หลิ่วเอ๋อร์มีไหวพริบมากกว่าลี่ว์เอ๋อร์ คิดว่าตนเป็นคนฉลาด “คุณหนู บ่าวไม่กล้า บ่าวโดนป้ายสี…บ่าวไม่รู้อะไรทั้งนั้นเจ้าค่ะ ไม่แน่อาจจะมีคนใส่ความ…”
เมื่อครู่มั่วเหนียงฉวยโอกาสตอนตบพวกนางแล้วลอบเอาปิ่นใส่เข้าไปในแขนเสื้อของลี่ว์เอ๋อร์ ผู้อื่นมองไม่เห็น แต่มั่วเชียนเสวี่ยย่อมมองเห็น หลังจากได้รับสัญญาณจากมั่วเหนียง นางค่อยสั่งให้อาซ้อเหลียนที่อยู่ด้านนอกมาค้นตัวพวกนาง
ความเป็นจริงเช้าที่ผ่านมามั่วเหนียงเป็นคนปักปิ่นนี้ให้นาง แต่นางเห็นว่าไม่คล่องตัวจึงดึงออกมาแล้วให้มั่วเหนียงช่วยเก็บเอาไว้
มั่วเชียนเสวี่ยจะปล่อยให้นางพูดต่อไปได้อย่างไร นางทำเสียงเคร่งขรึม “ยืนเซ่อกันอยู่ทำไม ปิดปาก แล้วลากไปเสีย…”
ไม่ต้องรอให้นายเรียกชื่อ ผอจื่อทั้งสองและอาซ้อที่เฝ้าอยู่นอกเรือนคว้าตัวสาวใช้ทั้งสองคน ปิดปากแล้วจับพวกนางมัด รอฟังคำสั่งจากมั่วเชียนเสวี่ย
มั่วเชียนเสวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้ายากจะทำใจเล็กน้อย “ถึงแม้จะถูกจับได้พร้อมหลักฐาน แต่เห็นแก่ที่พวกนางทั้งสองเพิ่งทำผิดเป็นครั้งแรก แล้วยังปรนนิบัติรับใช้ข้ามาหลายวัน บอกพ่อบ้านให้ไว้ชีวิตพวกนาง โบยสิบที แล้วไล่นางพร้อมกับคนในครอบครัวไปอยู่บ้านไร่ก็พอแล้ว”
สาวใช้ทั้งสองเป็นเด็กที่เกิดในจวน โทษลักขโมยไม่ถึงกับตาย แม้จะไว้ชีวิตพวกนาง แต่ก็เกรงว่าคนในครอบครัวนี้จะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง มีความคับแค้นใจ แล้วทำเรื่องเลวร้ายในจวน ดังนั้นการไล่ออกไปจึงเป็นการดีที่สุด ในขณะเดียวกันก็ถือเป็นการทนลำบากเพียงครั้งเดียวแล้วสบายตลอดชีวิต ยังสามารถย้ำเตือนผู้อื่นให้หวาดกลัวได้ด้วย
บ้านไร่และจวน ที่หนึ่งดั่งสวรรค์อีกที่หนึ่งดั่งนรก รอผอจื่อทั้งสองและอาซ้อทั้งสองลากตัวลี่ว์เอ๋อร์และหลิ่วเอ๋อร์ออกไป ภายใต้การควบคุมตัวของสืออู่ มั่วเหนียงและชูอีมองไปที่มั่วเชียนเสวี่ยด้วยแววตาสงสัย มั่วเชียนเสวี่ยย่อมรู้ว่าพวกนางอยากจะถามสิ่งใด
นางใช้นิ้วมือชี้ไปยังข้าวของเครื่องใช้ในห้อง และผ้าห่มที่ถูกพับเป็นทรงเต้าหู้ไม่เรียบร้อย พูดเสียงเรียบ “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยากจะพูดสิ่งใด ข้าใส่ความพวกนาง แต่ข้าไม่ได้ครหาพวกนาง พวกเจ้าดู…”
มั่วเหนียงได้รับความไว้วางใจจากฮูหยินกั๋วกง ย่อมเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ เพียงมองตามที่มั่วเชียนเสวี่ยชี้ ก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว นางขุ่นเคืองใจขึ้นมาทันที “มีเช่นนี้ที่ใดกัน จารชนถูกส่งมาอยู่ใกล้คุณหนูเร็วเช่นนี้”
ชูอีชงน้ำชาแล้วยื่นให้มั่วเชียนเสวี่ย พูดด้วยความกังวล “ไปซื้อสาวใช้อีกสักสองสามคนกับคนค้าทาสดีหรือไม่เจ้าคะ”
มั่วเชียนเสวี่ยรับน้ำชา “เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากัน! ข้ามีพวกเจ้าคอยดูแลก็พอแล้ว แค่ว่านับจากวันนี้ ยามข้าออกไปนอกเรือน หนึ่งในพวกเจ้าทั้งสามต้องอยู่เฝ้าเรือน”
มั่วเหนียงและชูอีมองตากันครู่หนึ่ง พูดอย่างพร้อมเพรียง “เจ้าค่ะ” สีหน้าของทั้งสองหนักแน่นยิ่งนัก
เงียบครู่หนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยพูดต่อ “ปล่อยข่าวไป เลือกสาวใช้สี่คนในจวน เป็นสาวใช้ขั้นสามก่อน หากปรนนิบัติรับใช้ได้ดี หลังจากหนึ่งเดือนจะเลื่อนเป็นสาวใช้ขั้นสอง”
หมายจะให้คนมีใจคิดทรยศเผยตัว ย่อมต้องมีเหยื่อล่อ…
สิ่งแรกที่ซูชีทำหลังจากกลับมาถึงตระกูลซูคือไปหาซูจิ่นอวี้ บอกว่าเขาตรึกตรองได้แล้ว เกิดความวุ่นวายทางการเมืองเช่นนี้ เขาควรจะอยู่ในเมืองหลวง ทำเพื่อตระกูลอย่างสุดความสามารถ ขอให้ซูจิ่นอวี้หาตำแหน่งงานในเมืองหลวงให้เขา
มีเพียงอยู่ในอำนาจของเมืองหลวง จึงจะมีอำนาจที่แท้จริง เขาจึงจะมีข่าวสารที่แม่นยำถูกต้อง จึงจะสามารถสั่งเคลื่อนย้ายกองกำลังได้
แม้ซูจิ่นอวี้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซูชีจึงเปลี่ยนใจกะทันหัน แต่เขาดีใจอย่างมาก
เขาคือหนึ่งในคนที่ถูกคัดเลือกเป็นหัวหน้าตระกูล แน่นอนว่าไม่อาจรับราชการในเมืองหลวงได้ ครั้งนี้หลังจากเริ่มต้นใหม่ ตระกูลซูได้ครอบครองตำแหน่งหนึ่ง…ตำแหน่งรองแม่ทัพเก้าประตูแห่งเมืองหลวง ซูชีคือคนที่เขาอยากจะเลือกให้อยู่ในตำแหน่งนี้มากที่สุด ท่านพ่อก็มีความคิดเดียวกัน
แต่ซูชีไม่ยอมอยู่ในเมืองหลวง เมื่อสองวันก่อนก็บอกว่าจะไปจากเมืองหลวง อีกทั้งเขายังเป็นคนที่ดื้อรั้นยิ่งนัก สิ่งที่ซูชีไม่อยากทำ หากบีบบังคับเขา มีแต่จะสร้างเรื่องวุ่นวายเท่านั้น เมื่อครู่เขากำลังชั่งใจ อยากจะใช้ความเป็นพี่น้องในการรั้งซูชีเอาไว้
หลังจากซูจิ่นอวี้ฟังซูชีพูดจบ เขากลัวเหลือเกินว่าซูชีจะเปลี่ยนใจ จึงพาซูชีไปรายงานตัวที่สำนักแม่ทัพเก้าประตู รับยศทหาร เครื่องแบบทหารและประทับตราทหารรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
แม่ทัพเก้าประตูขั้นสาม ผู้คนเรียกว่าท่านแม่ทัพใหญ่ รองแม่ทัพขั้นสาม ผู้คนเรียกท่านรองแม่ทัพ ครั้งนี้ตระกูลซูจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้
มีทั้งคนดีใจ มีทั้งคนเศร้าใจ
ซูชีขึ้นรับตำแหน่ง หัวหน้าขันทีเต๋อขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ได้รับจดหมาย รีบกราบทูลฮ่องเต้ทันที
ฮ่องเต้ทรงเกรี้ยวโกรธยิ่งนัก โมโหจนโยนฎีกาทั้งหมดบนโต๊ะทิ้ง
เขายกตำแหน่งรองแม่ทัพให้กับตระกูลซู แน่นอนว่าย่อมไตร่ตรองดีแล้ว คนที่ตระกูลซูสามารถนำออกมารับตำแหน่งได้ ย่อมไม่มีวันข่มแม่ทัพใหญ่น่าอู่ฉังที่เพิ่งแต่งตั้งได้
เดิมทีตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เก้าประตูอยู่ในมือของจิ่งชินอ๋อง ตำแหน่งรองแม่ทัพอยู่ในกำมือของตนมาโดยตลอด กล่าวได้ว่าอยู่ในกำมือของผู้สนับสนุนจักรพรรดิ
แต่เวลานี้จะปลดซื่อจื่อลงจากตำแหน่งเพื่อได้ตำแหน่งมาครอบครอง ขณะเดียวกันก็ต้องยอมเสียตำแหน่งรองแม่ทัพ กรมต่างๆ ในเมืองต่างมีการเปลี่ยนคนครั้งใหญ่ เขาจะฉวยโอกาสนี้เปลี่ยนทหารจำนวนมากของตระกูลซู
แน่นอนว่าคนตระกูลซูย่อมไม่พอใจ
เมื่อคนของเขาเข้ารับตำแหน่ง ตำแหน่งรองแม่ทัพก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้คนตระกูลซูยื่นฎีกาขึ้นมา เขาจึงยกตำแหน่งนี้ให้เป็นการปลอบโยนตระกูลซู
คนที่ตระกูลซูสามารถใช้งานได้เขาและบรรดาคนสนิทได้พิจารณาแล้ว วางแผนทุกอย่างตั้งแต่แรกแล้ว
คุณชายใหญ่บุตรชายสายตรงของตระกูลซูเป็นคนมากความสามารถ แต่เป็นหนึ่งในผู้ถูกคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าตระกูล ย่อมไม่มีวันรับตำแหน่งรองแม่ทัพ แต่คนอื่นๆ ในตระกูลซูหากไม่ใช่เพราะฐานันดรต่ำต้อย ก็ไม่มีวรยุทธ์ ไม่มีวันข่มน่าอู่ฉังที่เขาเลือกได้ ทว่าคิดไม่ถึงว่าตระกูลซูจะส่งซูชีมารับตำแหน่ง
ซูชีคนนี้ มีวรยุทธ์ มีฐานันดรศักดิ์ ทั้งยังเป็นคนดื้อรั้น เป็นคนที่ยากจะรับมือ แม้แต่บิดาของเขาหัวหน้าตระกูลซูยังไม่อาจทำสิ่งใดเขาได้ เกรงว่าน่าอู่ฉังคงเอาเขาไม่อยู่แน่นอน
ครั้งนี้ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ แย่กว่านั้น อาจจะต้องเสียอำนาจด้านความปลอดภัยในเมืองหลวงไปก็ได้ แล้วเขาจะไม่โมโหได้อย่างไร…
ฮ่องเต้โยนฎีกาทิ้ง สีพระพักตร์ยังคงเคร่งขรึม ความโมโหบรรเทาลงเล็กน้อย ทางด้านขันทีเต๋อไล่นางกำนัลและคนอื่นๆ ที่คอยรับใช้ออกไปนานแล้ว แน่นอนว่าคนพวกนั้นก็อยากถูกไล่ออกไปแทบขาดใจเช่นเดียวกัน
เก็บฎีกาเรียบร้อย เห็นฝ่าบาทคลายความพิโรธลงบ้างแล้ว ขันทีเต๋อคลี่ยิ้ม “ฝ่าบาทโปรดเย็นพระทัยก่อนพ่ะย่ะค่ะ ซูชีนั่นเป็นเพียงคุณชายที่ใช้ชีวิตเสเพลเท่านั้น ไม่แน่อาจจะแค่เพราะคิดได้กะทันหัน ทำงานเพียงสองวันก็ลาออกจากตำแหน่งแล้วก็ได้พ่ะย่ะค่ะ เมื่อถึงเวลาฝ่าบาทเอาตำแหน่งคืน ตระกูลซูไม่แม้แต่จะกล้าร้องโอดครวญพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าฮ่องเต้ไม่ได้คิดในแง่ดีเหมือนขันทีเต๋อ เขาไม่ได้ชะล่าใจเหมือนขันทีเต๋อ หลังจากระบายความโมโห เขาก็ตั้งสติได้มากขึ้น
ฮ่องเต้แค่นเสียงหึ ทำเอาขันทีเต๋อตกใจจนเหงื่อเย็นแตกพลั่กทั่วแผ่นหลัง ดวงตาหงส์ฉายเจตนาสังหาร “ซูชีนั่นไม่เคยสนใจรับราชการในเมืองหลวงมาก่อนมิใช่หรือ บอกว่าอีกสองสามวันจะไปจากเมืองหลวงมิใช่หรือ เหตุใดจึงโผล่มาในช่วงสำคัญเช่นนี้ ซูซิ่งเหยียนให้ผลประโยชน์ใดกับเขากันแน่”
ขันทีเต๋อไม่ได้คาดหวังว่าฮ่องเต้จะเชื่อคำพูดของตนอยู่แล้ว ขณะที่เขาตกใจกับแววตาของฮ่องเต้ก็รีบปรับเสียง กระดกนิ้วก้อยขึ้นแล้วตอบ “ฟังจากคนที่มารายงาน ซูชีเป็นฝ่ายขอเข้ารับตำแหน่งในครั้งนี้เองพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม? เป็นฝ่ายขอเข้ารับตำแหน่งเอง?” ฮ่องเต้แปลกใจ นี่ไม่ใช่นิสัยของซูชี ในเมื่อเป้าหมายอันดับแรกของฮ่องเต้คือการกำจัดตระกูลขุนนาง เช่นนั้นย่อมวิเคราะห์นิสัยของลูกหลานทุกตระกูลเป็นอย่างดี
ขันทีเต๋อยืนกราน “พ่ะย่ะค่ะ”