หัวหน้าผู้คุมคิดไตร่ตรองดูแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีคนในครอบครัว คาดว่าคงไม่มีผู้ใดมาช่วยนาง ดังนั้นจึงรับนางเข้ามาในคุกหลวง
เวลานี้ซูชีหยิบยกกฎระเบียบมาพูด เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะโต้กลับอย่างไร หากปล่อยมั่วเชียนเสวี่ย นี่ก็เป็นรับสั่งขององค์หญิง รับคนเข้ามาแล้ว ทั้งยังจะมีพระราชโองการของฮ่องเต้ตามมา แต่หากไม่ปล่อย เวลานี้มีคนของตระกูลซูลุกขึ้นมาพูด ทำไม่ถูกกฎระเบียบจริงๆ
เข้าๆ ออกๆ? คุกหลวงไม่ใช่การละเล่นของเด็กน้อย!
ขณะที่หัวหน้าผู้คุมกำลังลังเลอยู่นั้น เสียงของมั่วเหนียงก็ดังมาจากด้านใน “ท่านรองแม่ทัพซูกลับไปเถอะเจ้าค่ะ”
เกิดเสียงดังขึ้นที่นี่ แน่นอนว่ามั่วเชียนเสวี่ยที่อยู่ด้านในย่อมได้ยิน นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วบอกมั่วเหนียงให้เกลี้ยกล่อมซูชีออกไป
ซูชีได้ยินเสียงจึงเดินเข้าไปหา เขาไม่จำเป็นต้องยื่นมือขึ้นผลัก หัวหน้าผู้คุมก็หลีกทางให้ด้วยตนเอง
เขามองเข้าไปด้านในผ่านหน้าต่างบนประตูเหล็ก
มั่วเชียนเสวี่ยยังคงสวมชุดสีฟ้าคราม นั่งอยู่บนเตียงในห้องคุมขัง นางนิ่งสงบราวกับนั่งอยู่ในห้อง มั่วเชียนเสวี่ยนั่งหลับตา นอกจากปิ่นบนผมแล้ว นางไม่มีเครื่องประดับใดๆ ดวงหน้าของนางยิ่งไม่มีพวกเครื่องประทินผิว ทว่า ผิวของนางกลับขาวราวกับหิมะ ดวงหน้างดงามที่อยู่ภายใต้แสงไฟสลัวฉายความบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ไม่อาจดูแคลนได้แม้แต่น้อย
สตรีที่เขาเฝ้าคิดถึงทุกวัน คล้ายไม่ได้มีปฏิกิริยามากมายต่อการมาของเขา สวรรค์เท่านั้นที่รู้ ตอนที่เขาได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับนาง เขาแทบจะกระโจนออกมา ทั้งยังใช้เส้นสายของตระกูลซูทุกอย่าง กว่าจะเข้ามาหานางได้
หากคนที่มาคือหนิงเซ่าชิง เกรงว่านางคงจะลุกขึ้นจากเตียง วิ่งมาทางนี้แล้วกระมัง
ตั้งแต่เข้าเมืองหลวงกระทั่งวันนี้เพิ่งแปดวันเท่านั้น ทว่า แปดวันที่ผ่านมานี้นางกลับมีชีวิตที่ยากลำบาก แค่เพียงคิดถึงเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับนาง นึกถึงบาดแผลบนหน้าผากของนาง เขาก็ปวดใจอย่างยิ่ง!
เวลานี้ เขาคับแค้นใจยิ่งนัก คับแค้นใจในความไร้หัวใจของหนิงเซ่าชิง เขาได้ยินว่าหนิงเซ่าชิงกลับตระกูลหนิงแล้ว เขาได้ยินว่าพรุ่งนี้หนิงเซ่าชิงจะขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล เขาได้ยินว่า…
แต่ เท่าที่เขารู้ หนิงเซ่าชิงไม่เคยมาเยี่ยมมั่วเชียนเสวี่ย ไม่เคยให้ความช่วยเหลือมั่วเชียนเสวี่ยแม้แต่น้อยไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง…
เขารู้สึกไม่ยุติธรรมแทนมั่วเชียนเสวี่ย!
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ แม้เขาไม่เคยถามมั่วเชียนเสวี่ยเกี่ยวกับเรื่องของนางและหนิงเซ่าชิง แต่ว่า จากสีหน้าของนางเขาพอจะเดาได้บ้างเล็กน้อย หนิงเซ่าชิงต้องให้คำมั่นสัญญาบางอย่างกับนางแล้วแน่นอน จึงทำให้นางรอด้วยความนิ่งสงบเช่นนี้
ซูชีไม่สนใจคำพูดของมั่วเหนียง แต่ยืนร้องตะโกนด้านนอกประตูเหล็ก “ยังไม่เปิดประตูห้องคุมขังอีกหรือ”
“รองแม่ทัพซูได้โปรดอย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลยขอรับ” แม้หัวหน้าผู้คุมจะยังคงยืนยันคำเดิม แต่น้ำเสียงของเขาเริ่มยอมแพ้แล้ว
ซูชีถอนหายใจ ข่มความขุ่นเคืองเอาไว้ “เจ้าเปิดก่อน ข้าเพียงเข้าไปคุยกับนางเท่านั้น”
หัวหน้าผู้คุมหยิบกุญแจประตูเหล็กขึ้นมา “หากคุณชายซูมีเรื่องจะพูด เช่นนั้นได้โปรดเร็วหน่อยขอรับ ประเดี๋ยวหากพระราชโองการของฝ่าบาทมาถึง ข้าน้อยได้แต่ทำตามหน้าที่เท่านั้น” หลังจากพูดกำชับเสร็จ หัวหน้าผู้คุมเดินกลับไปยังโต๊ะที่ก่อนหน้านี้เขานั่งดื่มสุราอย่างรู้ตัว หยิบจอกสุราขนาดเล็กขึ้นมา แล้วทำความเคารพผู้คุมที่ตายไปแล้ว จากนั้นนั่งลง ยกสุราขึ้นดื่มราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ทำงานด้านนี้ เขาพบเจอศพมามากมาย
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเคยเตือนผู้คุมคิ้วดกแล้ว บอกให้เขาอย่าคิดไม่ซื่อ ผู้คุมคิ้วดกรนหาที่ตายเอง ไม่อาจตำหนิเขาได้ คาดว่าตระกูลซูก็คงไม่ใจร้ายกับครอบครัวของผู้คุมคิ้วดกนัก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเขาต้องฝืนออกหน้าด้วยเล่า
ซูชีเปิดประตูห้องคุมขังแล้วเดินเข้าไปด้านใน มั่วเชียนเสวี่ยลืมตาขึ้น
ทุกครั้งที่พบเจอซูชี ใบหน้าของเขาล้วนยิ้มแย้ม มั่วเชียนเสวี่ยไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่ยิ้มแย้มตลอดเวลาและทำทุกอย่างตามใจต้องการเช่นเขา จะเปี่ยมไปด้วยความขุ่นเคืองและเยือกเย็นเช่นนี้
การที่ซูชีเป็นเช่นนี้คาดว่าน่าเป็นเพราะเดือดร้อนแทนตน ยามลำบากเห็นใจคน ภายในใจของมั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย นางลงจากเตียง เหยียดกายลุกขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้ใดทำให้คุณชายผู้มีรูปโฉมงดงาม ทำทุกอย่างตามใจต้องขุ่นเคืองเช่นนี้”
เป็นการยากนักที่ซูชีจะเคร่งขรึม เขาขมวดคิ้วเป็นปมพูด “เวลานี้แล้ว เจ้ายังมีอารมณ์พูดจาล้อเล่นอีก ไปกับข้า ข้าจะพาเจ้ากลับไป” มั่วเชียนเสวี่ยรับรู้ถึงความหวังดีของเขา แต่ไม่ได้รับเอาไว้ “กลับไป? กลับไปที่ใด จวนกั๋วงกงเช่นนั้นหรือ ข้าไม่กลับ” หากไม่เอาคืนคนที่คิดอยากจะสังหารนางให้สาสม นางไม่มีวันกลับไปเด็ดขาด “เชียนเสวี่ยขอบอกเจ้าตามตรง เชียนเสวี่ยยินดีที่จะเข้ามาด้วยตนเอง เวลานี้ไม่อาจออกไปได้ และไม่อยากออกไปด้วย”
ซูชีไม่เข้าใจ เดินเข้าไปถาม “เพราะเหตุใด”
มั่วเชียนเสวี่ยถอยหลังหนึ่งก้าว ทำทีดึงไส้เทียน ทางด้านมั่วเหนียงถอยไปยืนติดกับประตูเหล็ก ยืนอยู่ตรงช่องประตูแล้วมองไปครั้งนอก
“ทวนที่มาอย่างเปิดเผยหลบเลี่ยงง่าย แต่ธนูที่ลอบโจมตียากจะหลบเลี่ยง ข้าเพียงอยากฉวยโอกาสนี้ บีบหนองที่ควรบีบ สิ่งใดควรทำให้กระจ่างก็ควรจัดการให้เรียบร้อย วันข้างหน้าตนจะได้มีเรื่องที่ต้องคอยกังวลน้อยลง”
แสงไฟสั่นไหว ส่องสว่างและมอดดับเป็นครั้งคราว กระทบลงบนดวงหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยเป็นแสงสลัว ทำให้หัวใจของซูชีหวั่นไหวไปด้วย “เชียนเสวี่ย เจ้ายังเห็นข้าเป็นสหายหรือไม่”
สีหน้าของซูชีอ่อนโยนในชั่วพริบตา ความอ่อนโยนของเขาอบอวลไปทั่วหัวใจราวกับแสงจันทร์อบอุ่นด้านนอก คล้ายยืนอยู่บนขอบเหวลึกที่งดงาม ส่วนลึกในใจสั่นเทา ราวกับคลื่นน้ำ
แววตาจดจ่อเช่นนี้ เขาเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน แม้เวลานี้จะไม่มีความรักระหว่างชายหญิง แต่เวลานี้นัยน์ตาของนางมีเขาเพียงคนเดียว “เจ้าอยากทำสิ่งใดล้วนบอกข้าได้ทุกอย่าง ข้าย่อมช่วยเจ้า เจ้าไม่จำเป็นเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงเช่นนี้”
คิดไม่ถึงว่า ทะลุมิติมายังโลกประหลาดนางจะเจอมิตรภาพที่จริงใจเช่นนี้ มีเพื่อนที่ดีเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของเจ้า ข้าเพียงขอให้เจ้ายืนดูอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”
หัวใจของซูชีส่องสว่างเพราะรอยยิ้มนี้ นึกถึงความสวยงามของนางเมื่อครั้นตอนที่พวกเขาอยู่ในรถม้าด้วยกัน “ข้า…ข้ากลัวว่าเจ้าจะถูกลอบทำร้าย เจ้าไม่รู้ ในคุกหลวงแห่งนี้ โสมมยิ่งนัก…”
เมื่อเขาพูดขึ้น มั่วเชียนเสวี่ยนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นทันที นางไม่เคยเป็นฝ่ายเข้าหาบุรุษคนใดเช่นนั้นมาก่อน แม้แต่กับหนิงเซ่าชิง ก็ไม่เคย จึงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
ทว่า ดวงแก้มแดงระเรื่อที่เกิดจากความเขินอายถูกแทนที่ด้วยความเหี้ยมโหดในใจอย่างรวดเร็ว นางหรี่ตาลง “ถูกลอบทำร้ายได้สำเร็จหนึ่งครั้งเป็นเพราะความใสซื่อ หากถูกลอบทำร้ายสำเร็จอีกหนึ่งครั้งเป็นเพราะโง่เขลา เจ้าคิดว่าข้าเหมือนคนโง่หรือ” นางไม่ใช่นางคนเดิมในอดีตมานานแล้ว ไม่ใช่คนที่จะวางแผนทำร้ายได้ง่ายๆ อีกแล้ว
“ข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าโง่ แต่ว่าสถานที่เช่นนี้ไม่เหมาะกับสตรี เจ้าอยู่ที่นี่ ข้า…” ถ้อยคำที่อยากจะพูดคือคำว่าปวดใจ แต่สิ่งที่เขาเปล่งออกไปกลับเป็นคำว่า “ข้าเป็นห่วง”
เขาอยากจะสารภาพรักกับนาง แต่เขาไม่เคยมีโอกาส
มั่วเชียนเสวี่ยฟังความหมายที่แฝงเอาไว้ไม่ออก เป็นเพียงมิตรภาพที่ล้ำค่าระหว่างเพื่อนเท่านั้น นางจึงพูดด้วยความจริงใจ “ขอบใจเจ้ามาก!”
นางไม่เคยคิดด้านนั้นมาก่อน เป็นเพราะจดจำเหตุการณ์กระอักกระอ่วนนั้นได้อย่างดี วิญญาณของนางมาจากยุคปัจจุบัน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความบริสุทธิ์มากถึงขั้นนั้น หากเรื่องในครั้งนั้นเกิดขึ้นจริงๆ นางก็ไม่โกรธซูชี
นางไม่เคยเชื่อว่าบนโลกใบนี้จะมีบุรุษที่จิตใจมั่นคงแน่วแน่ จะไม่แตะต้องตัวสตรีเพียงเพราะไม่ได้รักนางเท่านั้น…