องค์หญิงอวี้เหอเป็นเหมือนที่ท่านหญิงซูซูพูดเอาไว้จริงๆ อย่างน้อยเบื้องหน้าเป็นเช่นนี้ แลดูอ่อนโยน พิจารณาทุกอย่างด้วยความรอบคอบ มีความเป็นองค์หญิง กระทั่งเวลานี้ นางไม่แม้แต่จะมองมาที่ตน แต่ แผ่นหลังของมั่วเชียนกลับเย็นวาบ สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ส่งมาจากองค์หญิงอวี้เหอ เปี่ยมไปด้วยความทรงพลัง
นี่มันดอกบัวขาว[1]ชัดๆ!
ขณะพูดคุย อันเอ่อร์เยียนพูดเสนอแนะอีกครั้ง “ได้ยินว่าท่านหญิงซูซูร่ายรำงดงาม ในเมื่อการแข่งขันครั้งนี้เพิ่มการร่ายรำเข้ามา เช่นนั้นท่านหญิงซูซูโยนกระเบื้องล่อหยก[2]ดีหรือไม่”
อันเอ่อร์เยียนอายุสิบเจ็ด ร่วมงานเลี้ยงดอกท้อหลายครั้งแล้ว ทั้งยังเป็นผู้ชนะได้ครอบครองตราดอกท้อหลายครั้ง บิดาของนางเป็นข้าหลวงปกครอง มีความน่าเกรงขามระดับหนึ่ง เมื่อนางพูดเช่นนี้ ทำให้ผู้อื่นร่วมแสดงความคิดเห็น
มีคนประจบสอพลอ “ท่านหญิงซูซูร่ายรำงดงาม พวกข้าชื่นชมมานานแล้ว”
มีคนพูดเหน็บแนม “มีท่านหญิงซูซูอยู่ ตราดอกท้อในปีนี้ พวกข้าไม่มีวาสนาแล้วแน่นอน…”
มีคนแสดงความเป็นกลาง “นำโดยท่านหญิงซูซูย่อมเป็นเรื่องที่ดี…”
ท่านหญิงซูซูตรงไปตรงมา ขณะที่สตรีเหล่านั้นกำลังพูดคุยกันอยู่ นางก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังลานกว้างตรงกลาง “โยนกระเบื้องล่อหยกไม่ใช่ปัญหา แค่ว่าข้าเพียงร่วมสนุกด้วยเท่านั้น ไม่ร่วมการต่อสู้เพื่อชิงตราดอกท้อ!”
ทันทีที่นางกล่าวออกไป องค์หญิงอวี้เหอคลี่ยิ้มบางๆ กล่าวชื่นชมเล็กน้อย สตรีชั้นสูงสี่ห้าที่ก่อนหน้านี้สีหน้าฉายความสิ้นหวัง เวลานี้ดวงตาทอประกายและอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
ดนตรีบรรเลง! เริ่มการร่ายรำ…
งานเลี้ยงดอกท้อครื้นเครงยิ่งนัก ทว่าเวลานี้ในตระกูลหนิงกลับเย็นยะเยือก
……
ณ จวนหนิง
ดอกไม้ใบหญ้านานาพันธุ์เรียงรายเต็มสวน ต้นเถิงหลัวโบราณให้ร่มเงา เขียวขจีอุดมสมบูรณ์ สิ่งปลูกสร้างงดงาม คานไม้ลวดลายวิจิตร
ทว่า เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นบนทางเดินคดเคี้ยวด้านใน หรือว่าจะเป็นภายในเรือนหรูหราที่อบอุ่น ต่างเงียบอย่างผิดวิสัยเปี่ยมไปด้วยความเย็นยะเยือกและไอสังหาร
“คุณชายใหญ่กลับจวน…”
คุณชายใหญ่ที่จากจวนไปนานกว่าหนึ่งปีกลับมา พ่อบ้านหนิงนำทางด้วยตนเอง บรรดาบ่าวรับใช้และสาวใช้ในจวนต่างบอกกันเป็นทอดๆ เพียงชั่วขณะหนึ่ง ทั่วทั้งจวนหนิงต่างรู้ว่าหนิงเซ่าชิงกลับมาแล้ว
ส่วนลึกในจวน
ทว่า เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ บ่าวรับใช้ในจวนยืนเรียงเป็นสองแถวอย่างรู้หน้าที่ ให้การต้อนรับคุณชายใหญ่กลับจวน
ตอนแรกที่เซี่ยซื่อได้ยินว่าคุณชายใหญ่กลับมา นางนึกว่าตนหูฝาด รอให้สาวใช้วิ่งมารายงาน นางจึงมั่นใจว่าหนิงเซ่าชิงกลับมาแล้วจริงๆ
โยนกระถางดอกไม้ที่กำลังรดน้ำทิ้งทันที จากนั้นกระชับผ้าเช็ดหน้าแน่น แล้วเดินวนไปมาในห้อง ทำเอาสาวใช้ทุกคนตกใจจนคุกเข่ากับพื้น
ขณะที่นางบิดผ้าเช็ดหน้าจนเกือบขาด เซี่ยซื่อตัดสินใจ แต่งเนื้อแต่งตัวเล็กน้อยแล้วค่อยเดินออกจากห้อง
นางเป็นเถียนฝาง[3] ยามอยู่ต่อหน้ามารดาของหนิงเซ่าชิงต้องรักษามารยาท บารมีของผู้เป็นแม่มาจากบารมีบุตร หนิงเซ่าชิงเป็นบุตรชายคนโต กลับจวนหลังจากห่างบ้านไปนาน ไม่ว่าจะด้วยหลักความสัมพันธ์หรือหลักเหตุผล นางล้วนจำเป็นต้องออกไปต้อนรับ
ตอนนั้นนางเป็นคนยกยา ไปให้หนิงเซ่าชิงดื่มด้วยตนเอง แต่แล้วอย่างไรเล่า เขาไม่มีหลักฐาน ไม่ว่าอย่างไร นางก็เป็นแม่เลี้ยงของเขา เขาจะทำอะไรตนได้
อีกทั้ง ตำแหน่งของนางและเซ่าอวี่ในตระกูลหนิงก็ไม่ธรรมดาแล้ว
ชายชราที่รักหนิงเซ่าชิงมาโดยตลอดก็ใกล้ตาย หนิงเซ่าชิงหายตัวไปนานหนึ่งปีกว่า ตำแหน่งผู้สืบทอดหัวหน้าตระกูลในอนาคตที่ตัดสินไปแล้วนั้น ได้ยกเลิกตั้งแต่เขาหายตัวไปครบหนึ่งร้อยวันแล้ว ผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลหนิงพร้อมจะสนับสนุนบุตรชายของนางขึ้นตำแหน่ง
เดินไปถึงประตูกลาง หนิงเซ่าอวี่เองก็เดินมาจากอีกด้านหนึ่ง สองแม่ลูกมองตากัน นัยน์ตาของพวกเขาซ่อนเร้นลำแสงของดาบ ทั้งสองพยักหน้าให้กัน แล้วเดินไป
เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง หนิงเซ่าชิงมาถึงประตูกลางแล้ว
“ชิงเอ๋อร์กลับมาแล้ว…เหตุใดจึงไม่ส่งคนมาบอกข่าวก่อน แม่จะได้ไปต้อนรับที่ประตูใหญ่…” ดวงหน้าของเซี่ยซื่อเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“พี่ใหญ่กลับมาแล้ว…” ใบหน้าของหนิงเซ่าอวี่ก็เปี่ยมด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
เบื้องหน้ายิ้มแต่ภายในใจไม่ได้ยิ้ม
ไหนบอกว่าเขาตายในลำธารนั่นแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมีชีวิตรอดกลับมาได้
หนิงเซ่าชิงมองดูอ่อนโยน แต่ความเป็นจริงเยือกเย็นราวกับเหมันต์ เย็นยะเยือกจนผู้อื่นไม่กล้าล่วงเกิน เห็นทั้งสองเดินมาต้อนรับ รูม่านตาของเขาเพียงหดเล็ก เดินผ่านสองแม่ลูก โดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา จึงอย่าได้พูดถึงการพูดคุยกับพวกเขา เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีอะไรจะพูดกับสองแม่ลูกนี้อีก
เมื่อครู่ทั้งสองเพิ่งรู้ว่าตนยังมีชีวิต ข่าวถูกบิดเบือนถึงขั้นนี้ ช่างน่าสลดยิ่งนัก ระยะนี้เขาเคลื่อนไหวหลายต่อหลายครั้งในเมืองหลวง แต่ทั้งสองกลับถูกปิดอยู่ในกะลา เห็นชัดว่า ทั้งสองกลายเป็นหมากที่ผู้อื่นทอดทิ้งไปแล้ว
ถูกทอดทิ้งแต่กลับไม่รู้ตัว!
ทำชั่วด้วยตนเอง ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อ!
สองแม่ลูกขุ่นเคืองกับการเสียหน้า ภายในใจของพวกเขาคับแค้นยิ่งนัก ทว่าไม่แสดงออกมา
เดินตามหลังสองก้าว คล้ายเซี่ยซื่อกำลังยิ้มให้ “ชิงเอ๋อร์ไปที่ใดมา จึงไม่กลับมาตั้งหนึ่งปีกว่า ทั้งยังไม่ส่งคนมาบอกข่าว แม่เป็นห่วงยิ่งนัก เจ้าทราบเรื่องท่านพ่อของเจ้าหรือยัง คิดถึงเจ้าทุกคืนวัน เวลานี้ป่วยหนักถึงขั้นนอนติดเตียงแล้ว…”
นางกำลังด่าเขาทางอ้อมว่าลูกเนรคุณ!
เขาจะยอมรับความผิดข้อนี้ได้อย่างไร
หนิงเซ่าชิงหยุดเดิน เก็บความเยือกเย็นราวกับเหมันต์ เก็บแววตาเย็นยะเยือกจนผู้อื่นไม่กล้าล่วงเกิน เปลี่ยนเป็นผ่าเผยและชัดเจน รอยยิ้มอ่อนโยนที่สง่างามแต่งแต้มอยู่บนริมฝีปาก “นับจากนี้เรียกข้าว่าคุณชายใหญ่ ทางท่านพ่อข้าย่อมมีคำตอบ ไม่รบกวนอนุเซี่ยแล้ว” แม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่ากลับไร้ซึ่งความอบอุ่น ทั้งหมดล้วนเป็นความห่างเหินและเกรงใจ มากไปกว่านั้นแฝงการตักเตือน
ใบหน้าของหนิงเซ่าชิงมีรอยยิ้ม วาจาเปี่ยมไปด้วยความเกรงใจ แต่กลับทำให้เซี่ยซื่อตกตะลึงราวกับฟ้าผ่า
เขาเป็นบุตรสายตรงของภรรยาเอก เมื่ออยู่เบื้องหน้าเถียนฝางย่อมมีศักดิ์สูงกว่าหนึ่งระดับ ร้องเรียกนางว่าอนุ นางก็ทำได้เพียงยอมรับ ชีวิตนี้ สิ่งที่นางเกลียดชังที่สุดคือผู้อื่นเรียกนางว่าเถียนฝาง เวลานี้แย่ยิ่งกว่ากลับถูกเรียกว่าอนุแล้ว…
หนิงเซ่าชิงกล่าวจบ เดินตรงไปด้านหน้า เวลานี้ สองคนนี้ไม่ส่งผลต่ออารมณ์ของเขาแม้แต่น้อย
เซี่ยซื่อยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นแล้ว
อนุเซี่ย? เขาเรียกนางว่าอนุเนี่ยนะ! แม้ก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยเรียกนางว่าท่านแม่ แต่เคารพนางราวกับมารดาแท้ๆ มาโดยตลอด เวลานี้ไม่เพียงแต่ท่าทีที่เปลี่ยนไป แม้แต่คำเรียกยังกลายเป็นอนุภ! ในเมื่อเขาฉีกหน้ากันแล้ว เช่นนั้นนางก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำอีกต่อไป
นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะมีชีวิตรอดกลับมาได้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งจะต้องเผชิญหน้ากับเขา พวกคนที่ซุ่มโจมตีอยู่นอกเมืองเล่า พวกนักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองอวิ๋นฉี่เล่า ตายกันหมดแล้วหรืออย่างไร นอกจากนี้คำสัญญาของคนคนนั้นเล่า…
หัวใจของนางรู้สึกว่าเปล่า รู้สึกว่ากลัว สุดท้ายทั้งหมดรวมกันกลายเป็นลำแสงสังหาร หยุดฝีเท้าจับจ้องแผ่นหลังนั้น แล้วมองไปที่หนิงเซ่าอวี่ หมุนตัวหันหลัง
หนิงเซ่าอวี่ลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็เดินตามหลังหนิงเซ่าชิงต่อ เดินตรงไปด้านหน้า สิ่งที่เขาจะแย่งชิงคือตำแหน่งนั้น จะทำตัวเป็นเหมือนสตรี คิดเล็กคิดน้อยเรื่องสีหน้าได้อย่างไร
ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่รู้ หนิงเซ่าชิงมีชีวิตรอดกลับมาได้ เขาเสียโอกาสอีกแล้ว จะอยู่กับสตรีที่ไร้ประโยชน์เช่นนั้นต่อไปได้อย่างไร ต้องรีบสานสัมพันธ์พี่น้องต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
“คุณชายใหญ่กลับจวนแล้ว…ท่านหัวหน้าตระกูลมีเรื่องสำคัญ เรียกประชุมตระกูลโดยด่วน…”
ภายในจวนหนิง ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสของตระกูลที่อยู่นอกจวน ล้วนถูกหัวหน้าตระกูลเรียกตัวมาพร้อมกัน
ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสของตระกูลมาที่ศาลบรรพชนด้วยความรีบร้อน…
[1] ดอกบัวขาว หมายถึง เป็นคำแสลงจีน โดยมากใช้ด่าผู้หญิงที่ภายนอกดูใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ มีพฤติกรรมที่ไม่ดี
[2] โยนกระเบื้องล่อหยก หมายถึง การใช้สิ่งใดที่มีความคล้ายคลึงกันในการหลอกล่อศัตรู ให้ศัตรูเกิดความสับสนและต้องกลอุบายแตกพ่ายไป
[3] เถียนฝาง หมายถึง หญิงที่แต่งไปเป็นภรรยาของพ่อม่ายเมียตาย