เดิมนึกว่าจะไม่มีใครเอ่ยขึ้นมาอีก เรื่องนี้จะได้ผ่านไป แต่จะไปรู้ได้อย่างไรว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะไม่รู้จักดูทิศทางลมของสถานการณ์เช่นนี้!
และเมื่อนางเอ่ยออกมาแล้ว ณ ที่ตำหนักแห่งนี้ ฮ่องเต้ก็ทำได้เพียงแค่ตัดสินให้นางอย่างเป็นธรรม!
ฮ่องเต้มีสีพระพักตร์นิ่งขรึมไม่พูดไม่จา ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยก็ยังคงราดน้ำมันลงบนกองไฟต่อไป “หม่อมฉันฐานะต่ำต้อย เดิมก็ไม่ควรจะเรียกร้องเช่นนี้จนทำให้ฝ่าบาทต้องลำบากใจ ทว่าฝ่าบาทเป็นผู้ทรงปรีชาญาณ ถ้าหากว่าปล่อยให้ตัวการหลักที่อยู่เบื้องหลังหลบหนีลอยนวลไปได้ในตอนนี้ การที่หม่อมฉันได้รับความไม่เป็นธรรมนั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่เกรงว่าจะส่งเสริมให้เกิดคลื่นลมที่ไม่ดี ทั่วทุกหนแห่งเต็มไปด้วยการใส่ไคล้ฉ้อโกง ถึงตอนนั้นประชาชนในเมืองหลวงล้วนเกิดความระแวดระวัง จิตใจคนเรานั้นไม่นิ่ง…”
ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่จิตใจคนเราไม่นิ่งก็คือ แว่นแคว้นจะวุ่นวายโกลาหลแน่นอน! ถึงจะไม่เอ่ยวาจานี้ออกมา แต่จะมีขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงคนไหนบ้างที่ฟังไม่ออก
วาจานี้แทงใจทุกคำ ทุกประโยคคมราวกับใบมีด หาข้อตำหนิไม่พบแต่น้อย
มั่วเชียนเสวี่ยลอบหัวเราะในใจโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน นางดูละครโทรทัศน์มาเยอะขนาดนี้ ถ้าหากว่ากระทั่งความคิดพวกนี้ยังกล่าวออกมาไม่ได้ จะไม่เป็นการดูเสียเปล่าอย่างนั้นหรือ
ฮ่องเต้สีพระพักตร์ซับซ้อนเป็นอย่างมาก บัณฑิตจย่าที่อยู่เบื้องล่างก็เป็นผู้นำในการแสดงท่าทีเห็นด้วยกับวาจาของมั่วเชียนเสวี่ย บัณฑิตชราผู้นี้ไม่เข้าข้างผู้ใด ยามนี้เขาไม่ได้ทวงความยุติธรรมให้กับมั่วเชียนเสวี่ย แต่มีความคิดเหมือนกับที่นางกล่าวเท่านั้นเอง
เมื่อมีบัณฑิตจย่าเป็นผู้นำ ย่อมมีขุนนางหลายคนก้าวออกมาแสดงท่าทีเห็นด้วย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์หรือเหตุผล ฮ่องเต้ก็จำเป็นต้องอนุญาต ทว่า แม้นัยน์ตาเขาจะมีประกายโทสะพาดผ่าน แต่น้ำเสียงกลับเรียบเฉย “เจ้าเมืองเมืองหลวงอยู่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนี้มอบให้เจ้าไปไต่สวน จำเป็นต้องมีคำอธิบายให้กับจวนกั๋วกงโดยเร็วที่สุด”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลังจากเจ้าเมืองเมืองหลวงรับคำสั่งแล้วก็รีบให้องครักษ์ลากคนทั้งสามออกไป
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้หวังว่าฮ่องเต้จะตรวจสอบเรื่องนี้ได้ชัดเจน ถึงอย่างไรฮองเฮาก็เป็นฮองเฮา แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ชอบนางอย่างไร นางก็ยังคงเป็นหน้าเป็นตาของราชวงศ์อยู่ดี
ที่นางทำเช่นนี้ก็เพียงแค่ต้องการบอกกับฮ่องเต้ว่า รังแกนางแล้วจะไม่จ่ายค่าตอบแทนไม่ได้ และยังเป็นการตักเตือนขุนนางบุ๋นบู๊ที่อยู่ในท้องพระโรงด้วยว่า หากคิดว่านางเป็นเด็กกำพร้าแล้วจะเหยียบย่ำได้ตามใจชอบนั้นผิดอย่างมหันต์
ความจริงแล้ว แววตาที่ขุนนางนับร้อยมองไปยังมั่วเชียนเสวี่ยนั้นเปลี่ยนไปนานแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เช่นนั้น จะสงบนิ่งเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่มีผู้ใดที่จะกระโดดออกมาแสดงเป็นตัวตลกอีก
มั่วเชียนเสวี่ยเหลือบหางตามองไปยังทั้งสามคนที่หมดสติแล้วถูกลากออกไป ก้นบึ้งนัยน์ตาของนางก็มีประกายวาบเล็กน้อย “หม่อมฉันขอบพระทัยที่ฝ่าบาทมีเมตตา ฝ่าบาทเป็นอย่างที่บนท้องถนนเล่าลือกันจริงๆ เป็นผู้ปกครองแคว้นที่ฉลาดปราดเปรื่องอย่างแท้จริง ทำเพื่อความสุขของปวงประชาแห่งเทียนฉี”
เดิมฮ่องเต้ก็คิดว่าพระองค์เป็นผู้ปรีชาญาณ เมื่อถูกมั่วเชียนเสวี่ยประจบประแจงใส่ ก็คิดในใจว่า ถึงในตอนนี้สามคนนี้ยังไม่ตาย แต่ก็อยู่ในมือของตน อย่างไรก็ทำให้เสียเรื่องไม่ได้ ทว่าสิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวก็มีเหตุผลเช่นกัน เหตุการณ์เช่นการใส่ความสตรีชั้นสูงจำเป็นจะต้องมีคำอธิบายให้กับเหล่าขุนนางและใต้หล้า เพื่อความสบายใจของปวงชน
เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว ก็คลายความหงุดหงิดลงไปบ้าง จึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ามีเมตตาอย่างหาได้ยากว่า “ลุกขึ้นได้”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่เพียงแต่คุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้น แม้แต่ศีรษะก็ก้มกราบลงไปด้านหน้า “หม่อมฉันมิกล้าลุกเพคะ หม่อมฉันยังมีเรื่องที่ต้องการกราบทูลให้ฝ่าบาททราบ”
ฮ่องเต้สีพระพักตร์นิ่งขรึม พระขนงกระตุก และรับรู้ได้ว่าวาจาด้านหลังของมั่วเชียนเสวี่ยจะต้องไม่ใช่วาจาที่ดีอะไรแน่นอน แต่ตอนนี้ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก จึงทำได้เพียงแค่ยกมือขึ้น “อนุญาตให้พูดได้!”
มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้น กล่าวเสียงดัง “เมื่อวานขณะที่เกิดเรื่อง องค์หญิงอวี้เหอได้เอ่ยคำสัญญาด้วยพระองค์เองว่า ถ้าหากหม่อมฉันถูกสามคนนี้ใส่ร้าย องค์หญิงอวี้เหอจะขอโทษหม่อมฉันต่อหน้าผู้คนในใต้หล้า เดิมหม่อมฉันก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องให้องค์หญิงกล่าวขอโทษ แต่ตอนที่องค์หญิงให้คำมั่นสัญญา สตรีชั้นสูงในเมืองหลวงมากมายที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนได้ยิน บัณฑิตจย่าก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน ถ้าหากว่าองค์หญิงไม่ขอโทษ หม่อมฉันเกรงว่าผู้อื่นจะกล่าวว่าองค์หญิงไม่เพียงแต่ฟังความข้างเดียว แต่ยังพูดจาเชื่อถือไม่ได้ด้วย เป็นคนไร้ความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง ถ้าหากว่าชื่อเสียงอันดีงามขององค์หญิงต้องได้รับความเสียหายเพราะเหตุนี้ เช่นนั้นความผิดของหม่อมฉันก็จะร้ายแรงแล้ว…”
ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยที่อยู่ในท้องพระโรงแต่ละคนพากันเหงื่อตก วาจาของมั่วเชียนเสวี่ยแต่ละคำแต่ละประโยค ทำให้พวกเขาอดทอดถอนใจหมื่นพันครั้งไม่ได้
ทุกประโยคที่นางเอ่ยล้วนคิดเพื่อชื่อเสียงขององค์หญิงอวี้เหอ ทว่าแต่ละประโยคที่กล่าวออกมาและความนัยล้วนวางองค์หญิงอวี้เหอไว้บนเส้นทางไร้คุณงามความดี ทำให้ขุนนางนับร้อย กระทั่งจะกล่าววาจาขอร้องก็กล่าวไม่ออก หากใครเอ่ยขอร้อง คนผู้นั้นก็จะเป็นผู้ที่ไม่คำนึงถึงชื่อเสียงอันดีงามขององค์หญิง
ผู้ที่กล้าเป็นฝ่ายเอ่ยให้องค์หญิงกล่าวขอโทษบุตรีของขุนนาง ก็มีเพียงสตรีที่อยู่ในท้องพระโรงผู้นี้
สตรีผู้นี้ไม่เพียงแต่มีความกล้า แต่ยังมีกลยุทธ์ด้วย
หากองค์หญิงไม่ออกมาขอโทษ ก็คงจะรักษาชื่อเสียงเอาไว้ไม่ได้แน่นอน แม้ว่าจะออกมาขอโทษเรื่องนี้แล้ว ชื่อเสียงอันดีงามก็ด่างพร้อยอยู่ดี ถึงจะไม่ไร้คุณธรรม แต่ทว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปก็จะกลายเป็นคนที่ได้ชื่อว่าไร้ความสามารถ ฟังความข้างเดียวผู้หนึ่งเท่านั้น
กล่าววาจาจนถึงขั้นนี้แล้ว เหล่าขุนนางล้วนยังไม่ก้าวออกจากแถว ฮ่องเต้ก็ทำได้เพียงแค่จัดการไปตามเนื้อผ้า จึงโบกพระหัตถ์เป็นสัญญาณให้มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้น “การจัดการเรื่องนี้ของอวี้เหอนั้นขาดความเหมาะสมจริงๆ ถ่ายทอดราชโองการของข้าลงไปว่าอีกครู่หนึ่งให้องค์หญิงอวี้เหอไปขอโทษบุตรีของกั๋วกงต่อหน้าที่จวนกั๋วกงด้วย”
เพิ่งจะสิ้นเสียงฮ่องเต้ ด้านนอกก็มีเสียงของขันทีดังลอยมาว่า “องค์หญิงอวี้เหอทูลขอเข้าพบที่ด้านนอกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีผู้รับผิดชอบดูแลได้รับสัญญาณจากฮ่องเต้ “เชิญองค์หญิงอวี้เหอเข้าไปในท้องพระโรง…”
ขุนนางบุ๋นบู๊นัยน์ตาเปล่งประกายวาบโดยไม่รู้ตัว คราวนี้มีละครสนุกให้ดูแล้ว ให้องค์หญิงพระองค์หนึ่งไปขอโทษบุตรีขุนนางนั้นเป็นเรื่องง่ายเสียที่ไหนกัน
คราวนี้องค์หญิงอวี้เหอที่ยังไม่ทันได้รับพระราชโองการของฝ่าบาทก็มาเยือนแล้ว เกรงว่าในใจคงไม่ยินยอม
แต่ไฉนเลยจะรู้ว่า เหล่าขุนนางล้วนคิดพลาดไปแล้ว
เมื่อองค์หญิงอวี้เหอเข้ามาในตำหนัก ก็คุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น ยอมรับความผิดกับฮ่องเต้ “เมื่อวานอวี้เหอไม่ได้รับคำชี้แนะของเสด็จพ่อ ก็หูเบาฟังคำของผู้อื่น จับกุมคุณหนูมั่วเข้าคุกหลวง เมื่อกลับมาแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำผิดพลาดไป เดิมคิดจะมารับโทษกับเสด็จพ่อ เพื่อให้ปล่อยคุณหนูมั่วออกมา ลูกไปทูลขอเข้าเฝ้าอยู่ที่นอกห้องทรงอักษรหลายต่อหลายครั้ง แต่จนปัญญาที่เสด็จพ่อมีพระราชกิจมากมาย ไม่มีเวลาให้ลูกได้เข้าพบ เรื่องนี้ทำให้ลูกจิตใจกระสับกระส่าย นอนไม่หลับติดกันหลายคืน วันนี้จึงมารับโทษกับเสด็จพ่อโดยเฉพาะเพคะ”
วาจาขององค์หญิงอวี้เหอนั้นอ่อนโยนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม แต่ละประโยคล้วนเจือไปด้วยความรู้สึกเสียใจในภายหลังที่อธิบายไม่ถูก ต่างกับมั่วเชียนเสวี่ยที่แต่ละคำแหลมคมราวกับใบมีด ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมจิตใจที่ดีงามของนาง
เมื่อกล่าวจบก็เงยหน้าขึ้น รูปร่างหน้าตายังคงสูงศักดิ์เหมาะสม แต่หากดูให้ละเอียด ก็ดูเหมือนว่าจะมีความอิดโรยจากการนอนไม่หลับคืนหนึ่งปะปนอยู่ในนั้น
ช่างเป็นสตรีที่เก่งกาจยิ่งนัก องค์หญิงอวี้เหอรู้จักที่จะรุกในคราวที่ควรรุก รู้จักถอยในคราวที่ควรถอยผู้หนึ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยลอบชื่นชมเงียบๆ ในใจ ท่าทียอมรับผิดเช่นนี้ของนาง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถกล่าววาจาเกี่ยวกับเรื่องเรือนจำได้อีก
ฮ่องเต้ลอบพยักหน้านิ่งๆ ฮองเฮาเป็นสตรีโง่เง่า โชคดีที่องค์หญิงที่ให้กำเนิดออกมากลับเป็นคนฉลาดหลักแหลม
องค์หญิงอวี้เหอมาขอรับโทษด้วยตนเอง ฮ่องเต้กลับยังจงใจทำให้นางลำบากใจ เห็นได้ชัดว่าอย่าได้ยั่วยุความภาคภูมิใจของเขา “อวี้เหอ ในฐานะที่เจ้าเป็นถึงองค์หญิง เหตุใดถึงได้เลอะเลือนเช่นนี้ เชื่อคำพูดของคนต่ำทรามพวกนั้นง่ายๆ เป็นผู้ใดที่มอบความกล้าเช่นนั้นให้กับเจ้า ถึงได้กล้าที่จะจัดการก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง? ความผิดนี้ไม่อาจจะละเว้นโทษได้ง่ายๆ…”
ฮ่องเต้ก็ถอยเพื่อที่จะรุกหน้าเช่นกัน
เขาย่อมต้องการกอบโกยผลประโยชน์บางอย่างจากเรื่องนี้ เมื่อกล่าววาจานี้ออกไป ย่อมต้องมีคนขอร้องให้ละเว้นโทษองค์หญิง พูดแต่สิ่งดีๆ เพื่อองค์หญิง ตนเองแสดงทีท่าว่าองค์หญิงกระทำความผิด ย่อมได้รับโทษเทียบเท่าสามัญชน ถึงตอนนั้นไม่ใช่ว่าเขาต้องการละเว้นโทษให้กับองค์หญิง แต่งัดข้อกับเหล่าขุนนางไม่ได้ต่างหาก เช่นนี้เขาก็จะได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาญาณ ได้ใจประชาชนอยู่บ้าง
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลย ขุนนางแต่ละคนก้าวออกมาแล้ว
“องค์หญิงทรงพระเยาว์ มีชื่อเสียงอันดีงามอยู่ภายนอกเสมอมา จะถูกปิดบังความจริงไปชั่วขณะหนึ่งก็เป็นไปได้เช่นกัน คนโบราณกล่าวเอาไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่าการที่คนเรารู้ผิดแล้วแก้ไข ในเมื่อองค์หญิงทรงทราบว่ากระทำความผิด มาวันนี้ก็เป็นฝ่ายยอมรับความผิดด้วยตนเอง กระหม่อมคิดว่าองค์หญิงไม่ผิดต่อชื่อเสียงอันดีงามของพระองค์ คนที่ผิดก็คือคนต่ำทรามที่วางแผนปิดบังความจริงกับองค์หญิงสามคนนั้นพ่ะย่ะค่ะ…”
“ฝ่าบาททรงคำนึงถึงทุกข์สุขของปวงประชาและแว่นแคว้น ยุ่งกับพระราชกิจจนไม่สามารถพบกับองค์หญิงได้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันครั้งหนึ่ง กระหม่อมคิดว่าการที่องค์หญิงนอนไม่หลับคืนหนึ่งนั้น ก็ได้รับบทเรียนแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องลงโทษจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ…”