ทุกคนเงียบ
หัวหน้าตระกูลหนิงหันไปมองหนิงเซ่าชิง แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความสุข “ความสามารถของชิงเอ๋อร์ เป็นที่ประจักษ์ต่อทุกคน” หันขวับกลับมากะทันหัน แววตาราวกับดาบที่แหลมคม น้ำเสียงเคร่งขรึม “ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเขาอำพรางตัวอยู่ด้านนอกนานแรมปี ไม่มีวันเจอตัวคนทรยศของตระกูล ไม่อาจขจัดเนื้อร้ายได้อย่างแน่นอน”
หนิงเซ่าชิงนั่งอยู่ในตำแหน่งคุณชายอันดับหนึ่งด้วยความมั่นคงมานานหลายปีแล้ว การที่พวกเขาโต้แย้งเป็นเพราะหนิงเซ่าชิงหายตัวไปหนึ่งปีกว่าโดยไร้ซึ่งการติดต่อ ไม่มีความรับผิดชอบต่อตระกูลแม้แต่น้อย เวลานี้คำพูดเพียงคำเดียวของหัวหน้าตระกูลมีความสำคัญอย่างมาก หนิงเซ่าชิงคือสายลับที่หัวหน้าตระกูลลอบส่งตัวออกไป เป็นแผนการ! ยอมลำบากเพื่อแผนการใหญ่ของตระกูล
“ตอนที่เซ่าชิงอำพรางตัวอยู่ด้านนอก เหตุเพราะคนทรยศในตระกูลยังไม่ถูกกวาดล้าง ข้าเองก็ไม่อาจพูดให้ชัดเจน ด้วยเหตุนี้ จึงทำได้เพียงลำบากเซ่าชิง…”
ทันทีที่หัวหน้าตระกูลพูดจบ ภายในห้องก็เงียบสงัด สำหรับการกระทำของหนิงเซ่าชิงตลอดหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้พวกเขาต่างรู้ดีแก่ใจ ทว่าไม่อาจบรรยายได้
ใบหน้าของหนิงเซ่าชิงเคร่งขรึม “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เซ่าชิงพึงกระทำ ตราบเท่าเซ่าชิงยังมีชีวิต ไม่มีวันยอมให้พวกคนชั่วอ้างสิทธิ์ได้แม้แต่น้อย” เขาไม่อาจทำลายความหวังที่ท่านพ่อมีให้เขา เขาไม่อาจยอมอีกต่อไปแล้ว เขาจำเป็นต้องนั่งอยู่บนตำแหน่งนั้น ยิ่งเร็วยิ่งดี
ทำงานหนักตลอดเจ็ดแปดวันที่ผ่านมาโดยไม่หลับไม่นอนและทุกสิ่งที่เขาลอบทำอย่างลับๆ เพียงพอจะทดแทนที่เขาใช้ชีวิตเงียบสงบมานานหนึ่งปีกว่าได้ เขาถามใจตนแล้วไม่รู้สึกละอาย
หัวหน้าตระกูลหนิงพยักหน้าให้เขา หันไปมองทุกคนในห้อง สีหน้าเคร่งขรึม “หากทุกท่านไม่มีความเห็นใด พรุ่งนี้ข้าอยากจะเปิดศาลบรรพชนอันเชิญบรรพชน แต่งตั้งหัวหน้าตระกูล”
ผู้อาวุโสใหญ่เงยหน้าขึ้นแล้วมองทุกคน หลังจากเขาสบตาผู้อาวุโสคนสนิททั้งหลาย พูดเกลี้ยกล่อม “เรื่องนี้ควรจะหารือกันอีกสักหน่อยดีหรือไม่”
หลังจากผู้อาวุโสใหญ่พูดจบ มองไปทางผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสรองกระเอมไอพูด “แต่งตั้งหัวหน้าตระกูลคนใหม่เป็นเรื่องใหญ่ของตระกูล ไม่อาจฉาบฉวยเช่นนี้”
ผู้อาวุโสสามพูด “เรื่องแต่งตั้งหัวหน้าตระกูลไม่รีบร้อน ควรวางแผนระยะยาวจะเป็นการดีกว่า”
ผู้อาวุโสห้าพูด “ตลอดหลายปีที่คุณชายเซ่าชิงอยู่ในตระกูล ทำงานมั่นคง สมควรเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไป แค่ว่าการเปิดศาลบรรพชนเป็นงานใหญ่ของตระกูล ต้องเชิญสำนักดาราศาสตร์มาดูฤกษ์ยามก่อนดีหรือไม่”
“ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของหัวหน้าตระกูล คุณชายใหญ่เป็นคนเด็ดขาด ทำงานด้วยความยุติธรรม เรื่องที่รับผิดชอบไม่เคยทำผิดพลาด ช่วยหัวหน้าตระกูลดูแลจัดการงานในตระกูลมานานหลายปี ไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสม ในเมื่อหัวหน้าตระกูลสุขภาพร่างกายย่ำแย่ ใคร่อยากจะลงจากตำแหน่ง เช่นนั้นการให้คุณชายมารับหน้าที่แทน ก็เป็นแผนการที่ดี มีเรื่องมากมายเช่นนี้ ผัดวันประกันพรุ่งไม่สู้แต่งตั้งโดยเร็ววัน”
ผู้ปกครองใหญ่มองจมูกของตน ไม่เงยหน้ามองผู้ใด ทว่าเสียงของเขาดังมาก ทั้งยังแสดงจุดยืนชัดเจน
ผู้ปกครองรองพูด “ตระกูลหนิงของเราไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยมาก่อน ทั้งยังไม่สนใจสายตาของผู้อื่น เลือกวันมงคลมิสู้เลือกวันที่เหมาะสม ในเมื่อหัวหน้าตระกูลกำหนดให้มีการแต่งตั้งวันพรุ่งนี้ เช่นนั้นพวกข้าย่อมสนับสนุน…”
ยังมีอีกหลายคนที่อ้ำอึ้งไม่ได้พูดอะไร คนพวกนี้คือคนที่หนิงเซ่าอวี่เคยให้ผลประโยชน์กับพวกเขา เมื่อเห็นสายตาคมเฉียบของหัวหน้าตระกูลกวาดมองมา คิดถึงผู้อาวุโสแปดที่เป็นตัวตั้งตัวดีได้ล่วงลับไปแล้ว จึงพูดไปว่า “เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านหัวหน้าตระกูล…”
หัวหน้าตระกูลหนิงพยักหน้าราวกับยกภูเขาออกจากอก “เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อทุกคนต่างสนับสนุนคุณชายอันดับหนึ่งเซ่าชิงขึ้นสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูล เช่นนั้น…”
ยังพูดไม่จบ เขาก็ไอค่อกแค่ก
ผู้ปกครองใหญ่พูดต่อ พูดเสียงดัง “พรุ่งนี้ฤกษ์ยามดี คืนนี้คุณชายใหญ่อาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด เปิดศาลบรรพชนยามเหม่า[1]ในวันพรุ่งนี้ อันเชิญบรรพชน แต่งตั้งหัวหน้าตระกูลคนใหม่”
……
ณ สวนดอกท้อ
ไม่นาน ปี้หวนถือชุดสีน้ำเงิน เดินนำชูอีเข้ามา
“คุณหนูเจ้าคะ” ชูอีเห็นเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนบนตัวมั่วเชียนเสวี่ย คิดว่าคุณหนูต้องถูกรังแกอย่างแน่นอน จึงรีบไปพยุงมั่วเชียนเสวี่ย “คุณหนูเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร แค่ปวดเมื่อยตามตัวเท่านั้น เมื่อรู้ว่าเป็นเพราะเมื่อครู่ผล็อยหลับไปครู่หนึ่งแล้วไม่สบายหรือไม่” ถ้อยคำนี้พูดกับชูอี แต่กลับพูดให้ปี้หวนฟัง
สตรีที่เพิ่งเสียพรหมจรรย์ ย่อมต้องรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว แต่ว่า ความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับตน แต่เกิดขึ้นกับปี้หวน
ความสงสัยของปี้หวนหายไปกว่าครึ่งเมื่อได้รับคำยืนยันจากผอจื่อทั้งสองที่เฝ้าประตู เวลานี้แม้นางจะรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวอย่างมาก แต่ก็ทำเพียงแค่อดทนเท่านั้น
ตอนนั้นนางหมดสติไป เมื่อตื่นขึ้นมาปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว ยามเดินก็สั่นเทา คาดว่า ต้องป่วยเป็นโรคร้ายอย่างแน่นอน ประเดี๋ยวกลับไปต้องเชิญหมอหญิงมารักษา
หากหมดสติกะทันหันยามปรนนิบัติรับใช้องค์หญิง เกรงว่าต้องถูกองค์หญิงไล่ออกเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความกังวลของปี้หวนหายไป ใบหน้าฉายรอยยิ้มร้ายกาจ วางเสื้อสีน้ำเงินชุดนั้นลง ทำความเคารพมั่วเชียนเสวี่ย พูดถามไถ่เล็กน้อยแล้วเดินออกไป
ในเรือนอื่นๆ มีเสียงพูดคุยหัวเราะของบรรดาสตรีชั้นสูง น่าจะมีสตรีชั้นสูงหลายคนเข้ามาพักผ่อนแล้ว มีเพียงเรือนเถาจิ่งเท่านั้นที่มีมั่วเชียนเสวี่ยพักเพียงคนเดียว
มั่วเชียนเสวี่ยรู้ดี แต่ชูอีไม่รู้ หลังจากส่งปี้หวนออกไป ชูอีก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้มั่วเชียนเสวี่ย แล้วถามด้วยความสงสัย “ตลอดทางที่ชูอีเดินมา ข้าเห็นเรือนอื่นครึกครื้นยิ่งนัก เหตุใดเรือนของเราจึงมีคุณหนูอยู่ตามลำพัง”
แน่นอนว่าชุดที่มั่วเชียนเสวี่ยใส่ย่อมเป็นชุดที่ชูอีนำมา ชุดสีน้ำเงินขององค์หญิง นางไม่แม้แต่จะแตะต้อง
เพราะเหตุใดน่ะหรือ… ประการแรกอยากให้นางอยู่ตามลำพัง ประการที่สององค์หญิงจะได้จัดการนางสะดวกยิ่งขึ้น หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จ ดวงหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยฉายความเย้ยหยัน แล้วพูด “มีอะไรให้ต้องแปลกใจ องค์หญิงเมตตา เห็นว่าข้าไม่สบาย นางกลัวว่าคนอื่นจะมารบกวนเวลาพักผ่อนของข้า”
ไม่ใช่ไม่เชื่อใจชูอี เพียงแต่บางเรื่อง เมื่อมีคนรู้มาก กลับกลายเป็นไม่ดี อีกทั้ง ที่นี่ไม่เหมาะจะพูด หากเผยธาตุแท้เกรงว่าจะไม่งาม
“องค์หญิงอวี้เหอมีเมตตาดังที่กล่าวขานกันจริงๆ”
“รู้หน้าไม่รู้ใจ ระวังตัวไว้เป็นการดีที่สุด” ถึงแม้ไม่อยากให้ชูอีทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แต่คำพูดของมั่วเชียนเสวี่ยมีการตักเตือน สีหน้าเคล้าไปด้วยความเคร่งขรึม “เหตุใดเจ้าจึงไปนานเช่นนี้”
หากนางคาดเดาไม่ผิด ก่อนที่บรรดาสตรีชั้นสูงจะรับประทานอาหารเสร็จ พวกสาวใช้ก็ควรจะรับประทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะได้รีบไปรับใช้คุณหนูของตนพักผ่อนตอนกลางวัน
ชูอีตอบด้วยความระมัดระวัง “ข้าไปรับประทานอาหารพร้อมกับสาวใช้คนอื่นๆ ระหว่างนั้นมีสาวใช้ในสวนดอกท้อเดินมาชนบ่าว ไม่เพียงแต่ไม่ขอโทษทั้งยังโวยวายเสียงดัง โต้เถียงกับบ่าวครู่หนึ่ง บ่าวต้องดูแลรับใช้คุณหนู แน่นอนว่าย่อมไม่อยากเสียเวลากับนาง แต่สาวใช้คนนั้นกลับไม่ยอม ดึงดันจะมีเรื่องกับบ่าว อีกทั้งอยู่ในสวนดอกท้อ บ่าวไม่อาจใช้วรยุทธ์ได้ รอให้บ่าวไปถึงโถงอาหาร อาหารก็ไม่เหลือแล้ว โชคดีที่แม่ครัวที่นั่นใจดี ทำให้บ่าวอีกหนึ่งชุด…”
วางแผนรอบคอบทุกด้านจริงๆ! ขณะที่ชูอีกำลังพูดอยู่นั้น สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยเยือกเย็น
ชูอีเห็นคุณหนูของตนสีหน้าไม่สบอารมณ์ จึงพูดต่อ “ตอนแรกบ่าวคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น แต่เวลานี้เห็นเสื้อผ้าของคุณหนูเปรอะเปื้อน รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก คุณหนูใหญ่ คุณหนูเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เป็นเช่นไร แค่เพียงผล็อยหลับไปครู่หนึ่งเท่านั้น” มั่วเชียนเสวี่ยทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วเจ้าค่ะ มิเช่นนั้น บ่าวสมควรตาย” ชูอีโล่งอก “เมื่อครู่คุณหนูบอกว่าปวดเมื่อยตัว เช่นนั้นให้ข้านวดให้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม” ไม่มีเรื่องอะไร นวดเล็กน้อยก็ดีเหมือนกัน
ขณะที่ชูอีกำลังนวดให้นางอยู่นั้น ด้านนอกก็มีเสียงหวานดังขึ้น “คุณหนูมั่วกำลังพักผ่อนอยู่หรือเจ้าคะ”
[1] ยามเหม่า หมายถึง เวลาประมาณ 05.00 น. – 07.00 น.