มั่วเชียนเสวี่ยพูดจบ เงยหน้าขึ้นมองซูชี แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความอ้อนวอน ความจนปัญญาและความหนักแน่น มากไปกว่านั้นคือความขุ่นเคือง
นางยังคงเป็นนาง!
แม้จะตกอยู่ในอันตราย ทว่าไม่ยอมรับโชคชะตาร่ำไห้เหมือนสตรีอื่น แต่กลับเข้มแข็ง แม้อีกฝ่ายจะเป็นฮ่องเต้ เป็นคนบนบัลลังก์สูง แต่นางยังคงนิ่งสงบ
บางสถานการณ์ นางรู้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยยามรับมือ ก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น
ถึงแม้สิ่งที่เขาอยากถามยิ่งกว่าคือ เหตุใดนางจึงไม่กลับตระกูลหนิงไปพร้อมกับหนิงเซ่าชิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างนางกับหนิงเซ่าชิงกันแน่ แต่ว่า หากถามเช่นนั้นจริงๆ เขารู้สึกว่าตนใจแคบ คล้ายกำลังเหยียบย่ำบาดแผลของผู้อื่น ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ!
สถานการณ์ในเวลานี้ เกรงว่าหนิงเซ่าชิงกลัวจะสร้างปัญหา กลัวฝ่าบาทจะพิโรธแล้วระบายความโกรธเคืองไปที่ตระกูลหนิง ดังนั้นเขาจึงจำต้องปล่อยนางกระมัง…
ดังนั้น สิ่งที่เขาพูดคือ “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความลับทางทหาร เจ้าคงจะไม่ให้ข้าพูดที่นี่กระมัง” หลังจากเขาพูดจบ มองซ้ายมองขวาแล้วกางมือทั้งสองข้างออก เลิกคิ้วขึ้นแลบลิ้นปลิ้นตา ความเคร่งขรึมเมื่อครู่ ความจริงจังเมื่อครู่ของซูชีหายไปจนหมด
มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะ ปรบมือ
ป่าไผ่สั่นไหว มั่วเหนียงดีดพิณ สืออู่เป่าขลุ่ย คนหนึ่งอยู่ทางตะวันออกคนหนึ่งอยู่ทางตะวันตก คนหนึ่งดีดคนหนึ่งเป่า นำเครื่องดนตรีทั้งสองที่แตกต่างกันมาบรรเลงเข้าด้วยกัน
มั่วเหนียงและสืออู่ต่างคนต่างอยู่ประจำตำแหน่ง มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง พูดได้หรือยัง? ที่นี่ไม่มีประตู ไม่มีผู้ใดลอบฟังได้”
สตรีคนนี้ช่างฉลาดเสียจริง
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนนอกก็จะเข้าใจว่าพวกเขาสองคนคนหนึ่งเป่าขลุ่ยคนหนึ่งดีดพิณ ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อมีเสียงบรรเลงเหล่านี้ แม้ในป่าจะมีคนซ่อนตัว อยากจะแอบฟังว่าพวกเขาพูดสิ่งใดก็ยากเย็นยิ่งนัก แทบจะเป็นไปไม่ได้
แผนการชั้นสูงเช่นนี้ เกรงว่าจะมีเพียงนางเท่านั้นที่คิดได้
มั่วเหนียงดีดพิณได้ดีระดับหนึ่ง แต่ขลุ่ยที่สาวใช้เป่านั้นไร้ซึ่งความไพเราะ ไม่กล้ากล่าวชื่นชมจริงๆ เป่าขลุ่ยได้ไม่เหมือนสหายพบปะ คล้ายเป่าแตรในสงครามมากกว่า…คนนอกฟังแล้ว เกรงจะเข้าใจว่าเขาซูชีไม่เข้าใจความรัก ไม่เข้าใจความสง่างาม ทำลายสิ่งดีงามจนมอดม้วย
ซูชีส่ายหน้าอย่างจนปัญญา หันไปมองมั่วเชียนเสวี่ย นัยน์ตาซ่อนความรักใคร่ ทว่าสีหน้ากลับฉายความเสน่ห์หา “เช่นนี้ย่อมเป็นการดี แต่ว่า…นี่คือความลับสุดยอด…เชียนเสวี่ย เจ้าคิดไตร่ตรองดู ไม่มีผู้ใดเข้าใจการจัดสรรกองกำลังของเทียนฉีได้ดีเท่ากับตระกูลซูของข้าแล้ว มากไปกว่านั้นไม่มีผู้ใดวิเคราะห์สถานการณ์ทางการทหารให้เจ้าฟังโดยไม่ปิดบังเช่นข้า หรือว่าเจ้าควร…”
“มีสิ่งใดก็พูดออกมา อย่าอ้ำอึ้ง” รู้ว่าซูชีไม่ใช่คนดี เวลานี้ต้องคิดอยากจะรีดไถนางอีกเป็นแน่
“สตรี ควรจะมีความอ่อนโยน เจ้าคิดเช่นไรเล่า…” เห็นมั่วเชียนเสวี่ยมองค้อนด้วยความหงุดหงิด ซูชีรีบเปลี่ยนบทสนทนา คลี่ยิ้ม “ความหมายของข้าคือควรได้รับผลตอบแทน เจ้าเข้าใจ”
“เจ้าว่ามา ต้องการสิ่งใด” มั่วเชียนเสวี่ยตอบกลับอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงชัดเจน
เดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาจะพูดอะไร แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคราวก่อนเพิ่งถูกเขาเอาหุ้นไปหนึ่งส่วน จึงพูดเสริมด้วยความเจ็บใจ “ข้าบอกไว้ก่อน หุ้นโรงงานเครื่องปรุง ตอนนี้ข้าเหลือเพียงห้าหุ้นเท่านั้น ไม่อาจยกให้เจ้าได้แล้ว สูตรเต้าหู้เจ้าก็มีแล้ว เจ้ายังอยากจะได้สิ่งใดกันแน่”
แน่นอนว่าหากซูชีย่อมไม่ยี่หระกับเงินทองและหุ้นโรงงานเหล่านั้น นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่ามีสิ่งใดที่ซูชีจะหมายตาได้ หรือว่าจะเป็นร้านอาหารของนางที่ท่าเรือ ตอนนางจากมา ท่าเรือครึกครื้นไปด้วยผู้คนแล้ว…
ไม่รอมั่วเชียนเสวี่ยคิด ซูชีก็พูดขึ้น “ข้ารู้สึกว่าภาพวาดน่ารักๆ หัวตัวที่เจ้าวาดมีความพิเศษยิ่งนัก เข้ากับความชอบของข้า หากเจ้าวาดซูชีฝึกศิลปะการต่อสู้ทั้งสิบแปดแขนงให้ข้า ทำเป็นตำราหนึ่งเล่ม วันนี้เจ้าถามสิ่งใดข้าจะตอบทุกอย่าง”
แค่นี้เนี่ยนะ? มั่วเชียนเสวี่ยใบ้รับประทาน นางคิดว่าจะมีเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก แค่รูปวาดเท่านั้น นางใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็วาดให้เขาได้แล้ว
ไม่แปลก คนโบราณไม่เคยเห็นภาพวาดประหลาดๆ เช่นนี้ อีกทั้งซูชีก็ไม่ใช่คนสติดี การที่เขาสนใจรูปวาดแปลกๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
คล้ายกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ มั่วเชียนเสวี่ยยื่นมือออกมา “วิญญูชน…”
ซูชียิ้มร่า เห็นมั่วเชียนเสวี่ยยื่นมือออกมา เขาก็ยื่นฝ่ามือออกไปเช่นเดียวกัน “พูดแล้วไม่คืนคำ!”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ศิลปะการต่อสู้ทั้งสิบแปดแขนงล้วนแตกต่างกัน นางต้องตั้งใจวาดเขาออกมาให้ดี ย่อมต้องนึกถึงเขามากขึ้น เมื่อนึกถึงเขามากขึ้นก็ย่อมคิดถึงเขามากขึ้น…เมื่อถึงเวลา เขาจะมีโอกาสในการชนะมากขึ้นใช่หรือไม่…
ฝ่ามือของทั้งสองตบกัน มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะ ฮ่าๆ “ตอนนี้พูดได้แล้วใช่หรือไม่”
ซูชีไม่มีพัดเป็นเครื่องมือ จึงใช้มือม้วนผมสองช่อที่ย้อยลงมาบนหน้าผาก กระเอมไอ พูดอย่างไม่รีบร้อน “ควรจะพูดว่า ตอนนี้เจ้าสามารถถามได้แล้ว”
“ได้ อันดับแรกมาพูดกันว่า บิดาของข้าตายเช่นไร”
“แน่นอนว่าตายในสงคราม!”
“เล่าให้ละเอียด”
ซูชีขมวดคิ้วเป็นปม สีหน้าฉายการตักเตือน “เชียนเสวี่ย…” เขาพูดได้หรือไม่ว่า บิดาของนางตายภายใต้แผนการที่ถูกคิดขึ้นอย่างดี เมื่อพูดเช่นนี้ เกรงว่า…
สำหรับคำถามนี้ มั่วเชียนเสวี่ยคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงไม่ได้ติดอยู่ที่คำถามนี้ต่อ “ได้ เช่นนั้นข้าเปลี่ยนคำถาม เมื่อครั้นท่านพ่อของข้ายังมีชีวิตอยู่ กองกำลังทหารเป็นเช่นไร จัดสรรประมาณใด”
ซูชีเห็นมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ดื้อดึงติดอยู่ที่คำถามเดิม จึงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “กองกำลังทหารที่อยู่ภายใต้บิดาของเจ้าเรียกว่าทหารตระกูลมั่ว ทหารตระกูลมั่วคือกองกำลังทหารที่มีชื่อเสียงของเทียนฉี ในกองกำลังทหารนอกจากบิดาของเจ้าแซ่มั่วแล้ว ไม่มีคนตระกูลมั่วคนใดอีกเลย”
ท่านพ่อเกลียดหัวหน้าตระกูลมั่วที่ทอดทิ้งและไม่สนใจตน เห็นมารดาของนางตกอยู่ในอันตรายก็ไม่เคยคิดจะช่วย เขาที่เป็นลูกนอกสมรสจึงไม่รู้สึกภาคภูมิใจในเกียรติยศของตระกูล แน่นอนว่าย่อมไม่ส่งคนในตระกูลมั่วเข้าไปในกองกำลังทหารของตน
ซูชีพูดต่อ “แม้บิดาของเจ้าจะเกิดในตระกูลมั่ว แต่ความเป็นจริง เป็นเช่นไรเจ้าย่อมรู้ดี ไม่แตกต่างกับชนชั้นรากหญ้าทั่วไป ถึงขั้นที่ว่าย่ำแย่ยิ่งกว่า ดังนั้นกองกำลังทหารทั้งหมดของบิดาเจ้า ล้วนอาศัยกำลังและชื่อเสียงของท่านในการสะสมทีละเล็กทีละน้อยด้วยตนเอง”
“กองกำลังทหารของราชวงศ์เทียนฉีแบ่งเป็นสามส่วน ตระกูลซู ราชวงศ์ มั่วกั๋วกง แม้จะมีกองกำลังทหารอื่นๆ แต่กองกำลังทหารของพวกเขาล้วนไม่แข็งแรง มีอย่างน้อยไม่กี่พันนาย อย่างมากก็ไม่ถึงสี่ห้าหมื่นนาย โดยมากหากไม่สวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ ก็สวามิภักดิ์ต่อตระกูลซู ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง เมื่อยี่สิบปีก่อน ไม่มีทหารตระกูลมั่ว เวลานี้ มีเพียงทหารของตระกูลซูและราชวงศ์เท่านั้น กองกำลังทหารของราชวงศ์ประจำอยู่ทางทิศตะวันตกและทางใต้ของเทียนฉี ทางด้านตระกูลซูประจำอยู่ที่ทิศตะวันออกและทางเหนือ ทิศตะวันออกและทางเหนือที่ตระกูลซูประจำการเงียบสงบมาโดยตลอด แม้จะเกิดความวุ่นวาย แต่ก็ถูกตระกูลซูของข้าจัดการอย่างรวดเร็ว ทว่า ทางตะวันตกที่ทหารของราชวงศ์ประจำอยู่นั่น มีสงครามไม่หยุด ตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ เสียหัวเมืองเล็กใหญ่ไปสิบกว่าแห่งแล้ว”
“เดิมทีฮ่องเต้องค์ปัจจุบันถูกปฐมจักรพรรดิทอดทิ้งแล้ว ส่งฮ่องเต้ไประงับความวุ่นวายที่ทางทิศตะวันตก สถานที่เช่นนั้น ฐานันดรศักดิ์เช่นนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องตกอยู่ในอันตราย บิดาของเจ้าเป็นคนนำกองกำลังทหารและม้า ไปช่วยฮ่องเต้ออกมาจากสงครามที่ว้าวุ่น โดยไม่เกรงกลัวความตาย ท่านมั่วกั๋วกงยอมเสี่ยงชีวิต จึงช่วยฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้ ท่านมั่วกั๋วกงทั้งช่วยฮ่องเต้ได้และชนะสงคราม ย่อมได้รับคำชื่นชมจากปฐมจักรพรรดิ เวลานั้นฝ่ายสนับสนุนราชวงศ์กำลังต้องการคน จึงแต่งตั้งให้บิดาของเจ้าขึ้นเป็นแม่ทัพ เดิมทีเพียงคิดแค่ว่าล่าถอยกลับมาก็พอแล้ว ทว่าคิดไม่ถึงบิดาของเจ้ามากความสามารถ ทรงพลังทำให้ผู้อื่นยำเกรง เอาชนะสงครามติดต่อกัน ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ไม่เพียงรบชนะทวงคืนหัวเมืองเล็กใหญ่กลับมาได้ ทั้งยังชิงเมืองเฮยมู่และเมืองรั่วสุ่ยของชาวชังได้สำเร็จ เนื่องด้วยฮ่องเต้องค์ปัจจุบันสร้างคุณงามความดีที่ทางทิศตะวันตกและได้รับการสนับสนุนจากบิดาของเจ้า จึงถูกแต่งตั้งเป็นองค์ชายรัชทายาท แล้วได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้”