มั่วเชียนเสวี่ยจงใจออดอ้อน น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย ทำให้หนิงเซ่าชิงรู้สึกอยากทะนุถนอมด้วยใจรักอย่างไม่รู้ตัว
หนิงเซ่าชิงใช้ศอกยันตัวขึ้นมา และมือทั้งสองก็กุมใบหน้าของนางเอาไว้ ริมฝีปากประทับลงไปที่ผ้าพันแผลอีกครั้ง “เหตุใดถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ ไม่รู้จักหลีกเลี่ยงปัญหาหรืออย่างไร ครั้งหน้าอย่าทำเช่นนี้อีกนะ ” แม้ว่าเขาจะตำหนิและออกคำสั่ง แต่เหนืออื่นใดคือห่วงใยนาง
“อืม” มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยรับคำอย่างแผ่วเบา มีคนเป็นห่วงเป็นใย ในใจย่อมรู้สึกมีความสุข อันที่จริงบาดแผลในขณะนั้นดูเหมือนจะสาหัสมาก อีกทั้งเลือดยังไหลออกมาไม่น้อย แต่พอกลับมาที่จวนแล้ว หมัวมัวก็ทำความสะอาดบาดแผลให้นางทันที อีกทั้งยังทาขี้ผึ้งหนิงปี้ให้นางอีก นางจึงไม่ได้รู้สึกเจ็บนานแล้ว
เมื่อครู่นี้ที่บอกว่าเจ็บ ก็เพียงเพื่อจะออดอ้อนเขา จงใจทำให้เขาร้อนรนใจ
ใครใช้ให้เขาไม่พูดอะไรเลย หลบซ่อนและหลอกนาง ทำให้นางตามหาเขาด้วยความเศร้าทั้งคืน แม้จะรู้ว่าเขาจะต้องมีเหตุผลแน่ๆ แต่อารมณ์ที่มีในใจในขณะนั้นก็ยากที่จะขจัดไป…
แม้นอยู่ในช่วงเวลาที่เศร้าที่สุด แต่นางก็แอบคิดว่า เพียงแค่เขาปลอดภัยดี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม นางล้วนให้อภัยเขาทั้งสิ้น
ทว่า คิดก็ส่วนคิด ทำได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หน้าผากของมั่วเชียนเสวี่ยสัมผัสไอร้อนอันเบาบางจากหนิงเซ่าชิง จู่ ๆ นางก็เกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้า รู้สึกเกลียดขึ้นมาอีกแล้ว
กัดฟัน ยกเท้าขึ้นมากำลังจะถีบหนิงเซ่าชิง
ทว่า ครั้งนี้กลับไม่ได้เป็นไปตามแผน
พอนางยกเท้าขึ้น หนิงเซ่าชิงก็ยกมือขวาออกจากใบหน้าของนาง มาคว้าเท้าเล็กๆ ของนางด้วยใบหน้าที่้เปื้อนรอยยิ้ม จ้องมองนางอย่างขำขัน ยังคงเป็นลูกแมวป่าจริงๆ ไม่เจอกันตั้งนาน เพิ่งจะหวานกันก็จะถีบเขาลงจากเตียงเสียแล้ว
เท้าของมั่วเชียนเสวี่ยติดกำดักเข้าให้แล้ว พยายามดิ้นขาเล็กน้อย การพันธนาการของหนิงเซ่าชิง มีหรือที่นางจะดิ้นหลุดได้
ใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยแดงเล็กน้อย จึงกล่าวเสียงออดอ้อน “เซ่าชิง…ท่านจับขาข้าจนข้ารู้สึกเจ็บ…”
แย่จริงๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาต้องการนาง ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้บนศีรษะของนางยังมีบาดแผล ฮ่องเต้บ้านั่น ก็รู้ดีอยู่ว่ามั่วเชียนเสวี่ยเป็นผู้หญิงของเขา ยังลงมือหนักถึงเพียงนี้ ในอนาคตเขาต้องเอาคืนอย่างแน่นอน
จำต้องปล่อยขาของนางไป หนิงเซ่าชิงหรี่ตาลง ดวงตาฉายแววความมืดหม่น ริมผีปากที่ได้รูปยกขึ้นเล็กน้อย แฝงด้วยความรู้สึกขบขัน ไม่ปิดบังความต้องการภายในใจแม้แต่น้อย “ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป ครั้งหน้าหากเจ้ากล้าเตะข้าออกจากเตียงอีก ข้าจะต้อง…กินเจ้าแน่นอน…”
พูดจบ ก็พลิกตัวลุกขึ้นนั่ง เขาไม่กล้ากดทับไปบนร่างกายนางอีก กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับนาง ความสามารถในการควบคุมตัวเองของเขาก็ต่ำลงเรื่อยๆ
หลังจากที่หนิงเซ่าชิงลุกขึ้นนั่งแล้ว ก็ยื่นมือไปลูบขาของนางตรงบริเวณที่เขาจับเอาไว้เมื่อครู่นี้ “ยังเจ็บอยู่ไหม”
แม้ว่ามือจะกำลังลูบที่ขาเล็กๆ แต่สิ่งที่ทั้งสมองกำลังคิดอยู่ก็คือ ท่านี้ไม่เลว วันหน้าจะต้องลองสักหน่อย
เพียงแต่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาต้องการนางจริงๆ ดูท่าเขาต้องรีบหน่อยแล้ว
มือก็ลูบเท้าน้อยๆ แต่ดวงตากลับจ้องมองไปที่ใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยอีกครั้ง มองดูผ้าพันแผลนั่นในใจก็เหมือนถูกทิ่มแทงด้วยเสี้ยนหนาม “หากเขาจะทำร้ายเจ้าอีก เจ้าจะต่อต้านก็ได้ เรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา ข้าต้องช่วยค้ำจุนเจ้าอยู่เบื้องหลังอยู่แล้ว”
‘เรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา ข้าจะคอยค้ำจุนเจ้า!’ เพียงประโยคเดียวนี้ ความโกรธเคืองที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจของมั่วเชียนเสวี่ยเมื่อครู่นี้ก็ได้สลายหายไปจนสิ้น และได้กล่าวอธิบาย “ในตอนนั้นฝ่าบาททรงกริ้วมาก หากไม่ถูกเขาทำโทษก็เกรงว่าพระองค์จะกริ้วจนถึงขีดสุด สถานการณ์ทั้งหมดก็จะยากที่จะควบคุม”
หนิงเซ่าชิงหรี่ตาลง เผยให้เห็นถึงสัญญาณอันตราย “เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือ”
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจ แต่ว่า…ช่างเถอะ ในตอนนั้นนางไม่ได้นึกถึงเขาเลย สิ่งที่นางคิดก็คือจะอาศัยความแข็งแกร่งของตนเองแก้ไขวิกฤติที่อยู่เบื้องหน้าได้อย่างไร ไม่ใช่ฝากชีวิตไว้ในมือคนอื่น
ไม่เกี่ยวกับว่าเชื่อใจหรือไม่เชื่อใจว่าเขาจะสามารถช่วยชีวิตนางในท้องพระโรงได้หรือไม่
เขาอาจจะเป็นต้นไม้สูง แต่นางกลับไม่ใช่เถาวัลย์ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ ให้เวลานางหน่อยนางก็จะเติบโตเป็นต้นไม้สูงเช่นกัน เป็นต้นไม้สูงอยู่เคียงข้างคอยกันลมกันฝนให้เขาได้เช่นกัน
เขาทิ้งนางไปเอง ยังมีหน้ามาขู่นางอีกหรือ มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จึงกลั้นใจตอบออกไป “ตอนนั้น ข้าคิดว่าท่านตายแล้ว…”
หนิงเซ่าชิงแลดูตกตะลึง จุกจนพูดไม่ออก ลำธารเล็กๆ ในภูเขาจะพัดพาเขาไปได้อย่างไร
“…ข้าขอโทษ!” นึกถึงคืนนั้นที่นางตามหาเขา หนิงเซ่าชิงจึงกล่าวคำขอโทษออกมาจากใจจริง สิ่งที่ใจคิดอยู่ก็คือ ต่อให้เขาต้องตายไป ก็จะต้องเตรียมการให้นางใช้ครึ่งชีวิตที่เหลือได้อย่างไร้กังวล…
หลังจากถอนหายใจอย่างอดไม่ได้แล้ว ก็ได้กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “ความจริงก่อนหน้านี้ข้าได้บอกเจ้าเป็นนัยๆ ไปแล้ว ต่อมาเจ้าออกมาจากลำธารในภูเขา ข้าก็ได้เตรียมรถม้าและสัมภาระไว้ให้เจ้า หรือว่าเจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือ”
นางเป็นคนเฉลียวฉลาดอยู่แล้ว อีกทั้งยังหัวไว เขาคิดว่าการตอบสนองแรกที่นางจะมีเมื่อเขาหายไปนั่นก็คือความโศกเศร้า การตอบสนองที่สองก็คือนางน่าจะนึกถึงสิ่งที่เขาบอกนางเป็นนัยๆ ได้ ใครจะไปรู้ว่านางจะตามหาเขาทั้งคืน…
มั่วเชียนเสวี่ยคิดถึงฉากในวันนั้น ใจก็เต้นแรงอย่างไร้เหตุผล “จิตใจว้าวุ่นด้วยความเป็นห่วง ถ้าไม่เห็นกับตาว่าท่านปลอดภัยดี ใจก็ปล่อยวางไม่ได้จริงๆ…”
หนิงเซ่าชิงเห็นว่านางมีท่าทางที่แลดูเจ็บปวดอีกครั้ง ดังนั้นจึงปล่อยเท้าของนาง เขาขยับตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย และกล่าวอย่างจริงจัง “สามีของเจ้าไม่ตายง่ายดายเช่นนั้นหรอก”
“…” มั่วเชี่ยนเสวี่ยกรอกตาใส่เขาอย่างเคืองๆ
“ลำธารในหุบเขาจะพัดพาข้าไปได้หรือ” หนิงเซ่าชิงลูบแก้มของนาง ราวกับต้องการจะปัดเป่าความเจ็บปวดนี้ออกไป
ถูกนางดูแคลนเช่นนี้ เดิมทีเขาอยากจะจั๊กจี้นาง เป็นการลงโทษในขณะเดียวกันก็จะทำให้นางได้ผ่อนคลาย หัวเราะได้อย่างไร้กังวล แต่นี่มันก็ดึกมากแล้ว “ครั้งหน้าข้าค่อยลงโทษเจ้า”
มั่วเชียนเสวี่ยได้รับคำพูดข่มขู่ แม้ว่านางจะไม่ได้กลัวเขา แต่จิตใต้สำนึกก็อยากขยับเอวที่เขาจะจั๊กจี้ออกห่างเขาสักหน่อย มือทั้งสองพยายามเหยียดร่างให้ลุกขึ้นนั่ง
หนิงเซ่าชิงยื่นมือไปโอบมั่วเชียนเสวี่ยให้มาซบที่อกของเขา กักนางไว้ในอ้อมอก พลางกระซิบที่ข้างหูนาง “ต่อไปเจ้าต้องระวังคำพูดและการกระทำสักหน่อย แม้ว่าฝ่าบาทจะปล่อยเจ้าไป แต่กลับส่งคนมาคอยจับตาดูเจ้าอยู่”
“อ่า…” ลมหายใจที่ร้อนผ่าวของเขาปะทะเข้าที่ติ่งหูของนางทำให้รู้สึกซาบซ่าน จึงพลั้งเผลอพูดออกมาเช่นนี้ หลังของมั่วเชียนเสวี่ยแข็งทื่อ รู้สึกกังวลเล็กน้อย “ท่านรู้ได้อย่างไร ตอนที่ท่านเข้ามาในห้องไม่มีใครพบเห็นใช่หรือไม่”
มองออกได้ไม่ยาก ตอนนี้ฮ่องเต้กำลังจับตาดูตระกูลหนิงที่เป็นหนามยอกอกอยู่ มีเงินมากเกินไป บางครั้งมันก็คือความผิดพลาด ทำให้คนโลภมากขึ้น!
เหตุใดนางจึงสงสัยในความสามารถของเขาอยู่เสมอ หนิงเซ่าชิงกัดติ่งหูของนาง นางเอียงศีรษะ หนิงเซ่าชิงก็หัวเราะขึ้นมา “วางใจเถิด องครักษ์ลับล่อพวกเขาไปที่อื่นแล้ว อิ่งซาก็คอยคุ้มกันอยู่ด้านนอก หากเกิดเรื่องอะไรก็จะเข้ามารายงานให้ทราบ”
อิ่งซา ชายหนุ่มที่มีรอยแผลเป็นอันหน้ากลัวบนใบหน้าน่ะหรือ นกกาเหว่าตัวเล็กๆ นั่น?
นกกาเหว่านี้ทำเรื่องดีๆ ให้พวกเขาตั้งเท่าไร และเรียกตัวองครักษ์ลับมาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ หากนางยังไม่รู้อีกก็คงจะโง่เต็มที
เพียงแต่ เขาแน่ใจหรือว่าจะให้บุรุษคนหนึ่งมาฟังเสียงที่ดังของทั้งคู่ทุกวัน มันจะดี…หรือ
“สืออู่ล่ะ” วันนี้เป็นเวรเฝ้ายามของสืออู่
“ข้าให้สืออู่ไปพักผ่อนเสียหน่อย พอถึงตอนข้าไป นางก็ย่อมจะตื่นขึ้นมา”
“ท่าน…” มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกโกรธเล็กน้อย ความหมายของเขาก็คือ เขาทำให้สืออู่สลบไปโดยไม่ทันรู้ตัว อย่างไรก็ตาม เวลานี้ไม่ใช่เวลามาคิดบัญชีเรื่องนี้ การมาของเขายิ่งคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี
คิดได้ดังนั้น มั่วเชียนเสวี่ยจึงระงับความโกรธเอาไว้ พลางเอ่ยถาม “อาการป่วยของพ่อท่านดีขึ้นหรือยัง”