มั่วเหนียงเดินไปตรงหน้าห้อง โบกมือเรียกจื่อเฉี่ยว บอกนางให้ไปบอกพ่อบ้านตามคำสั่งของคุณหนูแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง จื่อเฉี่ยวเพียงชะเง้อมองเข้าไปในห้องด้วยความสงสัย จากนั้นยิ้มรับคำสั่งแล้วถอยออกไป
ยามคุณหนูวาดรูป นอกจากมั่วเหนียงแล้ว พวกนางห้ามเข้าไปในห้อง นี่คือกฎที่มั่วเหนียงตั้งขึ้น
หลังจากวาดลายเส้นสุดท้ายเสร็จ วางอุปกรณ์ในการวาด มั่วเชียนเสวี่ยหยิบรูปวาดขึ้นมาเป่า แล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ ภาพวาดนี้นางวาดด้วยความตั้งใจ วาดสีหน้าแสร้งทำเป็นหล่อเหลาของซูชีออกมาอย่างละเอียดราวกับตัวจริง
มั่วเหนียงวางภาพวาดลง หยิบเสื้อคลุมมาคลุมให้คุณหนูของตน เตรียมจะม้วนภาพวาดเก็บให้เรียบร้อย
มั่วเชียนเสวี่ยรีบปรามมั่วเหนียง ยิ้มออดอ้อนแล้วพูดขึ้น “มั่วเหนียง แผ่นนี้ยังไม่ต้องเก็บ ประเดี๋ยวภาพวาดเลอะแล้วข้าต้องวาดใหม่อีดก วางไว้ด้านบนเถอะ ถึงอย่างไรก็มีสืออู่อยู่ ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามา”
คราวที่แล้วก็เหมือนกัน ทันที่ที่มั่วเชียนเสวี่ยเหยียดกายลุกขึ้น มั่วเหนียงก็รีบเก็บภาพวาด ทำให้รูปที่นางเพิ่งวาดเสร็จเลอะไปหมด จนนางต้องวาดใหม่ เมื่อเห็นมั่วเหนียงลังเล จึงพูดขึ้น “ข้ารับปาก นี่เป็นภาพวาดแผ่นสุดท้ายแล้ว…”
มั่วเหนียงได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยบอกว่าเป็นภาพวาดแผ่นสุดท้าย จึงปล่อยมือ “เช่น…เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
นำภาพวาดกลับไปวางบนโต๊ะอีกครั้ง ลังเลครู่หนึ่ง พูดอ้อมค้อมเล็กน้อย “หากคุณหนูชื่นชอบในการวาดรูปจริงๆ คราวหน้าอยากจะวาด ก็วาดกูเหยียเถอะเจ้าค่ะ เช่นนั้นแม้วันข้างหน้าผู้อื่นเห็นก็ไม่โดนตำหนิ…”
ฮ่าๆ มั่วเหนียงยังพูดไม่จบ มั่วเชียนเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ภาพวาดหนิงเซ่าชิงฉบับน่ารักๆ! จะให้นางวาดเช่นไร เขาอ่อนโยนและสง่างามตลอดเวลา แม้จะโมโห แววตาลุกเป็นไฟแต่ก็เพียงแค่เม้มปากแน่นเท่านั้น ความน่าเกรงขามของเขาทำให้ผู้อื่นไม่กล้าสบตา ทว่ายังคงงดงามราวกับภาพวาด คล้ายดั่งภาพวาดล้างหมึก
จะใช้การวาดภาพฉบับน่ารักๆ ในการวาดภาพ ‘ภาพวาดล้างหมึก’ ที่สง่างามเช่นนี้ได้อย่างไร มั่วเหนียงช่างตลกเสียจริง…มั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้าไปในโถงหน้า เฟิงอวี้เฉินยืนหันหลังให้นาง แผ่นหลังของเขาโดดเดี่ยวยิ่งนัก คล้ายจะซูบผอมลงยิ่งกว่าครั้งแรกที่นางเจอเขาเล็กน้อย มั่วเชียนเสวี่ยใจอ่อนขึ้นมาทันที
เฮ้อ! ถามโลกหล้ารักเป็นฉันท์ใด…
เฟิงอวี้เฉินคนนี้ไม่ใช่คนเลว ในอดีตแข็งแกร่งเช่นนั้น แค่เพราะรักอย่างขาดสติ ไม่อาจตำหนิเขาได้
มั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้าไปด้านใน ร้องเรียกเสียงอ่อนโยน “ท่านพี่” ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดอย่างไร จึงจะทำให้เขายอมตัดใจ
“เสวี่ยเอ๋อร์…” เฟิงอวี้เจินหันหลัง มองมาทางมั่วเชียนเสวี่ย แววตาของเขายังคงเคล้าไปด้วยความเสียใจ ไม่มีความตื่นเต้นดีใจและขาดสติเช่นก่อนหน้านี้ น้ำเสียงนิ่งสงบ “บาดแผลบนศีรษะของเจ้ายังเจ็บหรือไม่”
เขาไม่ตำหนินางที่ให้เขาคอยอยู่นอกจวนทุกวัน ทั้งยังไม่โกรธเคืองที่นางไม่มีเขาอยู่ในสายตาอีกแล้ว แววตาของเขาคล้ายมีเพียงความปวดใจและเป็นห่วง
มั่วเชียนเสวี่ยพูดไม่ออกเล็กน้อย
นางไม่กลัวเฟิงอวี้เฉินมาไม้แข็ง สิ่งที่นางกลัวก็คือการที่ดวงตาคู่นี้มองนางเช่นนี้ ยังจำครั้งแรกที่พบเจอเขาได้ ในวันที่ท้องฟ้าเศร้าหมองเปี่ยมไปด้วยดอกไม้โรยรา เขายืนด้วยความมั่นคงราวกับต้นสน แข็งแกร่งดั่งแสงตะวันเจิดจ้า ใต้คิ้วเข้มคือดวงตาทอประกายราวกับดวงดาวในฤดูเหมันต์ มองมาที่นางด้วยความดีใจ…
จิตใจของมนุษย์ทำจากเลือดเนื้อ! เผชิญหน้ากับรักซาบซึ้งเช่นนี้ แม้ว่านางจะไม่ได้รักเขา แต่ก็ไม่อาจทำร้ายเขาได้ลงคอ ยิ่งกว่านั้น แววตาเปี่ยมรักคู่นี้ทำให้นางคิดถึงภาพที่เห็นในความฝันของเสวี่ยเอ๋อร์ ทั้งสองรักใคร่ซึ่งกันและกัน เขากวัดแกว่งกระบี่นางซับเหงื่อให้เขา มองดูธรรมดาทว่าไอแห่งความรักแผ่ซ่าน
ภาพนั้นอบอุ่นจนทำให้คนปวดใจ เวลานี้ความเศร้าที่ฉายออกมาจากดวงตาคู่นี้ทำให้ยิ่งไม่อาจทนได้
นางยอมที่จะเดินเข้ามา แล้วถูกเขาเค้นถาม เช่นนั้นนางจะได้ฉวยโอกาส ทำลายความสัมพันธ์ ถึงอย่างไรบุณคุณสองครั้งนั้นหนิงเซ่าชิงบอกแล้วว่าจะตอบแทน วันข้างหน้า นางกับหนิงเซ่าชิงคอยดูแลตระกูลเฟิงให้มากๆ ก็พอแล้ว
การที่เขาถามไถ่เช่นนี้ ภายใต้แววตาเช่นนี้ นางจะเอ่ยปากได้อย่างไร
ทว่า เจ็บสั้นดีกว่าเจ็บยาว!
ดวงตาทั้งคู่ของมั่วเชียนเสวี่ยหมุนกลอก ไม่มองหน้าเขาอีก แต่มองไปยังแจกันโบราณด้านหลัง มีเพียงไม่มองเขานางจึงจะพูดถ้อยคำทำร้ายจิตใจได้
“ท่านพี่รู้ดี เชียนเสวี่ยแต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่นแล้ว ถึงแม้เวลานี้เพราะเหตุผลอื่นทำให้เซ่าชิงไม่อาจมารับข้าเข้าจวนชั่วคราว แต่ข้าจะรอ รอตลอดไป หากท่านพี่ยอมตัดใจ เชียนเสวี่ยจะมองท่านพี่เสมือนพี่ชายแท้ๆ คือคนในครอบครัว แต่หากไม่…”
ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยหรี่ลงเล็กน้อย ถ้อยคำด้านหลังนางยากจะพูดออกไป
หัวใจของเฟิงอวี้เฉินหล่นวูบไปยังก้นบึ้ง เขาเพียงแค่ติดงาน วันนั้นจึงไม่ได้ไปส่งนาง เขาเพียงช้าไปครึ่งปี ทว่ากลับอยู่ไกลกันคนละขอบฟ้า!
แต่เขาจะโทษผู้ใดได้ ตั้งแต่ครั้งนั้นที่นางรับกระบี่แทนเขา เขาก็สาบานกับตนเอง เขาจะแต่งงานกับนาง! แต่ว่า แต่ว่านางต้องแต่งงานกับเขาด้วยความเต็มใจ เขาจะไม่บีบบังคับนางอีก ไม่ทำร้ายนางอีก…
ไม่รอให้มั่วเชียนเสวี่ยปวดหัว เฟิงอวี้เฉินซ่อนความไม่สบอารมณ์เอาไว้ในใจ เขาคลี่ยิ้ม แล้วพูด “อวี้เฉินย่อมเป็นคนในครอบครัวของน้อง…”
เป็นพี่ชายชั่วคราวก่อนก็แล้วกัน! มิเช่นนั้น ฟังจากน้ำเสียงของนางแล้ว แม้แต่ญาติมิตรก็ไม่อาจเป็นได้
เมื่อยกภูเขาก้อนใหญ่ออกจากอกได้ มั่วเชียนเสวี่ยยิ้ม “ขอบคุณเจ้าค่ะ!” นางพูดด้วยความจริงใจและรวดเร็ว วันนี้เป็นวันที่ดี เพียงครู่หนึ่งก็จัดการงานหินได้ถึงสองงาน ภาพวาดซูชีก็วาดเสร็จแล้ว
คำขอบคุณของมั่วเชียนเสวี่ยทำให้แววตาของเฟิงอวี้เฉินฉายความเศร้ามากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาโล่งอก
ทั้งสองสบตากันโดยไม่พูดสิ่งใด เฟิงอวี้เฉินยิ้มบางๆ พูด “สายป่านนี้แล้ว น้องไม่คิดจะชวนพี่อวี้เฉินรับประทานอาหารหรือ” มั่วเชียนเสวี่ยเข้าใจทันทีว่าเพราะเหตุใดเขาจึงมาเวลานี้ทุกวัน ที่แท้ก็อยากจะมากินข้าวนี่เอง
ในเมื่อเฟิงอวี้เฉินเอ่ยปากแล้ว เช่นนั้นให้เขาร่วมรับประทานอาหารก็ไม่ใช่ปัญหา มั่วเชียนเสวี่ยยิ้ม “เช่นนั้นเชิญท่านพี่อยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเถิด เชิญท่านพี่เจ้าค่ะ…”
ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร นางไม่ค่อยรู้จักเขาเท่าใดนัก ไม่รู้ว่าควรจะพูดเรื่องอะไร ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะเงียบ ทายาทตระกูลขุนนางชั้นสูงรับประทานอาหารอย่างสง่างาม การไม่พูดยามรับประทานอาหารเป็นเรื่องปกติ เฟิงอวี้เฉินไม่ได้คิดมาก ในทางตรงกันข้ามเขาพูดเรื่องราวตอนเด็กๆ ของนางอย่างสนิทสนม ทั้งยังตักอาหารให้นาง
นางยื่นถ้วยออกไปรับ กล่าวขอบคุณ ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
ด้วยความเรียบง่ายเช่นนี้ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จก็สายมากแล้ว เฟิงอวี้เฉินเหยียดกายลุกขึ้นแล้วขอตัวลา
หลังจากส่งเฟิงอวี้เฉิน มั่วเชียนเสวี่ยเดินกลับเรือนเสวี่ยหว่าน ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
เพิ่งเดินเข้าไปในเรือน นางกลับเห็นประตูห้องปิดเอาไว้ สืออู่เฝ้าอยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้าพิลึก
รอมั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้าไปใกล้ สืออู่พูดกระซิบเสียงเบา “คุณหนู กูเหยียมาเจ้าค่ะ…คล้ายอารมณ์ไม่ดีเท่าใดนัก…”
หนิงเซ่าชิงมาแล้ว…มั่วเชียนเสวี่ยชะงักยังไม่ทันได้แสดงท่าทีใดๆ มั่วเหนียงกลับเลิกคิ้วขึ้นขมวดเล็กน้อย พูดในใจ แย่แล้ว! กูเหยียต้องเห็นภาพวาดบนโต๊ะแล้วแน่ๆ…
มั่วเชียนเสวี่ยคือบุตรีสายตรงของท่านกั๋วกง ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ ยามที่นางออกไปต้องมีความยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้ ยามที่นางออกไปจึงต้องพามั่วเหนียง ผอจื่อสองคน จื่อหลิงและจื่อเฉี่ยว เดินออกไปพร้อมกันอย่างยิ่งใหญ่ คนที่เฝ้าอยู่นอกเรือนคืออาซ้อทั้งสองคนมาโดยตลอด ส่วนคนที่เฝ้าอยู่ในห้องคือจื่อเหอและจื่อจู๋
มั่วเหนียงติดตามมั่วเชียนเสวี่ยตลอดเวลา นางเป็นคนฝึกยุทธ์ ความสามารถในการฟังเหนือกว่าคนทั่วไป ทั้งยังเป็นคนหลักแหลม เพียงได้ยินคำว่ากูเหยียสองพยางค์ นางก็รีบบอกให้จื่อหลิงและจื่อเสี่ยวว่า “คุณหนูเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว อยากจะอาบน้ำอุ่น ให้พวกนางไปดูที่โรงครัวเสียหน่อยว่า ต้มน้ำร้อนสำหรับอาบน้ำให้คุณหนูเสร็จหรือยัง”