เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 269 มนุษยธรรม ดอกบัวขาวชั้นดี (2)

ไม่ได้พูดสิ่งใดมากมายไปกว่านี้ ท่านหญิงซูซูและมั่วเชียนเสวี่ยเดินคล้องแขนกันและกัน เงยหน้าชื่นชมฝนดอกไม้ เดินบนทางเดินที่เต็มไปด้วยบุปผา ยิ้มเบิกบาน ไม่ได้เดินเข้าไปในอุทยานตามทางเดินเล็กๆ นั่น แต่เดินเรื่อยเปื่อยเข้าไปส่วนลึกในป่าท้อ

ทั้งสองใจตรงกัน ไม่อยากเดินบนทางเดินเล็กๆ นั่น แล้วต้องคอยกล่าวทักทายบรรดาสตรีชั้นสูงตามมารยาทที่ควรมี ปรารถนาเพียงเดินเล่นเรื่อยเปื่อย ผ่อนคลายจิตใจ ท่ามกลางฝนดอกไม้เหล่านี้

หลังจากชูอีและลี่ว์ไป่สาวใช้คนสนิทของท่านหญิงซูซูสบตากัน ทั้งสองก็รีบเดินตามหลังนายหญิงของตน

บรรดาสตรีชั้นสองที่มองดูเรื่องครึกครื้น เมื่อเห็นตัวเอกเดินไปแล้ว พวกนางจึงมองหน้ากัน จากนั้นแยกย้ายกันไป ต่างคนต่างชวนมิตรสหายของตน เดินเข้าไปในป่าท้อตามทางเล็กๆ เหล่านั้น แน่นอน โดยมากต่างเดินตรงไปยังทางเดินขนาดใหญ่ที่ย่วนอ้ายเวิงจู่เดินลับหายไปเมื่อครู่

สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นท้อ ดอกท้อบานสะพรั่ง กลีบดอกท้อปลิวว่อน ยามสายลมพัดผ่าน ม้วนกลีบดอกไม้หนาๆ บนพื้นขึ้นมา รวมกับดอกท้อที่ปลิวว่อนบนท้องฟ้า ท่ามกลางดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ทั้งบนท้องฟ้าและบนพื้นเปี่ยมด้วยสีชมพูด ภาพตรงหน้า ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บนแดนสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น เปรียบตนเป็นนางฟ้าดอกท้อ

ท่ามกลางทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ เดินจับมาเที่ยวเล่นกับสหายรัก คือความสุขอย่างหนึ่งของมนุษย์ มั่วเชียนเสวี่ยที่เพิ่งผูกมิตรกับสหายคนใหม่อารมณ์ดียิ่งนัก แต่ในขณะที่นางดีใจก็ไม่กล้าลืมตัว

หลังทั้งสองถามไถ่สารทุกข์สุขดิมท่ามกลางทิวทัศน์ที่งดงาม พูดคุยแลกเปลี่ยนความในใจเล็กน้อย มั่วเชียนเสวี่ยอมยิ้มแล้วเอ่ยถาม “เชียนเสวี่ยมาเมืองหลวงครั้งแรก ไม่มีมิตรสหาย ทั้งยังไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงดอกท้อ ซูซูช่วยเล่าให้เชียนเสวี่ยฟังหน่อยได้หรือไม่…”

สายลมพัดผ่าน ซูซูปล่อยมือมั่วเชียนเสวี่ย ยื่นมือไปรับกลีบดอกไม้ พูดขึ้นช้าๆ “แม้เจ้าไม่ถาม ข้าก็กำลังจะบอกให้เจ้าฟังอยู่พอดี”

มั่วเชียนเสวี่ยเองก็ยื่นมือไปรับกลีบดอกท้อโดยไม่รู้ตัว คลี่ยิ้มบางๆ “เช่นนั้น…เชียนเสวี่ยพูดด้วยความไร้ยางอายได้หรือไม่ว่า เราสองคนใจตรงกันเล็กน้อย”

พูดจบ ดวงตาทอประกาย ยิ้มพร้อมกับรับกลีบดอกท้อจนเต็มมือ แล้วโปรยไปตรงหน้าท่านหญิงซูซู

อย่างเห็นได้ชัด ท่านหญิงซูซูคิดไม่ถึงว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะทำเช่นนี้ อยากจะโต้กลับ แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับหลบไปก่อนแล้ว

ท่านหญิงซูซูโปรยกลีบดอกท้อโดนความว่างเปล่า กระทืบเท้า แล้วหัวเราะ “เจ้าช่างซุกซนยิ่งนัก…ฉลาด น่ารักและซนจริงๆ เสด็จพ่อมักจะบอกว่าข้าไม่มีความเป็นกุลสตรี อันที่จริงข้าว่าเราสองคนไม่ต่างกันเท่าใดนัก เมื่อครู่ตอนอยู่ต่อหน้าผู้คนยังเห็นเจ้าวางตัวเป็นสตรีชั้นสูง กริยาสง่างาม ตำหนิเวิงจู่โง่เขลาได้เป็นข้อๆ ทุกถ้อยคำล้วนมีเหตุผล ทว่าแท้จริงกลับซุกซนยิ่งนัก…”

“ได้…เชียนเสวี่ยยอมรับว่าตนซุกซน…”

มั่วเชียนเสวี่ยหลบการจู่โจมด้วยกลีบดอกท้อของซูซู คลี่ยิ้มบางๆ “ซูซูอย่าหัวเราะเยาะเชียนเสวี่ยเลย ท่าทางเช่นนั้นเป็นการวางตัวต่อหน้าผู้คนเท่านั้น ท่านย่อมเข้าใจดี อีกอย่าง เมื่อครู่ตอนที่ท่านก็เดินออกมาอย่างสง่างามไม่แพ้ข้าเช่นเดียวกัน! ข้าคิดว่าเป็นนางฟ้าดอกท้อหลงทาง พลั้งเผลอตกลงมาบนโลกมนุษย์เสียอีก หากข้าเป็นชาย เกรงว่าคงจะตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกเจอ…”

ผู้อื่นต่างพูดกันว่าท่านหญิงซูซูโมโหร้าย จองหองโอหัง แต่ในสายตามั่วเชียนเสวี่ย นางเป็นคนตรงไปตรงมา

แม้ทั้งสองจะเพิ่งผูกมิตรกันวันนี้ แต่กลับคล้ายสนิทสนมกันมานาน พูดคุยกันอย่างไม่ถือตัว ไร้ซึ่งความกังวล

สำหรับเรื่องชายหญิง หญิงโบราณมักจะไม่พูดกันอย่างโจ่งแจ้ง แม้จะเป็นสตรีที่ตรงไปตรงมาเช่นซูซูก็หน้าแดงระเรื่อเพราะการหยอกเย้าของมั่วเชียนเสวี่ย ท่านหญิงซูซูพูดด้วยความเขินอาย “ยิ่งพูดยิ่งไม่มีความเป็นกุลสตรีจริงๆ…ไม่พูดกับเจ้าแล้ว”

มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มด้วยความเข้าใจ พูดเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว “ไม่พูดเรื่องนี้…เช่นนั้นเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่างานเลี้ยงดอกท้อคืองานเลี้ยงอะไร…ทั้งยังมีกฎระเบียบและข้อห้ามใดบ้าง หากประเดี๋ยวข้าไม่รู้ ทำเรื่องขายหน้าขึ้นมา จะเป็นการทำให้ท่านหญิงซูซูเสียหน้าไม่ใช่หรือ”

หลังจากเกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้น เกรงว่าพวกนางสองคนปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีกครั้ง ผู้อื่นจะเห็นว่านางเป็นพวกพ้องเดียวกับท่านหญิงซูซู หากนางทำเรื่องขายหน้าขึ้นมา เช่นนั้นก็ทำให้ท่านหญิงเสียหน้าหมด

คำพูดหยอกล้อ แต่กลับไม่น่าขัน

เสียงหัวเราะและพูดคุยในป่าท้อ ลมแผ่วเบาพัดผ่านโดยไร้ซึ่งเสียง ทำให้กลีบดอกไม้พริ้วไหว เวลานี้กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

ท่านหญิงซูซูเก็บสีหน้าทะเล้น กระเอมไอ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ตามหลักแล้ว สตรีชั้นสูงทุกคนที่มาร่วมงานเลี้ยงดอกท้อจะมาถึงสวนดอกท้อก่อนยามเฉิน[1] ไปถึงศาลาดอกท้อที่อยู่ในสวนดอกท้อก่อนยามซื่อ[2] เพื่อน้อมทำความเคารพสตรีผู้มีฐานันดรศักดิ์สูงสุดซึ่งเป็นเจ้าภาพในงานเลี้ยงดอกไม้ครั้งนี้”

เห็นมั่วเชียนเสวี่ยมองนางด้วยความตั้งใจ ท่านหญิงซูซูพูดต่อ “เรื่องต่อไปคือ องค์หญิงอวี้เหอเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงดอกท้อ ปีนี้องค์หญิงอวี้เหออายุสิบสามปี เป็นธิดาของฮองเฮา คือองค์หญิงที่มีฐานันดรศักดิ์สูงสุดในบรรดาองค์หญิงทั้งหมด ทั้งยังนิสัยดีที่สุดเช่นเดียวกัน”

ธิดาของฮองเฮา? เช่นนั้น…เกรงว่าวันนี้ต้องมีเรื่องเกิดขึ้นอีกแล้วแน่นอน นางล่วงเกินฮองเฮาสองครั้ง ฮองเฮาไม่ได้เรียกตัวนางเข้าวังหลวงอีกเลย เกรงว่าคงจะรอเจอนางที่งานนี้

รูม่านตาของมั่วเชียนเสวี่ยหดเล็ก สีหน้าผ่อนคลายของนางฉายความกังวล ท่านหญิงซูซูคิดว่าเพราะเรื่องบาดหมางเมื่อครู่ทำให้นางกลัวที่จะเจอองค์หญิง

จึงพูดปลอบโยน “แม้องค์หญิงอวี้เหอจะมีฐานันดรศักดิ์สูง แต่เชียนเสวี่ยไม่ต้องกังวล อวี้เหอนิสัยดี ไม่มีทางถือสาเรื่องมารยาทเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเวิงจู่ผู้โง่เขลาอย่างแน่นอน ข้าพาเจ้าเดินเล่นในป่าท้อ เราเดินชมดอกท้อเสร็จค่อยไปก็ได้”

ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน[3]! กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ดวงตาที่หรี่เล็กลงของมั่วเชียนเสวี่ยก็เบิกกว้าง ตอบ “อืม” เบาๆ เงยหน้าขึ้นแล้วคลี่ยิ้ม “ล้วนฟังซูซูทุกอย่าง…”

ตลอดการเดินเล่น ในป่าท้อ ระยะทางหลายลี้ แต่กลับไม่เห็นองครักษ์แม้แต่นายเดียว

มั่วเชียนเสวี่ยแปลกใจ อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “ป่าท้อกว้างใหญ่เช่นนี้ เหตุใดจึงไม่มีองครักษ์แม้แต่นายเดียว ไม่เกรงว่าจะมีคนมากตัณหาบุกมารบกวนสตรีชั้นสูง แล้วเกิดเรื่องไม่ดีงามหรือ”

เดิมทีเป็นเพียงคำพูดล้อเล่น แต่หลังจากถามออกไป ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในสมอง

“คนมากตัณหา?” ท่านหญิงซูซูตะลึงงันกับคำถามของนาง ดึงสติกลับมา ถ่มน้ำลาย รู้สึกว่ามั่วเชียนเสวี่ยน่าขันเล็กน้อย พูดหยอกล้อ “เชียนเสวี่ยคิดมากไปแล้ว ป่าแห่งนี้ปฐมจักรพรรดิเป็นผู้สร้าง ให้เหล่าสตรีชั้นสูงเที่ยวชมโดยเฉพาะ ตั้งแต่สวนดอกท้อเปิดมา ตลอดสามร้อยปีไม่เคยมีชายใดย่างกายเข้ามาก่อน คนที่คอยดูแลต้นท้อและงานอื่นๆ ล้วนเป็นสตรี”

“แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่มีข้อยกเว้น แล้วจะมีคนมากตัณหาโผล่มาได้อย่างไร” ขณะท่านหญิงซูซูพูดอธิบาย นางก็เขกหน้าผากมั่วเชียนเสวี่ยเบาๆ

มั่วเชียนเสวี่ยลูบหน้าผากที่ถูกเขก สีหน้าฉายความแปลกใจ จากนั้นตอบ ‘อืม’ ซูซูพูดต่อด้วยความภาคภูมิใจทันที “ที่แห่งนี้คือสวนของราชวงศ์ แม้ในสวนจะไม่มีองครักษ์ แต่ด้านนอกมีทหารราบเฝ้าดูแลความปลอดภัยถึงสามชั้น”

มั่วเชียนเสวี่ยพูดขึ้น “เช่นนั้นก็หมายความว่า แม้แมลงวันบินเข้ามา ก็ยังต้องดูก่อนว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย?”

ฮ่าๆ ท่านหญิงซูซูหัวเราะกับคำพูดล้อเล่นของมั่วเชียนเสวี่ย พูดตำหนิด้วยดวงหน้าแดงระเรื่อ “เจ้าช่วยจริงจังหน่อยได้หรือไม่ สตรีที่มาร่วมงานเลี้ยงนี้ ล้วนมีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง หากมีบุรุษลักลอบเข้ามา เกิดเรื่องไม่งามขึ้น ถือเป็นการทำผิดร้ายแรง ไม่เพียงบุรุษคนนั้นต้องถูกประหาร แม้แต่ตระกูลของเขาก็ต้องถูกขับไล่ คนมากตัณหาคนใดจะสามารถเข้ามา คนมากตัณหาคนใดจะกล้าเข้ามา”

บุตรีแห่งอ๋อง พูดได้น่าเกรงขาม ชั่วขณะหนึ่งทรงพลังยิ่งนัก

เหตุเพราะมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ตระหนักถึงความคิดที่แล่นเข้ามาเมื่อครู่ นางจึงเพียงแลบลิ้น แล้วยิ้มด้วยความซุกซน

[1] ยามเฉิน หมายถึง เวลาประมาณ 07.00 – 08.59 น.

[2] ยามซื่อ หมายถึง เวลาประมาณ 09.00 น. – 11.00 น.

[3] ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน หมายถึงไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็สามารถรับมือได้

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหนียงจื่อของคุณชายขี้โรคเพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที! ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่ ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?! เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset