ฮ่องเต้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “แล้วช่วงนี้ซูชีมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”
ขันทีเต๋อครุ่นคิด เมื่อไตร่ตรองได้แล้วเขาจึงกราบทูล “เมื่อวันก่อนซูชีส่งคุณหนูใหญ่มั่วเชียนเสวี่ยแห่งจวนข้ากั๋วกงกลับจวนพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ไปเยี่ยมนางที่จวนกั๋วกงแต่เช้า…”
“ซูชีเป็นคนหยิ่งยโสมาโดยตลอด ก่อปัญหาด้วยความโอหัง ไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา เขาทั้งส่งมั่วเชียนเสวี่ยกลับจวนแล้วยังไปเยี่ยมนาง? ดูเหมือนว่า…จะมีใจให้มั่วเชียนเสวี่ยแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ยิ้มอย่างมีเลศนัย “เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากเขารู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยคนนี้คือสตรีที่หนิงเซ่าชิงทอดทิ้ง เขาจะมีปฏิกิริยาเช่นไร…ซูซิ่งเหยียนจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด…ฮ่าๆ…”
ฮ่องเต้กล้าหัวเราะเยาะหัวหน้าตระกูลซู แต่ขันทีเต๋อไม่กล้า เห็นฮ่องเต้ลืมตัวเล็กน้อย ขันทีเต๋อจึงพูดเตือน “ฝ่าบาท เกรงว่าตระกูลซูก็คงจะสนใจกองกำลังทหารของมั่วเทียนฟ่างด้วยกระมั่งพ่ะย่ะค่ะ…ฝ่าบาทจำต้องระวัง…”
รอยยิ้มของฮ่องเต้ยังคงไม่คลาย “เสี่ยวเต๋อจื่อ ละครสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว หมากตัวนี้อย่างมั่วเชียนเสวี่ยยังคงมีประโยชน์อยู่บ้าง…”
จักรพรรดิเปลี่ยนแปลงไปมา รอยยิ้มยังคงไม่คลาย ทว่าสีพระพักตร์ของฝ่าบาทกลับเปลี่ยนจากอารมณ์สุนทรีย์เป็นเคร่งขรึม สีหน้าเปลี่ยนไวยิ่งกว่าพลิกตำรา “จริงด้วย ทางด้านฮองเฮามีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง เจ้าจับตาดูให้ดี อย่าให้สตรีโง่เขลาคนนั้นทำเสียงาน”
ขันทีเต๋อปรับตัวกับอารมณ์ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายของฮ่องเต้ได้อย่างรวดเร็ว “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมส่งคนไปจับตาดูฮองเฮาตั้งแต่แรกแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานฮองเฮารับสั่งให้องค์หญิงอวี้เหอเข้าเฝ้า และ…”
หลังจากฮ่องเต้ฟังรายงานที่ขันทีเต๋อได้มาจากฮ่องเฮา คลี่ยิ้มบางๆ “สตรีสารเลวคนนี้โง่เขลามาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะทำให้ข้าสบายใจได้”
แม้ครั้งนี้ฮ่องเต้จะคลี่ยิ้มบางๆ ทว่าความเหี้ยมโหดที่มุมปากของเขาไม่อาจซ่อนเร้น แต่ทว่า เขาก็ไม่คิดจะซ่อนเร้นอยู่แล้ว
ขันทีเต๋อคล้อยตาม “ฝ่าบาททรงพระปรีชา คิดวางแผนกลยุทธ์ในกระโจม แต่กลับเอาชนะข้าศึกที่อยู่ไกลถึงพันลี้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นล้วนไม่อาจรอดพ้นสายพระเนตรของฝ่าบาท…”
คิดอยากจะมีชีวิตอยู่ข้างกายฮ่องเต้ ในวังหลวงแห่งนี้ทำงานเก่งคือด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งความสามารถในการประจบสอพลอก็ไม่อาจขาดได้
รู้สึกคล้ายทุกอย่างอยู่ในกำมือของตนอีกครั้ง ฝ่าบาทเดินกลับไปยังบัลลังก์มังกร “ปล่อยให้พวกเขาได้ใจไปก่อนก็ดีเหมือนกัน รอข้าจัดการตระกูลหนิงก่อน ค่อยสละเวลาออกมาจัดการตระกูลซู”
ฮ่องเต้ที่กลับมาประทับบนบัลลังก์มังกรขมวดคิ้วเป็นปม “ป้ายไม้ดำนั่นยังหาไม่เจออีกหรือ”
ขันทีเต๋อคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะนึกถึงเรื่องนี้ เวลานี้เขาเริ่มเป็นกังวล “ยังหาไม่เจอพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นการยากที่ฮ่องเต้ทรงไม่พิโรธ พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ไม่เป็นเช่นไร อีกไม่กี่วัน มั่วเชียนเสวี่ยคงจะเอาป้ายไม้ดำมาให้ข้าอย่างว่าง่ายเพื่อขอให้ข้าทวงคืนความยุติธรรมให้นาง…”
ขันทีเต๋อคลี่ยิ้ม “กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทล่วงหน้าที่มีกองกำลังสนับสนุนเพิ่มขึ้น ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดสามารถหนีจากการควบคุมของฝ่าบาทได้…”
ดวงจันทร์ประดับบนนภา ลมพัดอ่อนๆ
คนกลุ่มหนึ่งเดินทางจากสำนักสำคัญในเมืองหลวง เข้าไปยังเรือนหลังเล็กที่อยู่ห่างไกลจากใจกลางอำนาจทางการเมืองของเมืองหลวง ด้านหน้ามีคนสะพายกระบี่หลายคนคอยนำทาง ไอสังหารแผ่ซ่านในค่ำคืนที่มืดมิด
คนที่ถูกคุ้มกันสวมผ้าคลุม ใบหน้าสวมหน้ากากสีทอง เยือกเย็นและทระนง นัยน์ตาเย็นชา ลมพัดผ้าคลุมขึ้นเบาๆ แขนเสื้อเผยชายเสื้อสีดำ ด้านหลังของเขามีชายสีหน้าเย็นชาติดตามราวกับเงา
ในเรือนหลังเล็ก ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา เต็มไปด้วยองครักษ์
ทันทีที่บุรุษผู้สวมหน้ากากสีทองและผ้าคลุมสีดำเดินเข้าไปในเรือนหลังเล็ก หนึ่งในองครักษ์เดินเข้าไปหาแล้วยื่นกระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็กให้ ขณะที่องครักษ์ด้านหน้ากำลังจะรับกระบอกไม้ไผ่ดึงกระดาษออกมา แล้วยื่นให้เจ้านายที่อยู่ด้านหลัง
ทว่าคิดไม่ถึง มือที่ยื่นไปรับกระบอกไม้ไผ่ว่างเปล่า กระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็กอยู่ในมือของบุรุษหน้ากากสีทองแล้ว
ขณะที่องครักษ์กำลังตกตะลึงก็มีลมพัดผ่าน จากนั้นบุรุษที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาก็หายไป เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นห้องหนังสือของเจ้านาย ประตูสั่นไหวเล็กน้อย เห็นชัดว่าเมื่อครู่มีคนเข้าไป
ชายสีหน้าเย็นชาที่ก่อนหน้านี้ติดตามด้านหลังบุรุษหน้ากากสีทอง คอยติดตามทุกย่างก้าว…เวลานี้กุ่ยซายืนกอดกระบี่อยู่หน้าประตูราวกับเสาต้นหนึ่ง
วันนี้พวกเขาเพิ่งไปหอลับ จัดการงานในหอลับจนแล้วเสร็จ เจ้านายสั่งให้อิ่งซากลับไปรับการฝึกใหม่ที่หอลับ เตรียมรับช่วงดูแลงานในหอลับต่อจากอดีตผู้ดูแล นับจากนี้เขากุ่ยซาจะเป็นคนคอยติดตามรับใช้อยู่ข้างกายเจ้านาย
เจ้านายเป็นคนนิ่งสงบมาโดยตลอด แต่ทุกครั้งเมื่อได้รับข่าวสารที่ส่งมาจากกระบอกไม้ไผ่ เขาร้อนใจทุกครั้งราวกับถูกแผดเผา เปิดเนื้อความในกระดาษขึ้นมาอ่านเป็นอันดับแรก
เมื่อกลับเข้าไปในห้องเขาก็ได้ถอดหน้ากาก หนิงเซ่าชิงยังคงอบอุ่นและสง่าผ่าเผย เทียบกับความเยือกเย็นและทระนง นัยน์ตาเย็นชาเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน เขาวางหน้ากากไว้บนโต๊ะ หยิบม้วนกระดาษออกมาจากกระบอกไม้ไผ่แล้วคลี่ออก
หลังจากอ่านเนื้อความในกระดาษจบ หนิงเซ่าชิงกำหมัดแน่น ม้วนกระดาษแผ่นนั้นกลายเป็นเศษกระดาษ ร่วงหล่นจากระหว่างนิ้วมือของเขา ปลิวว่อนไปทั่ว
ความอบอุ่นและสง่าผ่าเผยหายไปแล้ว เหลือเพียงไอเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่ว มากพอที่จะทำให้แม่น้ำจับตัวเป็นน้ำแข็ง
“ซูชี……”
เสียงของหนิงเซ่าชิงเปี่ยมไปด้วยความเย็นยะเยือก ถ้อยคำที่เขาพูดราวกับก่อตัวเป็นน้ำแข็ง เขาหมุนตัวช้าๆ ประตูเปิดเองภายใต้กระแสลมของเขา
ยามประตูเปิด กุ่ยซาเหยียดหลังตรง เตรียมพร้อมจะติดตามหนิงเซ่าชิงออกไปตลอดเวลา ทว่ากลับถูกลมอันหนาวเย็นทำให้เขาเกือบหยุดนิ่ง ภายใต้ความหนาวเย็นที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้เขาหนาวสั่น
ขณะที่หนิงเซ่าชิงกำลังจะก้าวออกไป องครักษ์ด้านนอกรายงาน “เจ้านายขอรับ คุณชายหลูขอเข้าพบขอรับ”
องครักษ์คนนั้นเห็นสีหน้าเจ้านายไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก เวลานี้เขากระอักกระอ่วนใจอย่างมาก ก่นด่าในใจว่าคุณชายหลูมาไม่รู้เวลาจริงๆ
หนิงเซ่าชิงขมวดคิ้วเป็นปม กวาดตามององครักษ์ที่มารายงาน เขาเพิ่งรับช่วงหอลับต่อ น้องหลูก็มาทันที ช่างบังเอิญยิ่งนัก!
อีกทั้ง ระหว่างเขาและหลูเจิ้งหยางมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกันพอดี
คิ้วที่ขมวดเป็นปม เก็บไอเย็นเข้าไปแล้ว พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เชิญคุณชายหลูเข้ามา”
องครักษ์พูดในใจว่าหวาดเสียวยิ่งนัก เขาปาดเหงื่อ แล้วถอยออกไปตามคำสั่ง
เขายังจำได้เมื่อคราวก่อนตอนเจ้านายได้รับจดหมายจากกระบอกไม้ไผ่ หลังจากเห็นเนื้อความในใจจดหมายก็สีหน้าเยือกเย็นเช่นนี้เหมือนกัน ประจวบเหมาะเวลานั้นมีสหายคนหนึ่งมารายงาน ถูกเจ้านายฟาดฝ่ามือจนไถลไปไกล เจ้านายไม่แม้แต่จะฟังเรื่องที่สหายคนนั้นรายงาน ก็ออกไปจากเรือนทันที
องครักษ์คนนั้นเดินออกไป หนิงเซ่าชิงหันไปมองกุ่ยซาที่ยืนอยู่ข้างกาย พูดเสียงทุ้มต่ำ “กุ่ยซา บอกให้องครักษ์ลับห้าสิบเจ็ดและห้าสิบเก้า ทำงานดีๆ อย่าให้คนที่ไม่ควรปรากฏตัวไปรบกวนคุณหนู แล้วไปบอกหน่วยลับคนอื่นๆ สร้างงานให้รองแม่ทัพเก้าประตูคนใหม่…รองแม่ทัพซูจิ่นหันหน่อย”
“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งขอรับ”
กุ่ยซารับคำสั่งแล้วเดินออกไป ทางด้านหลูเจิ้งหยางถูกคนพาเข้ามา เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของหนิงเซ๋าชิง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว “เหตุใดจึงมีสีหน้าไม่สบอารมณ์เช่นนี้ มีคนรังแกพี่สะใภ้อีกแล้วหรือ”
พวกเขาติดต่อกันตลอด หลูเจิ้งหยางย่อมรู้ถึงการมีอยู่ของมั่วเชียนเสวี่ย และรู้ว่าเมื่อคราวก่อนมั่วเชียนเสวี่ยโดนฮ่องเต้ทำร้ายจนเลือดตกยางออกเช่นเดียวกัน
หนิงเซ่าชิงสีหน้าเคร่งขรึม ไม่สนใจคำหยอกล้อของหลูเจิ้งหยาง เพียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ด้วยความไม่พอใจ แล้วเดินเข้าไปในห้อง
เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย ดังนั้นระหว่างทั้งสองคนจึงไม่มีความเกรงอกเกรงใจกันเท่าใดนัก
หนิงเซ่าชิงที่เขารู้จัก ไม่ว่าจะที่ใดเวลาใดล้วนสง่างาม นอกจากมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว จะมีผู้ใดทำให้เขาผิดปกติเช่นนี้ได้ หลูเจิ้งหยางลูบจมูก เดินตามหนิงเซ่าชิงเข้าไปด้านใน พูดอีกครั้งอย่างไม่กลัวตาย “ผู้ใดกล้ารังแกพี่สะใภ้ บอกชื่อมา เจิ้งหยางจะจัดการให้พี่หนิงเอง…”