ หากนางตื่นตระหนก หรือโมโห ก็จะเป็นไปตามแผนการของพวกเขา

“เชียนเสวี่ยคารวะหัวหน้าตระกูล ผู้อาวุโสทุกๆ ท่าน และท่านพี่ทุกคน”นางยิ้มเล็กน้อย และคำนับทุกคนอย่างอ่อนช้อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น กวาดสายตามองดูพวกเขาทุกคนอีกครั้ง

แม้ว่าศีรษะของมั่วเชียนเสวี่ยจะถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล บนชุดสีขาวก็เปื้อนหยาดโลหิต แต่กลับมิได้ทำให้ความสง่างามของของนางลดลงไปเลย ตรงกันข้ามมันกลับแผ่รัศมีอันน่ายำเกรงออกมา บรรยากาศที่พวกเขาได้จัดเตรียมเอาไว้ในห้องโถงใหญ่นี้นานแล้ว ก็มิอาจเทียบได้กับรัศมีของนางแม้แต่น้อย

เดิมทีหัวหน้าตระกูลมั่วจะจัดการนางโดยไม่ทันให้ตั้งตัว มั่วเชียนเสวี่ยจะต้องลุกลี้ลุกลนเป็นแน่ และมีสีหน้ามิสู้ดี จากนั้นพอถูกเขาตำหนิ ก็จะเชื่อฟังคำสั่งของเขาแต่โดยดี รับปากให้เขามอบตราประทับให้ฝ่าบาทเอง และยอมสละบรรดาศักดิ์ด้วยความสมัครใจ

ชนะก่อน แล้วค่อยเอาของที่สูญเสียไปกลับคืนมา

นึกไม่ถึงว่าผู้ที่เข้ามา จะดูสุภาพและอ่อนโยนเช่นนี้ ทำให้เขาหาข้อผิดพลาดมิได้เลย

ยากจะรับมือด้วยจริงๆ!

หัวหน้าตระกูลมั่วรู้สึกขุ่นเคืองใจ แต่กลับผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นบนใบหน้า “เชียนเสวี่ยกลับมาเมืองหลวงแล้ว เหตุใดถึงไม่ไปเยี่ยมเยียนลุงที่จวนสักหน่อยเล่า อีกทั้งยังไม่ส่งผู้ใดไปคารวะลุงเลย”

มั่วเชียนเสวี่ยแอบสาปแช่งอยู่ในใจ แต่คำพูดที่ออกจากปากกลับนอบน้อมมาก “เชียนเสวี่ยเพิ่งจะมาถึงเมื่อวาน ก็ถูกฮองเฮาเรียกตัวเข้าวังเจ้าค่ะ ระหว่างทางที่กลับก็ถูกโจมตี คาดว่าหัวหน้าตระกูลก็น่าจะรู้เรื่องแล้ว พอเชียนเสวี่ยสังหารพวกกบฏและหลบหนีออกมาได้ ฟ้าก็มืดแล้ว หากไปเยี่ยมเยียนท่านอีก หนึ่งคือเกรงว่าจะไปรบกวนเวลาพักผ่อนของหัวหน้าตระกูล สองคือกลัวว่าหัวหน้าตระกูลจะต้องมาพัวพันกับปัญหาที่เชียนเสวี่ยก่อ ดังนั้นจึงไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนท่านเจ้าค่ะ”

นางไม่เรียกเขาว่าท่านลุงแน่ๆ

หัวหน้าตระกูลกับท่านลุงเป็นคำเรียกที่แตกต่างกันมาก ให้ความรู้สึกแตกต่างราวฟ้ากับดิน

หัวหน้าตระกูลเพียงสามารถดูแลจัดการเรื่องในตระกูลได้ แต่ลุงมีสิทธิ์ที่จะดูแลเรื่องในจวนของนาง

เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจคำพูดของเขา ดวงตาของหัวหน้าตระกูลมั่วก็ฉายแววความชั่วร้ายออกมา

นางยังกลัวว่าจะรบกวน กลัวว่าจะดึงเขาเข้ามาพัวพัน? นางก็ไม่ควรกลับเมืองหลวงมา ไม่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้!

ในใจโหดร้าย ทว่าปากกลับเอ่ยคำหวาน “คนตระกูลเดียวกันหาใช่คนอื่นไกลไม่ เห็นลุงเป็นคนเช่นนั้นหรือ หากเชียนเสวี่ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ให้ลุงฟัง ลุงก็อาจจะหาใครสักคนไปจัดการเรื่องของเจ้าให้ได้บ้าง…ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง…”

จัดการ? หาคนมาช่วยให้นางถูกตัดหัวมากกว่าเสียกระมัง

มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวตอบอย่างนอบน้อม “ทำให้หัวหน้าตระกูลเป็นห่วงเสียแล้ว เพียงแค่เรื่องของเชียนเสวี่ยก็คือเรื่องของจวนกั๋วกง ถ้าดึงตระกูลมั่วเข้ามาเกี่ยวข้องจนทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัย คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”

แม้ในใจจะเกลียดชัง แต่ก็ต้องทำดีไว้ก่อน หัวหน้าตระกูลมั่วเปลี่ยนเรื่องคุย พลางกล่าวอย่างเป็นห่วง “แผลที่ศีรษะของเจ้าไม่สาหัสใช่หรือไม่ บุตรีบ้านไหนบ้างต้องวิ่งวุ่นจัดการธุระเช่นนี้ บุตรีตระกูลมั่วควรได้รับการเอาอกเอาใจ มีลุงคอยดูแลจัดการให้เจ้าทุกเรื่องอยู่แล้ว ต่อไปเรื่องของจวนกั๋วกงก็มอบให้พี่ชายทั้งสามของเจ้าไปทำเถิด”

นี่คือการพูดเปิดประเด็นให้นางมอบอำนาจให้

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหนียงจื่อของคุณชายขี้โรคเพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที! ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่ ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?! เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset