จื่อหลิงและจื่อเฉี่ยวเดินออกไป มั่วเชียนเสวี่ยกวาดมองภายในเรือน เรือนข้างด้านบนมีแสงไฟสลัวส่องสว่างออกมา ในเรือนมีเพียงสืออู่คนเดียว ถามเสียงเบา “พวกนางเล่า?”
เรื่องที่นางและหนิงเซ่าชิงเกี่ยวข้องกัน คนที่จวนยิ่งรู้น้อยยิ่งดี
สืออู่ตอบด้วยความภาคภูมิใจ “สืออู่อ้างว่าพรุ่งนี้คุณหนูต้องไปร่วมงานเลี้ยงดอกท้อ อยากจะสวมกระโปรงลายดอกสีฟ้าอ่อนตัวนั้น จึงให้จื่อเหอและจื่อจู้ปักดอกไม้บนกระโปรงเพิ่ม เวลานี้พวกนางกำลังปักเย็บกระโปรงในเรือนข้างเจ้าค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยตอบอืม แล้วเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องไม่ได้จุดไฟ จึงมืดเล็กน้อย
ก้าวเข้าไปในห้อง ต้นฤดูวัสสานะอากาศเริ่มอบอุ่นแล้ว ทว่า อากาศภายในห้องกลับเย็นยะเยือก ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยที่เพิ่งเดินเข้าไปในห้องกอดตัวเองด้วยความหนาวสั่น
ภายในห้องของมั่วเชียนเสวี่ยแบ่งเป็นสามส่วน หลังจากเดินผ่านประตูเข้ามาคือโถงที่ใช้ต้อนรับมิตรสหายคนสนิทและพักผ่อน ตรงกลางติดผนังมีเตียงตั่งวางอยู่ ตรงกลางเตียงตั่งมีที่วางเท้าเพื่อง่ายต่อการวางน้ำชา ทางด้านซ้ายของห้องโถงคือห้องหนังสือขนาดเล็กที่มีม่านบางๆ กั้นไว้ ถัดไปทางซ้ายมือที่มีเก้าอี้ไม้วางตรงหน้าฉากกั้นโบราณคือห้องนอน
ภายใต้แสงสลัว หนิงเซ่าชิงนั่งอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ แม้จะมีม่านบางกั้น ทว่าไม่ส่งผลกระทบต่อใบหน้ารูปงามของเขาที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของนาง
ท่ามกลางความพร่ามัว บนตัวของเขาไร้ซึ่งความอบอุ่นและสนิทสนม มุมปากเม้มตรง สีหน้าเยือกเย็น ส่วนลึกในแววตาที่ฉายออกมาคือความขุ่นเคืองใจ
มั่วเหนียงรู้สึกไม่ค่อยวางใจเท่าใดนัก นางจึงเดินตามเข้ามาในห้องด้วย หลังจากมั่วเหนียงเข้ามานางก็จุดไฟในห้องโถง ในห้องนอน จนส่องสว่าง แต่นางไม่กล้าเดินไปจุดไฟในห้องหนังสือ ลังเลครู่หนึ่ง หางตาของนางมองไปที่หนิงเซ่าชิง แล้วมองคุณหนูของตนด้วยความกังวล ทอดถอนหายใจ หันหลังเดินออกไป พร้อมกับปิดประตู
เฮ้อ! แม้ภาพวาดที่คุณหนูวาดจะแปลกประหลาด ทว่าวาดด้วยความตั้งใจ หากไม่สังเกตอย่างถี่ถ้วน ไม่ได้วาดด้วยใจ ไม่มีทางวาดได้แน่นอน
การที่กูเหยียโมโหก็มีเหตผล!
เห็นหนิงเซ่าชิงไม่พูดไม่จา แววตาของมั่วเชียนเสวี่ยก็เยือกเย็นเล็กน้อยเช่นเดียวกัน หลังจากมาเยี่ยมนางวันที่ได้รับบาดเจ็บ ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้เขาก็ไม่เคยมาหานางอีกเลย ทั้งยังไม่ส่งข่าวมาให้นาง เวลานี้เขามาถึงก็ชักสีหน้าให้นางโดยไม่ถามไถ่?
นางยังไม่ได้แต่งงานกับเขา เขาก็ชักสีหน้าให้นางเช่นนี้แล้ว หากแต่งงานกับเขาขึ้นมาจริงๆ ทำผิดเล็กน้อย ก็จะลงโทษให้นางคุกเข่าในศาลบรรพชนใช่หรือไม่ นิสัยแย่ๆ เช่นนี้ ไม่อาจตามใจได้!
เมื่อคิดถึงข้อนี้ มั่วเชียนเสวี่ยไม่เดินไปทางห้องหนังสือ แต่กลับนั่งลงบนเตียงตั่งในห้องโถง รินน้ำชาให้ตนเองหนึ่งแก้ว ขมวดคิ้วเป็นปม ยกมุมปากขึ้นยิ้ม “ฟ้ายังไม่มืดสนิท เหตุใดคุณชายเซ่าชิงจึงมีเวลามาหาเชียนเสวี่ยได้เจ้าคะ”
ถ้อยคำนี้พูดอย่างห่างเหิน!
เห็นชัดว่าหนิงเซ่าชิงคิดไม่ถึง ความโมโหเคลื่อนผ่านนัยน์ตาสีนิล ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย พูดด้วยความสัพยอก “หากไม่ใช่เพราะท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท ข้าจะได้ชื่นชมผลงานชิ้นงามเช่นนี้ของฮูหยินได้อย่างไร หื้มมม?”
พูดเย้าหยอก นัยน์ตามีความขุ่นเคือง ถ้อยคำเคล้าด้วยความอิจฉา พยางค์สุดท้ายเสียงหนักแน่นและลากยาว ตัวเขาเองคล้ายเสือดำที่พร้อมตะครุบเหยื่อ ท่วงท่าสง่างามมีลำแสงคมเฉียบแล่นผ่าน คล้ายว่าหากมั่วเชียนเสวี่ยไม่ให้คำตอบที่น่าพอใจ เขาก็พร้อมจะกระโจนเข้ามา…กัดคอของนาง
นี่มันหมายความว่าอะไร ไม่ไถ่ถามแม้แต่คำเดียว ไม่มีคำพูดคิดถึง มีแต่การเค้นถาม! นางไม่มีแม้แต่อิสระในการวาดภาพเชียวหรือ เสียแรงที่นางอุตส่าห์เห็นเขาเป็นแก้วตาดวงใจของนาง คอยเป็นห่วงเขาตลอดเวลา
มั่วเชียนเสวี่ยขุ่นเคืองใจยิ่งนัก ทว่าพูดด้วยรอยยิ้ม “แค่เพียงภาพวาดน่ารักๆ หัวโตที่วาดสนุกๆ เท่านั้น จะรับคำชมจากคุณชายเซ่าชิงได้อย่างไร”
“ดูเหมือนว่าช่วงนี้ฮูหยินมีเวลาว่างยิ่งนัก ว่างถึงขั้นวาดภาพบุรุษเป็นการฆ่าเวลา”
หนิงเซ่าชิงเหยียดกายลุกขึ้น หยิบภาพวาดขึ้นมาคล้ายชื่นชมยิ่งนัก
เขาไม่ได้ดูภาพวาดแม้แต่น้อย แววตาของเขาฉายไอสังหารที่ไม่อาจซ่อนเร้น เป็นไอสังหารที่จะทำลายภาพวาดนี้ มั่วเชียนเสวี่ยหัวใจบีบรัด นางไม่ได้ตึงเครียดเพราะคนในภาพวาด แต่ภาพวาดนี้คือภาพวาดที่นางพอใจที่สุดในระยะหลังนี้ เป็นภาพวาดที่ทำให้ซูชีต้องอิจฉาและริษยาในทักษะการวาดภาพของนาง
สำหรับนางแล้ว ภาพวาดนี้คือผลของความเหนื่อยยาก ซูชีคือสหายของนาง ดังนั้น นางไม่มีวันยอมให้หนิงเซ่าชิงทำลายภาพวาดนี้เด็ดขาด
มั่วเชียนเสวี่ยมองฉากกั้นนั้น ก่อนจะกระโดดตัว ข้ามฉากกั้นด้วยความรวดเร็ว ยื่นมือออกไปหมายจะเอาภาพวาดกลับคืน
เดิมทีนางตั้งใจจะกระโดดไปกะทันหัน คิดว่าหนิงเซ่าชิงยังไม่รู้ว่านางฝึกวิชาตัวเบาสำเร็จ แล้วค่อยแย่งภาพวาดกลับมาอย่างง่ายดาย ทั้งยังฉวยอากาศแสดงความเก่งกาจของนางให้เขาเห็น
ทว่าคิดไม่ถึง นางกระโดดด้วยความเร็ว แต่หนิงเซ่าชิงไวยิ่งกว่า ยังไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวแต่อย่างใด มือที่จับภาพวาดซ่อนไว้ด้านหลังแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยคว้าภาพวาดไว้ไม่ได้ กลับกลายเป็นการเสนอตัวให้เขา หนิงเซ่าชิงยื่นมือโอบกอด พันธนาการนางไว้บนท่อนขาของเขา
วรยุทธ์ที่ฝึกด้วยความยากลำบากตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ ในสายตาหนิงเซ่าชิงแล้วเป็นเพียงการละเล่นของเด็กเท่านั้น
แต่มั่วเชียนเสวี่ยดันไม่ยอมแพ้ยื่นมือไปด้านหลังอยากจะเอาภาพวาดกลับคืน หนิงเซ่าชิงเลิกคิ้วขึ้นขมวดอย่างไม่อาจหักห้าม คำพูดของเขาไม่เพียงแต่อิจฉา ทั้งยังเคล้าไปด้วยการเย้ยหยันก่อนที่พายุลูกใหญ่จะมา “หึ ไม่เจอกันไม่กี่วัน กระโดดกบเป็นแล้วหรือ ดูเหมือนว่า อาจารย์คนนั้นก็ไม่ได้เก่งกาจแต่อย่างใด!”
มั่วเชียนเสวี่ยคว้าภาพวาดไม่ได้ นอกจากนี้วิชาตัวเบาที่นางภาคภูมิใจตลอดหลายวันที่ผ่านมายังถูกเปรียบเปรยว่าเป็นกระโดดกบ นางทั้งโมโหทั้งร้อนใจ เบ้ปาก “เอาภาพวาดคืนให้ข้า! นี่คือข้อแลกเปลี่ยนระหว่างข้ากับซูชี เขาสอนวิชากระบี่ให้ข้า ข้าวาดภาพให้เขา…”
หากยังไม่ยอมอธิบาย เกรงว่าจะรักษาภาพวาดแผ่นนี้ไว้ไม่ได้แล้ว แต่เรื่องสถานการณ์ทางทหารและป้ายไม้ดำ ย่อมไม่อาจพูดตามความจริงได้ ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อใจเขา แต่บ้างครั้ง การสานสัมพันธ์ของคนสองคนควรจะรักษาระยะห่างและความลึกลับไว้จะดีกว่า บางครั้งเปิดเผยมากเกินไป สูญเสียความคาดหวังและความสดใหม่ แม้ความรักจะมากล้นเพียงใดก็กลายเป็นไร้รสชาติได้
“คนหนึ่งกวัดแกว่งกระบี่ คนหนึ่งวาดภาพ งดงามราวกับอยู่ในกลอนกวีจริงๆ…” ความอิจฉาในน้ำเสียงมากยิ่งขึ้น ความน่าเกรงขามก็มากยิ่งขึ้น
จิตใจของมั่วเชียนเสวี่ยอยู่ที่ภาพวาด จึงเพิกเฉยต่อความน่าเกรงขามนี้ นางพูดด้วยความร้อนใจ “ท่านรีบคืนภาพวาดให้ข้า หากท่านไม่คืนให้ข้า ข้ายังต้องวาด…” ความหมายของนางคือ หากภาพวาดนี้ชำรุด ไม่อาจรวบรวมเป็นภาพวาดหนึ่งชุดได้นางต้องวาดใหม่อีกรูป แต่หนิงเซ่าชิงกลับเข้าใจว่า นางจะวาดซูชีทุกวัน
ไม่อาจข่มความโมโหได้อีกต่อไป หรี่ตาลง ขับเคลื่อนพลังปราณบนมือ จะทำลายภาพวาดให้กลายเป็นผุยผง
ทว่า ในเวลานี้เอง เขาพบว่าพลังปราณของเขาถูกปิดผนึก ตัวของเขาแข็งทื่อ ไม่อาจเคลื่อนไหวได้
ตัวของเขาแข็งทื่อ แต่ลิ้นของเขาไม่ได้แข็งทื่อ หนิงเซ่าชิงโมโหอย่างมาก “เจ้า…”
ทันใดนั้นเองดวงตาหงส์ราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด มองไม่เห็นแสงสว่างใดๆ คิดไม่ถึงว่าเพื่อปกป้องภาพวาดของบุรุษอื่น นางจะใช้เข็มทองปิดผนึกพลังปราณของเขา?
เวลานี้มั่วเชียนเสวี่ยคิดเพียงว่าจะชิงภาพวาดมาจากเขาได้อย่างไร ไม่ทันได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของหนิงเซ่าชิง เมื่อก่อน นางไม่มีกำลังภายใน ทำได้เพียงหยุดคนได้ประมาณสิบกว่าวินาที เวลานี้นางมีพลังปราณแล้ว สามารถหยุดคนได้หลายนาที มีเวลามากพอ
รอเก็บภาพวาดเรียบร้อยแล้ว ค่อยเสวนากับเขาดีๆ
ปัดมือหนิงเซ่าชิงทิ้ง เหยียดกายลุกขึ้นมาจากต้นขาของเขา ชิงภาพวาดมา ม้วนเก็บ เดินหน้าสองสามก้าว หยิบกล่องใส่ภาพวาดออกมา เก็บภาพวาดเข้าไป หมุนตัวหันหลัง…
ทว่าเมื่อหันหลังกลับไปนางเห็นรอบตัวของหนิงเซ่าชิงแผ่ซ่านด้วยไอสังหาร ฟาดฝ่ามือไปที่กล่องนั่น