ขอเพียงแค่เป็นผู้นำตระกูลที่มีจิตใจทะเยอทะยานล้วนเป็นเช่นนี้ แต่หนิงเซ่าชิงผู้นี้กลับไม่กล้าพอ
ฮ่องเต้เกิดความรู้สึกดูแคลนอยู่ในใจ ขี้ขลาดเหมือนมุสิก การมอบตระกูลหนิงรุ่นนี้ไว้ในมือเขา เกรงว่าจะถูกตนเองกลืนได้ในเร็ววัน
แม้คลังหลวงว่างเปล่า แต่หัวหน้าตระกูลหนิงคนใหม่ที่มีทรัพย์สมบัติมากจนสามารถกุมใต้หล้าเอาไว้ได้เพิ่งจะเข้ารับตำแหน่ง จึงยังต้องไว้หน้าอยู่บ้าง
ฮ่องเต้ที่เก็บงำความรู้สึกของตนเองเรียบร้อยแล้ว ก็มีสีพระพักตร์อ่อนโยนมากขึ้น ทั้งยังเอ่ยถามอย่างให้ความรู้สึกใกล้ชิดว่า “หัวหน้าตระกูลหนิงคนก่อนเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินมาว่าสุขภาพของเขาไม่ค่อยดี เดิมข้าควรจะไปเยี่ยมด้วยตนเองสักครา แต่จนปัญญาที่ราชกิจมากมายจนไม่สามารถปลีกตัวไปได้…”
นอกจากน้ำเสียงจะให้ความเป็นกันเองแล้ว ยังแฝงไปด้วยการทอดถอนใจจากการทรงงานหนัก เพื่อแว่นแคว้นและประชาราษฎร์ตราบชนชีวิตจะหาไม่ด้วย
“ขอบพระทัยในความเป็นห่วงของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อล้มป่วยนอนติดเตียงมาหลายวัน สองสามวันมานี้ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น” หนิงเซ่าชิงตอบด้วยสีหน้าไร้ซึ่งความตื่นตระหนกและยินดี จนทำให้คนมองไม่ออกว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากแสดงความเห็นอกเห็นใจแล้ว ก็เอ่ยถามเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊เสียงดังว่า “รองเสนาบดีกรมพิธีการอยู่ที่ใด”
ขุนนางชราผู้หนึ่งก้าวออกมาจากแถว “พ่ะย่ะค่ะ
“เจ้าไปจัดการรายการของแสดงความยินดีให้กับหัวหน้าตระกูลหนิงที่ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ด้วย” ของรางวัลพระราชทานของราชวงศ์ มีพิธีการปฏิบัติและมาตรฐานอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ฮ่องเต้เป็นกังวล และไม่ต้องทำให้รองเสนาบดีกรมพิธีการลำบากใจ ทั้งหมดล้วนกระทำตามกฎระเบียบก็ได้แล้ว
สิ่งของที่แต่ละราชวงศ์พระราชทานให้เป็นรางวัลแก่ตำแหน่งผู้นำตระกูลขุนนางเก่าแก่ก็หนีไม่พ้นสุราชื่อดัง อาวุธชื่อดัง แพรพรรณหลายพับ โบราณวัตถุหายาก จารึกและผลงานการเขียนตัวหนังสือด้วยพู่กันและภาพวาดอะไรพวกนี้
สิ่งของดาษดื่นเช่นนี้ตระกูลหนิงไม่เห็นอยู่ในสายตา หนิงเซ่าชิงประสานมือคารวะ ไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมอง “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่พระราชทานรางวัลให้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยกมือขึ้นเล็กน้อย “หัวหน้าตระกูลหนิงเกรงใจแล้ว”
หนิงเซ่าชิงลดมือลงช้าๆ เอ่ยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่เซ่าชิงมาในวันนี้ ประการแรกคือมาถวายความเคารพฝ่าบาท ประการที่สองคืออยากจะขอความเมตตาจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
สำหรับท่าทีของหนิงเซ่าชิง ฮ่องเต้นั้นค่อนข้างพอใจ หัวหน้าตระกูลหนิงจัดการเรื่องราวได้อย่างรอบคอบ ไร้ช่องโหว่ และไม่เคยขอพระราชทานอะไรต่อหน้าเขา
แม้ว่าอยากจะขอพระราชทานสิ่งใด ปกติแล้วก็จะไม่มีท่าทีเกรงใจเช่นนี้ เพียงแค่เจรจาต่อรองกับเขาเหมือนเจรจาการค้าทั่วไป หรือบีบบังคับให้เขาจำยอมที่จะให้แทน
ในเมื่อหนิงเซ่าชิงผู้นี้มีเรื่องขอร้องเขา ในภายภาคหน้าเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ต้องให้เกียรติเขาสามส่วน อีกครู่หนึ่งไม่ว่าเขาจะเอ่ยปากขอสิ่งใด ตนเองจะอนุญาตอย่างแน่นอน อันคำว่ากินของผู้อื่น รับของผู้อื่นไปแล้วนั้นไม่อาจจะปฏิเสธได้ ฮ่องเต้อารมณ์ดี จึงเอ่ยเสียงดังว่า “เชิญหัวหน้าตระกูลหนิงกล่าว ขอเพียงแค่ข้าสามารถให้ได้ จะต้องให้ท่านแน่นอน”
สีหน้าของหนิงเซ่าชิงยังคงสงบเยือกเย็น ไม่ได้รู้สึกยินดีปรีดาหรือลำพองใจอะไรเพราะฮ่องเต้ เดิมวันนี้ที่เขาได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล เรื่องแรกที่เขาอยากทำไม่ใช่การเข้าวังมาถวายความเคารพฮ่องเต้ แต่เป็นการลอบเข้าไปในจวนกั๋วกงเพื่อแบ่งปันเรื่องนี้กับมั่วเชียนเสวี่ย
ใครจะรู้ว่า เขาเพิ่งจะสั่งให้กุ่ยซาไปเปิดทางโดยการดึงความสนใจหน่วยสอดแนมนอกจวนกั๋วกง กุ่ยซากลับชูกระบอกไม้ไผ่แล้วคุกเข่าลงกับพื้น ขอให้เขาลงโทษ
เมื่อเปิดกระบอกไม้ไผ่ออก เขาก็โทสะพวยพุ่ง สอบถามสาเหตุที่มาของเรื่องราวแล้ว ก็รีบเข้าวัง โดยไม่ทันจะได้ลงโทษกุ่ยซา
คิดถึงว่ามีคนถึงกับกล้าสาดโคลนสกปรกเช่นนั้นลงบนร่างของมั่วเชียนเสวี่ย คิ้วของหนิงเซ่าชิงก็ขมวดเป็นปมแล้ว “เซ่าชิงขอให้ฝ่าบาทพระราชทานงานสมรสให้คุณหนูใหญ่มั่วเชียนเสวี่ยบุตรีที่เกิดแต่ภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงแต่งงานเป็นภรรยาของเซ่าชิงพ่ะย่ะค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยไร้บิดามารดา ฐานะโดดเด่นเหนือผู้คน ทั้งยังมียศถาบรรดาศักดิ์ติดตัว เรื่องการแต่งงานของนาง ตระกูลมั่วไม่มีอำนาจก้าวก่าย ตระกูลเฟิงยิ่งไม่มีสิทธิ์เอ่ยอันใด เรื่องการแต่งงานของนางจึงมีเพียงแค่ฮ่องเต้เป็นผู้ที่มีอำนาจมากสุด!
เดิมที่เขายินยอมให้นางกลับไปที่จวนกั๋วกงก่อนก็เพราะคิดจะปกป้องนาง แต่ใครจะรู้ว่าฮ่องเต้กลับไม่คิดจะปล่อยนาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้เปิดเผยเรื่องออกมาซึ่งๆ หน้าเลยจะดีกว่า
นี่คือคำขอร้องแรกของหัวหน้าตระกูลหนิงหลังจากที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ แม้เขาจะมีเห็นแก่ตัว คิดจะขัดขวาง แต่เพื่อแสดงให้เห็นว่าปฏิบัติต่อผู้นำตระกูลอย่างใกล้ชิดและมีน้ำใจ ก็ทำได้เพียงแค่เห็นด้วย
เมื่อฐานะของมั่วเชียนเสวี่ยเปลี่ยนไป กลายเป็นฮูหยินของหัวหน้าตระกูลหนิง ฮ่องเต้คิดจะลงโทษนางก็ทำไม่ได้แล้ว
แน่นอนว่าก่อนแต่งงาน ฮ่องเต้คิดอยากจะลงโทษก็ทำได้ ทว่าต้องพิจารณามากกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วน
ฮ่องเต้ได้ยินแล้ว ในพระทัยก็เกิดระลอกคลื่นซัดสาด พระหัตถ์ที่วางอยู่บนบัลลังก์มังกรบีบแน่น คล้ายกับต้องการจะบีบที่เท้าแขนให้กลายเป็นผุยผง
ถ้าหากว่าในยามปกติ เขาคงตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น แค่นเสียงหนัก ให้เหล่าขุนนางพากันคุกเข่าขอร้องให้เขาระงับแรงโทสะ จากนั้นเขาค่อยตวาดกลับไป
แต่บุคคลตรงหน้าคือหัวหน้าตระกูลหนิง…บนโลกใบนี้มีเพียงแค่สองคนที่สามารถบีบให้เขายอมรับความพ่ายแพ้ได้ คนหนึ่งคือหัวหน้าตระกูลหนิง อีกคนคือหัวหน้าตระกูลซู
ที่แท้หนิงเซ่าชิงผู้นี้ไม่เพียงแต่มีความกล้า ความทะเยอทะยานก็ยังมากอีกด้วย
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะมีรูปโฉมงดงามอยู่หลายส่วน แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เรียกว่างดงามราวกับเทพธิดา เขาที่ไม่ยอมแตะต้องมั่วเชียนเสวี่ยมาโดยตลอด เมื่อได้ครองตำแหน่งในตอนนี้กลับคิดจะขอนางเป็นภรรยา เพราะเหตุใดกัน
หึ! คิดจะกุมอำนาจทางทรัพย์สินเงินทอง ขุมอำนาจลับ และอำนาจทางการทหารทั้งหมดเอาไว้ในมือ ก็ต้องดูว่าเขาจะรับไหวหรือไม่ และยิ่งต้องดูว่าพวกโจรป่า และเหล่าชาวบ้านจะเชื่อฟังนางหรือไม่…
อำนาจของฮ่องเต้เป็นศูนย์รวมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็นสถานที่ที่มีการต่อสู้กันสกปรกโสมมที่สุด ฮ่องเต้อยู่ในวังวนการเมืองเช่นนี้มาหลายปี จึงเรียนรู้ที่จะอำพรางความเดือดดาลของตนเองเงียบๆ มานานแล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจอะไรนัก เพียงแค่ยิ้มน้อยๆ “หัวหน้าตระกูลหนิงผ่านวัยสวมกวานมาแล้ว วันนี้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูล ก็สมควรที่จะแต่งงานแล้วจริงๆ”
“วันนี้ท่านเอ่ยขอ เดิมข้าก็สามารถให้แต่งงานได้ทันที เพื่อให้มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นติดต่อกัน เพียงแต่ผู้นำตระกูลก็ทราบว่า เจิ้นกั๋วกงได้สละชีพเพื่อแว่นแคว้น สิ้นชีพไปยังไม่ครบปี มั่วเชียนเสวี่ยต้องไว้ทุกข์ และยังไม่ถึงวัยปักปิ่น จึงไม่เหมาะสมที่จะเอ่ยเรื่องแต่งงาน”
การขอแต่งงานกลางท้องพระโรงของหนิงเซ่าชิง ทำให้นัยน์ตาที่เป็นประกายขององค์หญิงอวี้เหออับแสงลงทันที ราวกับถูกคมมีดอันเย็นเยียบแทงเข้าที่หัวใจ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งปรากฏความตกตะลึง มองไปทางร่างที่ยืนตระหง่านผู้นั้น
บุรุษเช่นนี้จะชอบสตรีนางนั้นได้อย่างไรกัน ระหว่างที่นางครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ การปฏิเสธของฮ่องเต้ก็ทำให้ใจนางสงบลง และมองไปทางมั่วเชียนเสวี่ยอย่างยินดีในความโชคร้ายของนาง
มั่วเชียนเสวี่ยมีสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับมีคลื่นโหมซัดสาด นางคิดไม่ถึงว่าการขอแต่งงานของหนิงเซ่าชิงจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เดิมนางนึกว่าเมื่อวันนั้นมาถึง นางจะดีใจมาก ทว่าในตอนนี้กลับรู้สึกอึดอัดใจมาก
ส่วนที่ว่าเหตุใดจึงอึดอัดใจนั้น กลับบรรยายออกมาไม่ได้ในทันที
การปฏิเสธของฮ่องเต้ไม่ได้ทำให้หนิงเซ่าชิงรามือเพียงแค่นี้
เขาหลุบตาลงเล็กน้อย มือไพล่หลัง “เซ่าชิงก็ไม่ได้อยากจะขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสกะทันหันเช่นนี้ ทว่าความคิดเห็นของผู้คนบนโลกและศีลธรรมในการปฏิบัติตัวกลับทำให้เซ่าชิงไม่สามารถรอได้พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของเขาทุ้มต่ำและมีพลัง คล้ายกับเสียงทุ้มต่ำที่บรรเลงออกมาจากสายพิณ ดูคล้ายจะนุ่มนวลแต่ความจริงแล้วมั่นคง ทำให้ผู้คนไม่เกิดความรู้สึกที่อยากจะโต้แย้ง
“เซ่าชิงไปปฏิบัติภารกิจให้กับตระกูล และซ่อนตัวที่หมู่บ้านหวังจยา จนเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง ประจวบเหมาะกับที่คุณหนูมั่วประสบภัย คนในหมู่บ้านช่วยคุณหนูมั่วกลับมา จัดการให้นางอยู่ข้างกายเซ่าชิง ดูแลอาหารการกินและเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของเซ่าชิง ภายใต้การดูแลของคุณหนูมั่ว สุขภาพของเซ่าชิงจึงค่อยๆ ดีขึ้นมา”
เขาเอ่ยและเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหัน สีหน้าก็นิ่งขรึมเย็นชาขึ้นมาทันที “ระหว่างเซ่าชิงกับคุณหนูมั่วนั้นไร้ซึ่งมลทินมาโดยตลอด มีชาวบ้านทั้งหมู่บ้านหวังจยาเป็นพยานได้ วันนี้บุญคุณที่ช่วยชีวิตเอาไว้ยังไม่ได้ตอบแทน เรื่องนี้กลับถูกคนนำไปใช้ประโยชน์ กระพือข่าวลือกุเรื่องใส่ร้ายกันไปทั่ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเจตนาใส่ร้ายป้ายสีความบริสุทธิ์ของคุณหนูมั่วอีกด้วย ดังนั้น เซ่าชิงรู้สึกละอายใจ ชายชาติทหารมีคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ สิ่งที่ควรรับผิดชอบก็ต้องรับผิดชอบพ่ะย่ะค่ะ”