ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยมั่วเชียนเสวี่ยผ่านการฝึกทหารมาก่อน ครูฝึกเข้มงวดมาก เขาให้ทุกคนพับผ้าห่มเป็นทรงเต้าหู้ ในตอนหลัง เมื่อการฝึกทหารจบลง ทางมหาวิทยาลัยตรวจสอบความสะอาดอยู่บ่อยครั้ง มักจะสุ่มตรวจความสะอาดในห้องพัก ทั้งยังให้พับผ้าห่มเป็นทรงเต้าหู้เช่นเดียวกับตอนฝึกทหาร เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า นางจึงติดนิสัยพับผ้าห่มเป็นทรงเต้าหู้
สำหรับเรื่องนี้ หนิงเซ่าชิงยังหัวเราะนางหลายครั้ง ใช้มือกดลงบนผ้าห่มแล้ววางตั้งตระหง่านราวกับก้อนหิน ตอนนั้นนางเพียงกลอกตามองบนใส่เขาเท่านั้น พูดฮึดฮัด ‘ท่านจะเข้าใจอะไร นี่คือศิลปะ’ หนิงเซ่าชิงหัวเราะร่าทันที…
ในตอนหลังหมิงเย่ว์และไฉ่สยาเข้ามาทำงาน นางยังสอนวิธีพับผ้าห่มเป็นทรงเต้าหู้ให้พวกนางทั้งสองคนโดยเฉพาะ หลังจากนั้นชูอีและสืออู่ก็มา ด้วยความเฉลียวฉลาดของชูอี เชียนเสวี่ยไม่ต้องพูด ชูอีก็ให้หมิงเย่ว์สอนวิธีพับผ้าห่มทรงเต้าหู้ ทุกวันหลังจากนางตื่นนอน ผ้าห่มบนเตียงของนางจะถูกพับเป็นทรงเต้าหู้
เมื่อมาถึงจวนกั๋วกง แน่นอนว่าความเคยชินนี้ก็มาถึงเรือนเสวี่ยหว่านเช่นเดียวกัน
ภาพที่เห็น เตียงของนางยังคงเป็นเหมือนเมื่อคราวก่อน แม้จะพับเรียบร้อยเช่นเดิม ทว่าไม่เป็นสี่เหลี่ยมมากพอ เห็นชัดว่าพับผ้าห่มด้วยความเร่งรีบทั้งยังไม่รู้เคล็ดวิธีในการพับ ดังนั้นไม่ใช่ผ้าห่มที่ชูอีพับแน่นอน
พอกวาดมองส่วนอื่นๆ แม้จะเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม ทว่ามีร่องรอยการถูกเคลื่อนย้ายเล็กน้อย…
ออกไปลานฝึกยุทธ์ครั้งนี้ นางยังอุตส่าห์ให้มั่วเหนียงส่งสาวใช้สองคนมาเฝ้านอกเรือน ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ภายในเรือนจะมีคนนอกเข้ามา แต่คือหนึ่งในสาวใช้ทั้งสองเป็นคนขโมยเอง หรือไม่ก็…ช่วยกันขโมยทั้งสองคน
หลังจากยืนกวาดมองทุกอย่างในเรือน สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที หันไปที่ประตู มองสาวใช้ทั้งสองคน ถามเสียงเยือกเย็น “หลังจากข้าออกไป มีใครเข้ามาในห้องของข้า”
สาวใช้ทั้งสองตอบพร้อมกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เรียนคุณหนู ไม่มีเจ้าค่ะ”
แววตามั่วเชียนเสวี่ยลุ่มลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง สีหน้าเคร่งขรึมพูดเสียงลากยาว “เช่นนั้นหรือ”
สองใช้ทั้งสองคนเห็นเช่นนี้ คุกเข่าลงกับพื้นทันที เห็นชัดว่าสาวใช้ที่ชื่อลี่ว์เอ๋อร์ตกใจอย่างมาก “คุณหนูโปรดอภัย ไม่มีผู้ใดเข้าไปในห้องของคุณหนูจริงๆ เจ้าค่ะ แม้บ่าวจะกล้าหาญเพียงใด ก็ไม่กล้าปล่อยให้คนนอกเข้ามา…”
“ใครก็ได้มาที จับสาวใช้สองคนนี้มัดเอาไว้” หากไม่ใช้ไม้แข็ง สาวใช้สองคนนี้ไม่มีวันพูดความจริงแน่นอน นางจะกำจัดคนทรยศในจวน ก่อนอื่นต้องเริ่มจากคนใกล้ตัว สาวใช้สองคนนี้ วันนี้นางจะจัดการอย่างแน่นอน
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยลงโทษพวกสาวใช้โดยไม่มีการถามไถ่แต่อย่างใด สาวใช้ที่ชื่อหลิ่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นแล้วพูด “ขอเรียนถามคุณหนู พวกบ่าวมีความผิดใดหรือเจ้าคะ”
“มีความผิดใดเช่นนั้นหรือ” ในเมื่อมั่วเชียนเสวี่ยจะลงโทษพวกนาง ย่อมคิดแผนรับมือไว้แล้ว นางไม่พูดเหตุผลออกไปตามตรงอย่างแน่นอน ไม่มีวันจะพูดว่าผ้าห่มพับไม่เรียบร้อยเหมือนตอนก่อนที่นางจะออกไป แล้วเค้นถามพวกนางว่าทำตามคำสั่งผู้ใด เพราะเมื่อนางทำเช่นนั้นจะกลายเป็นปรปักษ์กับฝ่าบาททันที
สิ่งที่นางต้องการคือ กำจัดคนทรยศที่อยู่รอบตัวนางออกไปให้หมด ไม่ได้ต้องการที่จะเปิดศึกกับฮ่องเต้อย่างเปิดเผย
มั่วเชียนเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หมุนตัวหันหลังนั่งบนตั่งไม้ “พวกเจ้าทั้งสองคนเป็นคนเฝ้าเรือนแต่กลับลักขโมยของเสียเอง ปิ่นหยกที่ข้าวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งหายไป ทั้งยังไม่เคยมีผู้ใดมาที่เรือน หากไม่ใช่พวกเจ้าสองคนขโมยแล้วจะเป็นฝีมือของผู้ใด” เสียงของนางไม่ดังทั้งยังมีความโกรธเคืองเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงของนางกลับเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามที่ไม่อาจมองข้าม
คิดว่านางเป็นดินโคลนที่คิดอยากจะบีบเล่นอย่างไรก็ได้เช่นนั้นหรือ มาค้นของในห้องของนางทุกวัน หลังจากส่งองครักษ์ลับมาค้นเสร็จ ก็จ้างคนรอบตัวของนางมาค้น
แม้นางจะไม่มีของล้ำค่าใด แต่ผู้ใดบ้างจะทนเห็นผู้อื่นค้นห้องของตนเองทุกวันได้!
ป้ายไม้ดำนั่นสำคัญถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถึงกับทำให้ฮ่องเต้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ! นางจะสืบดูให้แน่ชัดว่าท่านพ่อจัดสรรกองกำลังทหารเช่นไรก่อนตาย อาศัยป้ายไม้ดำนี้จะสามารถเคลื่อนย้ายทหารหลายแสนนายได้จริงหรือไม่
ก่อนหน้านี้เซวี่ยเอ๋อร์บอกว่า อย่างน้อยที่สุดป้ายไม้ดำสามารถสั่งทหารได้สองแสนกว่านาย! เวลานี้เกาทัณฑ์เมื่อขึ้นสาย ก็ต้องยิงเต็มเหนี่ยว[1]
หากสามารถใช้กองกำลังทหารเหล่านี้ได้จริงๆ เช่นนั้นนางก็มีเครื่องรางป้องกันตัวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง มีหมากในการต่อรองกับฮ่องเต้มากขึ้น
ผู้ใดรู้สถานการณ์ทางการทหารในเวลานี้ดีที่สุด แน่นอนว่าย่อมเป็นตระกูลซู…
มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งพูดจบ มั่วเหนียงก็เดินไปตบสาวใช้ทั้งสองคน คนละหนึ่งฉาด ไม่มีสิ่งใดหาย ข้อนี้มั่วเหนียง ชูอีและสืออู่ย่อมรู้ดี แค่ว่าการที่คุณหนูใหญ่ทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของนาง มั่วเหนียงใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหลังใหญ่มานานชีวิตนี้มีสิ่งใดบ้างที่เคยพบเจอ ในเมื่อคุณหนูบอกว่าของหาย เช่นนั้นก็ย่อมมีของหาย แม้ไม่มีก็ต้องมี
หลังจากตบสาวใช้ทั้งสองคน มั่วเหนียงส่งสายตาให้มั่วเชียนเสวี่ย “ตอนเช้าข้าเห็นคุณหนูวางปิ่นไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งกับตาตนเอง เวลานี้ปิ่นหายไปแล้ว หากไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้าแล้วจะเป็นฝีมือของผู้ใด พวกเจ้ายอมรับมาซะดีๆ”
ขิงแก่ย่อมเผ็ด เพียงถ้อยคำเดียวก็ทำให้สาวใช้ทั้งสองมีความผิดฐานลักขโมยได้
ลี่ว์เอ๋อร์ถูกตบจนตะลึงงัน นางพูดแก้ตัวให้กับตนเอง “วันนี้บ่าวไม่เห็นปิ่นบนโต๊ะเครื่องแป้งจริงๆ เจ้าค่ะ”
ลี่ว์เอ๋อร์บอกว่ามองไม่เห็น ไม่ได้บอกว่านางไม่เคยเข้าไปในห้อง อย่างชัดเจน ลี่ว์เอ๋อร์เคยเข้าไปในห้องมาก่อน มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเยือกเย็น
หลิ่วเอ๋อร์พบว่าสหายของตนพูดผิด นางจึงพูดเสริม “พวกบ่าวไม่เคยเข้าไปในห้องมาก่อน จะรู้ได้อย่างไรเจ้าคะว่าวางปิ่นปักผมไว้ส่วนใดของห้อง หากคุณหนูใหญ่ไม่เชื่อ เช่นนั้นสามารถค้นตัวพวกบ่าวได้เจ้าค่ะ ตั้งแต่คุณหนูใหญ่ออกไปพวกบ่าวก็ไม่เคยออกไปจากเรือนนี้มาก่อน อาซ้อเหลียนและอาซ้อจางเป็นพยานได้เจ้าค่ะ”
ลี่ว์เอ๋อร์ตัวสั่น รีบก้มคำนับแล้วพูดเสริม “ใช่เจ้าค่ะ พวกบ่าวไม่เคยเข้าไปในห้องมาก่อน ย่อมไม่เห็นว่าบนโต๊ะเครื่องแป้งมีปิ่นเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ ให้อาซ้อเหลียนที่อยู่ด้านนอกเข้ามาค้นตัวพวกนาง ทุกอย่างจะได้กระจ่าง” หากให้มั่วเหนียงค้นตัว เช่นนั้นพวกนางต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน คนนอกก็ย่อมคิดว่านางครหาพวกนาง
เมื่อเป็นเช่นนี้ รังแต่จะทำให้ใจคนเป็นทุกข์
ผอจื่อทั้งสองคนที่ติดตามมาจากด้านนอกและอาซ้อทั้งสองที่เฝ้าอยู่นอกเรือนล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ เคยทำงานรับใช้ฮูหยินท่านกั๋วกง สามารถไว้วางใจได้ ดังนั้น ไม่มีวันเสียใจและผิดหวังเพราะสาวใช้สองคนที่มีใจคิดทรยศอย่างแน่นอน
ผอจื่อที่อยู่ข้างๆ ออกไปตามอาซ้อเหลียนและอาซ้อจางผู้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนมาค้นตัวลี่ว์เอ๋อร์และหลิ่วเอ๋อร์ ความเป็นจริงไม่ต้องออกไปตาม เกิดเรื่องขึ้นทางด้านนี้ อาซ้อจางและอาซ้อเหลียนยืนรออยู่หน้าห้องตั้งแต่แรกแล้ว แค่ว่าไม่ได้รับคำสั่งจากมั่วเชียนเสวี่ยพวกนางจึงไม่กล้าเข้ามาก็เท่านั้น
เมื่อได้รับคำสั่ง อาซ้อจางค้นปิ่นหยกหนึ่งอันเจอบนตัวลี่วห์เอ๋อร์ได้อย่างรวดเร็ว นี่ นี่คือปิ่นของมั่วเชียนเสวี่ยจริงๆ
ลี่ว์เอ๋อร์เห็นปิ่นอันนั้น นางตกตะลึง สีหน้าซีดขาว หันไปมองหลิ่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ นางไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น พูดจาไม่เป็นภาษา “ข้า…บ่าวไม่ได้ขโมยเจ้าค่ะ ไม่ใช่…”
สืออู่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ขอเพียงไม่ซื่อสัตย์ต่อคุณหนู นางล้วนเกลียดชังยิ่งนัก “หากเจ้าไม่ได้ขโมย แล้วจะอยู่บนตัวเจ้าได้อย่างไร เจ้าบอกว่าไม่เคยเข้าไปในห้องมาก่อนไม่ใช่หรือ”
หลิ่วเอ๋อร์กลอกตา “ปิ่นอันนี้ค้นเจอบนตัวลี่ว์เอ๋อร์ เช่นนั้นก็เป็นฝีมือของลี่ว์เอ๋อร์ เหตุใดจึงต้องลงโทษบ่าวด้วยเจ้าคะ”
เมื่อลี่ว์เอ๋อร์เห็นหลิ่วเอ๋อร์ไม่เป็นพยานให้นาง แต่กลับหนีเอาตัวรอดตามลำพัง นางโมโหขึ้นมาทันที “เจ้า…” แต่ว่า นางพูดเพียงคำเดียว ก็หยุดลง เมื่อเทียบกับโทษขโมยของแล้ว เห็นชัดว่าโทษทรยศนายร้ายแรงยิ่งกว่า
มั่วเหนียงเห็นนางอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่อาจพูดโต้เถียงได้ แล้วจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ภายใน คำพูดเสียงเหี้ยม “เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกว่าพวกเจ้าทั้งสองไม่ได้เข้าไปในห้อง แล้วเหตุใดปิ่นอันนี้จึงอยู่บนตัวลี่ว์เอ๋อร์ พวกเจ้าทั้งสองสมรู้ร่วมคิดกันอย่างแน่นอน รอคุณหนูกลับมา หลังจากเปลี่ยนเวรกับผอจื่อค่อยเอาปิ่นไปซ่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ ยามคุณหนูจะพบว่าปิ่นหายไป แม้นจะนึกถึงพวกเจ้า ก็ค้นไม่เจอและยังไม่มีหลักฐาน…ใช่หรือไม่”
[1] เกาทัณฑ์เมื่อขึ้นสาย ก็ต้องยิงเต็มเหนี่ยว หมายถึง เรื่องมาถึงขั้นที่จำเป็นต้องทำ ไม่สามารถถอยกลับได้