ฉังฮูหยินคือคนแรกที่แม่บุญธรรมแนะนำให้รู้จัก ทั้งยังนั่งข้างแม่บุญธรรม คาดว่าคงมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับแม่บุญธรรม มั่วเชียนเสวี่ยโน้มตัวลงทำความเคารพ พูดด้วยความสุภาพ “น้อมทำความเคารพฉังฮูหยิน!”
ฉังฮูหยินเหยียดกายลุกขึ้นแล้วพยุงมั่วเชียนเสวี่ย สีหน้าประหม่าเล็กน้อย “คุณหนูมั่วมากพิธีแล้ว”
จากถ้อยคำของฮูหยิน มั่วเชียนเสวี่ยก็พอจะรู้ดีแก่ใจ ตั้งแต่ฉังฮูหยินเห็นนางกระทั่งเวลานี้ ตอบนางด้วยความสุภาพเท่านั้น น้ำเสียงไม่มีเจตนาร้าย และไม่มีความอบอุ่น คาดว่าคงจะวางตัวเป็นกลาง
แม่บุญธรรมแนะนำฉังฮูหยินให้รู้จักเป็นคนแรก นอกจากนี้ฉังฮูหยินยังนั่งข้างแม่บุญธรรม คาดว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับแม่บุญธรรมอยู่บ้าง ขอเพียงฉังฮูหยินไม่ซ้ำเติมนางก็พอแล้ว ยามที่นางจัดการฮูหยินเหล่านั้น จะได้ไม่ต้องลำบากใจเพราะเห็นแก่หน้าแม่บุญธรรม
ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยกำลังลอบวางแผนในใจ จย่าฮูหยินก็พานางไปทำความรู้จักกับฮูหยินอีกคนหนึ่ง “ท่านนี้คือถานฮูหยินหนึ่งในฮูหยินซันกงเป็นภรรยาของมหาราชาจารย์”
มั่วเชียนเสวี่ยยังคงโน้มตัวลงทำความเคารพ “น้อมทำความเคารพถานฮูหยิน”
ถานฮูหยินพยักหน้า ท่าทีของถานฮูหยินและฉังฮูหยินเหมือนกัน
คล้ายว่าจย่าฮูหยินไม่ได้รู้สึกแปลกใจ จับมือนางแล้วหันหลังไปอีกทางหนึ่ง จากนั้นชี้ไปยังฮูหยินทั้งสองที่ดูถูกนางทันทีที่เดินเข้ามา “ท่านผู้นี้คือเซี่ยฮูหยินภรรยาของมหาองครักษ์ ส่วนท่านนี้คืออันฮูหยินภรรยาของอัครมหาเสนาบดีที่มาเป็นเพื่อน…”
จย่าฮูหยินยังคงขุ่นเคืองท่าทีเมื่อครู่ของทั้งสองที่มีต่อมั่วเชียนเสวี่ย ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำทั้งสองพร้อมกัน ไม่เพียงแค่นี้ ขณะแนะนำสีหน้าแสดงให้รู้ว่าแนะนำเป็นพิธีเท่านั้น
ในเมื่อแม่บุญธรรมแสดงท่าทีของตนชัดเจนแล้ว เช่นนั้นแน่นอนว่ามั่วเชียนเสวี่ยก็ทำได้เพียงโน้มตัวทำความเคารพเป็นพิธีเช่นเดียวกัน “น้อมทำความเคารพฮูหยินทั้งสองเจ้าค่ะ”
หลังจากทำความเคารพก็ไม่ได้มองฮูหยินทั้งสองคน เดินตามจย่าฮูหยินที่จับมือนางแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างจย่าฮูหยิน ขอเพียงทำความเคารพแล้ว เช่นนั้นก็ไม่กลัวพวกนางมาหาเรื่อง
เซี่ยฮูหยินและอันฮูหยินล้วนเป็นมือดีของเรือน มีหรือที่จะไม่เข้าใจความห่างเหินนี้ แต่กลับไม่เอาเรื่องได้
พวกนางบอกได้หรือว่าจย่าฮูหยินไม่แนะนำตนให้ลูกบุญธรรม จย่าฮูหยินเป็นภรรยาของท่านจย่าหัวหน้าสำนักวิชาการ มียศถาบรรดาศักดิ์เทียบเท่ากับภรรยาผู้อาวุโสในราชสำนัก
การแนะนำตัวเช่นนี้เดิมทีพวกนางที่เป็นผู้น้อยควรจะเป็นคนแนะนำ เวลานี้ฝ่ายนั้นนับถือกันเป็นแม่ลูกบุญธรรมแล้วทำในสิ่งที่พวกนางซึ่งเป็นผู้น้อยควรกระทำ แล้วพวกนางจะไปร้องเรียนที่ใดได้
เซี่ยฮูหยินหัวเราะในลำคอ อันฮูหยินวางถ้วยน้ำชาลง “อืม คนมากันพร้อมแล้ว ทั้งยังแนะนำตัวเสร็จแล้ว ฮ่องเต้และบรรดาข้าราชบริพารน่าจะรอจนร้อนใจแล้ว รีบทำเรื่องที่พึงกระทำเถอะ”
คือนางเองที่รอจนร้อนใจ เวลานี้นางอยากจะฉีกหน้ามั่วเชียนเสวี่ย ให้นางรู้ว่าผู้ใดกันแน่ที่ต่ำทราม! หลังจากนั้นค่อยดูสีหน้าอันเหี่ยวย่นของจย่าฮูหยิน ที่นึกเสียใจทีหลัง…
มหาราชครูและมหาองครักษ์ขัดแย้งกันมาโดยตลอด การที่เรื่องนี้ฉังฮูหยินวางตัวเป็นกลางเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมาย ทางด้านท่านจย่าไม่สนใจเรื่องในราชสำนักมานานหลายปีแล้ว เดิมทีคิดว่าจะมาเพื่อความครึกครื้นเท่านั้น ทว่าคิดไม่ถึงกลับได้บุตรีบุญธรรมไปหนึ่ง
ถานฮูหยินภรรยาของมหาราชาจารย์ถานสามารถดึงมาเป็นพวกพ้องได้ แต่ว่ามีพระชายาจิ่งชินอ๋องออกหน้าปกป้องมั่วเชียนเสวี่ย ถานฮูหยินก็ไม่อาจขัดเจตนาของพระชายาจิ่งชินอ๋อง ย่อมต้องให้เกียรติพระชายาจิ่งชินอ๋อง
เดิมทีคิดว่ามั่วเชียนเสวี่ยต่อสู้ตามลำพัง สามารถทำให้นางอับอายอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายเวลานี้ทั้งสองฝ่ายกลับมีอำนาจไล่เลี่ยกัน
หลังจากลำแสงแล่นผ่านแววตาของเซี่ยฮูหยิน เอ่ยวาจาเห็นด้วยกับคำพูดของอันฮูหยิน “เรื่องนับญาติและพูดคุยกันนั้นในอนาคตยังมีโอกาสอีกมาก พวกเรามาที่นี่เป็นเพราะได้รับคำเชิญจากองค์หญิงอวี้เหอ มาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณหนูมั่ว แน่นอนว่าสิ่งที่ควรทำคือทำเรื่องสำคัญ”
แม้จย่าฮูหยินจะจิตใจดี แต่ไม่ใช่คนที่จะสามารถรังแกได้ เวลานี้ก็ไม่อ้อมค้อม สีหน้าแสดงความไม่พอใจ น้ำเสียงเยือกเย็นขึ้นมากะทันหัน “ก็ดี เช่นนั้นขอเชิญเซี่ยฮูหยินและอันฮูหยินร่วมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของบุตรีข้า”
เวลานี้เป็นต้นฤดูวัสสันต์ อากาศเริ่มอบอุ่น มั่วเชียนเสวี่ยสวมชุดเพียงสามชั้นเท่านั้น เวลานี้นางเองก็ไม่ได้พูดอะไร ถลกแขนเสื้อของตนเองขึ้น เผยให้เห็นจุดสีแดงตรงกลางแขน
แน่นอนว่าจย่าฮูหยินเพียงกวาดตามองก็เห็นแล้ว นางพยักหน้า นั่งลงบนโต๊ะแล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นด้วยสีหน้าสบายใจ
พระชายาจิ่งชินอ๋องก็เห็นแล้วเช่นกันนางยิ้มแล้วจิบน้ำชา ถานฮูหยินและฉังฮูหยินเพียงไอแห้งๆ สองครั้งแล้วกลับไปนั่งที่ของตนเอง
แน่นอนว่าเซี่ยฮูหยินและอันฮูหยินก็เห็นแล้วเช่นเดียวกัน ทว่า สีหน้าของพวกนางไม่ได้ฉายความแปลกใจ ดวงหน้าของพวกนางฉายความลำพองใจและเย้ยหยันเล็กน้อย
เป็นจริงตามที่ฮองเฮากล่าว แขนของมั่วเชียนเสวี่ยยังคงมีจุดสีแดงคล้ายแต้มพรหมจรรย์ แต่น่าเสียดาย แต้มพรหมจรรย์นี้เป็นของปลอม แต่นางกลับไม่รู้เลย ช่างน่าสงสารเสียจริง!
เวลาเดียวกันที่สูญเสียความบริสุทธิ์ก็แต้มพรหมจรรย์ขึ้นมา หมายจะหลอกหลวงฮ่องเต้ หลอกลวงทุกคน…
เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาเดียวกันที่โทษของนางร้ายแรงมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงมีความผิดฐานไม่ซื่อสัตย์ ทั้งยังประพฤติตัวไม่ดี วางตัวไม่เหมาะสม ไร้ความน่าเชื่อถือและไร้ความชอบธรรม…
อันฮูหยินไม่อาจข่มความดูแคลนในใจเอาไว้ได้อีกแล้ว บอกกับนางกำนัลที่เฝ้าประตู “ไปเอาน้ำสะอาดมา…”
“เจ้าค่ะ” นางกำนัลออกไปยกน้ำสะอาดมาตามคำสั่ง เพียงครู่หนึ่งก็ยกน้ำสะอาดที่เตรียมพร้อมเอาไว้ตั้งแต่แรกมา
การที่สั่งให้ยกน้ำสะอาดมาแน่นอนว่าเป็นเพราะไม่พอใจ ทั้งยังเคลือบแคลงสงสัย
สีหน้าของจย่าฮูหยินฉายความขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่ไม่ได้ห้ามปราม คนบางคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา! หากไม่ให้นางตายใจ ก็ไม่มีวันหยุด
นางไม่ใช่คนโง่ นางเห็นความผิดปกติตั้งแต่เห็นสีหน้าของอันฮูหยินและเซี่ยฮูหยินแล้ว แต่เมื่อมองไปยังมั่วเชียนเสวี่ย มั่วเชียนเสวี่ยกลับยิ้มปลอบโยนนางด้วยความมั่นใจ
หลังจากวิเคราะห์คนทั้งสองนางก็รู้ทันที ต้องมีเงื่อนงำบางอย่างแน่นอน ทว่า เงื่อนงำนี้สตรีที่เพิ่งเป็นบุตรีบุญธรรมของตนจัดการเรียบร้อยแล้ว
นางกำนัลยกกะละมังเข้ามาจากนั้นยืนอยู่ข้างๆ เซี่ยฮูหยินหยิบผ้าขึ้นมาชุดน้ำเล็กน้อย ยกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มอ่อนๆ นางเคลื่อนไหวช้ายิ่งนัก และแปลกประหลาดอย่างมาก คล้ายกำลังเพลิดเพลินกับบางอย่าง และคล้ายกำลังรอดูละครฉากใหญ่
ดวงหน้าของอันฮูหยินเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ทว่า ในสายตาของมั่วเชียนเสวี่ยคือเบื้องหน้ายิ้มแย้มแต่ข้างในจิตใจกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เซี่ยฮูหยินเช็ดเบาๆ แล้วจับจ้อง ทว่าแต้มสีแดงนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง รอยยิ้มบนมุมปากของนางนิ่งค้าง ไม่เชื่อสิ่งที่ตนเห็น หลังจากสบตากับอันฮูหยิน ก็เช็ดแรงขึ้น
รอให้นางเอาผ้าเช็ดหน้าออกด้วยความระมัดระวัง แต้มสีแดงนั้นยังคงอยู่ ทว่าผิวหนังบริเวณนั้นถูกนางเช็ดจนแดงเล็กน้อยแล้ว ขับให้แต้มสีแดงนั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น เซี่ยฮูหยินเบิกตากว้าง ความมั่นใจสลายกลายเป็นควันแล้วจางหาย ร้องตะโกนอย่างเสียการควบคุม “เป็นไปไม่ได้!”
จย่าฮูหยินกระแทกถ้วยน้ำชากับโต๊ะอย่างแรง ปรายตามองเซี่ยฮูหยิน พูดตำหนิเสียงเหี้ยม “เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้” เซี่ยฮูหยินไม่สนใจที่จะโต้กลับสายตาดูแคลนของจย่าฮูหยิน รีบเอาผ้าชุบน้ำ แล้วเช็ดแต้มพรหมจรรย์สีแดงของมั่วเชียนเสวี่ย
แขนขาวเนียนของมั่วเชียนเสวี่ยถูกเช็ดจนแดงก่ำทันที เซี่ยฮูหยินแทบอยากจะเช็ดให้ผิวหนังหลุดลอก
ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยกลับนิ่งงัน เพียงหัวเราะเยือกเย็นแล้วพูด “เซี่ยฮูหยินคิดอยากจะเช็ดผิวหนังของเชียนเสวี่ยจนหลุดลอกหรือเจ้าคะ”
เซี่ยฮูหยินถูกมั่วเชียนเสวี่ยเย้ยหยัน นางตกใจแล้วหยุดการกระทำของตนทันที!
เห็นชัดว่าอันฮูหยินไม่เชื่อผลลัพธ์นี้ เอาผ้าชุบน้ำ เช็ดแขนของมั่วเชียนเสวี่ยอีกครั้ง มั่วเชียนเสวี่ยดึงแขนกลับ ปล่อยแขนเสื้อลง พูดเสียงทุ้มต่ำ “ฮูหยินทั้งสอง พวกท่านพอใจหรือยังเจ้าคะ”