หนิงเซ่าชิงกล่าววาจาแบ่งจังหวะได้อย่างเหมาะเจาะ คราแรกที่ได้ยินไม่ได้เอ่ยถึงความรักระหว่างบุรุษและสตรี เพียงแค่กล่าวถึงการตอบแทนบุญคุณ ทว่าเมื่อวิเคราะห์ให้ละเอียด แต่ละประโยคกลับคิดทางถอยให้กับมั่วเชียนเสวี่ยเรียบร้อยแล้ว
ถ้าหากว่าเขากล่าวถึงความรัก ก็เป็นการมอบให้และยอมรับมาโดยส่วนตัว
การตอบแทนบุญคุณมีหลายประเภท หากเขาเพียงแค่กล่าวถึงการตอบแทนบุญคุณ ไม่กล่าวถึงชื่อเสียง ก็ไม่จำเป็นต้องสู่ขอแต่งงานเข้าตระกูล ถ้าหากว่าบุรุษผู้หนึ่งทำลายชื่อเสียงของสตรีผู้หนึ่ง อีกทั้งสตรีผู้นั้นยังมีบุญคุณต่อเขา ตำแหน่งฐานะก็ไม่ต่ำต้อย…
จะตอบแทนบุญคุณ โดยการสู่ขอมาเป็นภรรยานั้นเป็นเรื่องปกติมาก…
ว่ากันตามข้อเท็จจริง ฐานะของมั่วเชียนเสวี่ย แต่งเข้าตระกูลหนิงเพื่อเป็นฮูหยินนั้นดูจะใฝ่สูงไปสักหน่อย แต่เรื่องศีลธรรมบุญคุณและความรับผิดชอบที่หนิงเซ่าชิงเอ่ยปาวๆ นั้น กลับทำให้ฮ่องเต้ไร้ซึ่งหนทางโต้กลับ
“หัวหน้าตระกูลหนิงให้ความสำคัญกับความรู้สึกและศีลธรรม ทำให้ข้ารู้สึกลำบากใจแล้ว…”
“ความหมายของเซ่าชิงนั้นไม่ใช่รับคุณหนูตระกูลมั่วเข้าตระกูลในตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่กำหนดตำแหน่งฐานะให้เรียบร้อย จะได้ไม่มีคนไร้ตามาบิดเบือนข้อเท็จจริงและใส่ร้ายอีก”
หนิงเซ่าชิงเหลือบตาขึ้นมองฮ่องเต้ ความไม่ใส่ใจในแววตาหายไปในพริบตา น้ำเสียงเน้นหนักวาจาในตอนท้าย แฝงไปด้วยการเตือน
หอลับกุมข่าวสารในใต้หล้า ไม่เผยแพร่ความลับให้กับบุคคลภายนอกทราบ ฮ่องเต้ใจไม่สงบ ฮองเฮาล้วนเป็นผู้ใส่ร้ายและบิดเบือนข้อเท็จดังกล่าว สตรีโง่เง่าผู้นี้ทำร้ายคน ถ้าหากว่าหนิงเซ่าชิงสืบรู้ทุกอย่างในสวนป่าท้อ เขาจะต้องไม่ยอมรามืออย่างแน่นอน
ตอนนี้จึงทำได้เพียงแค่รับปากเขาไปก่อน เพื่อบรรเทาโทสะของเขา และจบเรื่องนี้ลง
ความคิดของฮ่องเต้เพิ่งจะเปลี่ยนไป หนิงเซ่าชิงก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “เจิ้นกั๋วกงสิ้นชีพก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ฝ่าบาทสามารถกำหนดวันสมรสพระราชทานไว้หลังเทศกาลไหว้พระจันทร์ได้ ว่ากันว่าภายในเจ็ดวันย่อมมีวันที่มีฤกษ์งามยามดี เซ่าชิงจะทำรายการสินสอดก่อน หลังเทศกาลไหว้พระจันทร์ค่อยแต่งคุณหนูมั่วเข้าตระกูล คุณหนูมั่วมีที่พึ่งพิงแล้ว คิดว่าวิญญาณของเจิ้นกั๋วกงที่อยู่บนสวรรค์ก็คงจะสงบสุขสบายใจเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ…”
วาจานี้กล่าวราวกับว่า หากเขาไม่อนุญาต ก็จะทำให้ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ จงรักภักดีไม่สามารถไปสู่สุขคติได้
เรื่องนี้ยิ่งใหญ่และสำคัญ จึงไม่มีใครกล้าก้าวออกมาเอ่ยอะไร
ฐานะหัวหน้าตระกูลหนิงสูงส่ง ราชวงศ์เทียนฉี นอกจากฮ่องเต้แล้ว ผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดก็คือหัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่ทั้งสามคน เรื่องการแต่งงานของหัวหน้าตระกูลหนิง ใครจะกล้าสอดปาก ยิ่งไปกว่านั้นมั่วเชียนเสวี่ยยังมีฐานะที่มีความละเอียดอ่อนเช่นนี้ด้วย
ในท้องพระโรง ไม่มีแม้กระทั่งเสียงนกกาใดๆ เงียบกริบราวกับจั๊กจั่นในเหมันตฤดู…
ฮ่องเต้สีหน้านิ่งขรึม มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มที่ดูน่าเกลียดเสียยิ่งกว่าการร้องไห้ “ยากที่หัวหน้าตระกูลหนิงจะคิดได้อย่างรอบคอบ เช่นนั้นข้าก็จะช่วยให้ความจริงใจของหัวหน้าตระกูลหนิงสมปรารถนา ถ่ายทอดราชโองการลงไป มอบสมรสพระราชทานให้กับหัวหน้าตระกูลหนิงและคุณหนูใหญ่มั่วเชียนเสวี่ย บุตรที่เกิดแต่ภรรยาเอกของเจิ้นกั๋วกง…”
เรื่องการแต่งงานของมั่วเชียนเสวี่ยถูกกำหนดเรียบร้อย โดยไม่มีผู้ใดถามความเห็นของนางสักคน ในโลกคู่ขนานอันห่วยแตกแบบนี้ สตรีไม่มีที่ยืนอย่างที่คิดเอาไว้เลยจริงๆ
เพิ่งจะมาถึงโลกคู่ขนานแห่งนี้ ก็ถูกคนบังคับให้แต่งงานกับหนิงเซ่าชิงเพื่ออวยพรปัดเป่าโรคร้ายให้หายไปตามใจชอบ มาวันนี้ฮ่องเต้มอบสมรสพระราชทานให้ ก็ไม่ถามความเห็นของนางเช่นกัน นางไม่ได้มีร่างโปร่งแสงเข้าใจไหม…
แม้ว่าในใจจะรู้สึกโมโหและจินตนาการไปต่างๆ นาๆ แต่เมื่อได้ยินคำว่ามอบสมรสพระราชทานออกจากปากฮ่องเต้ มั่วเชียนเสวี่ยก็สบตากับหนิงเซ่าชิงแวบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่
สิ่งที่หนิงเซ่าชิงคิดก็คือ มีพระราชโองการนี้ วันที่มั่วเชียนเสวี่ยจะก้าวเข้ามาในตระกูลหนิง ก็คาดว่าจะเป็นจริงในไม่ช้า
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะรู้สึกอึดอัดใจ แต่กลับคิดว่า วันแรกที่หนิงเซ่าชิงได้ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล ก็บีบบังคับฮ่องเต้แล้ว เกรงว่าในวันหน้าคงใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแน่ๆ
ทั้งสองคนล้วนคิดเพื่อฝ่ายตรงข้าม ในใจกลับถูกเรื่องนี้ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นมา
เพียงแต่สิ่งที่กระเพื่อมในใจหนิงเซ่าชิงเป็นแค่น้ำที่กระเซ็นเป็นฝอย ส่วนในใจมั่วเชียนเสวี่ยกลับเป็นคลื่นสูงที่ซัดสาดเท่านั้นเอง
ฐานะถูกกำหนดเรียบร้อยแล้ว สำหรับความปลอดภัยของมั่วเชียนเสวี่ยนั้น หนิงเซ่าชิงมีแผนอยู่ในใจ ดังนั้นแรงน้ำที่กระเพื่อมจึงเบากว่ามาก
สิ่งที่วนเวียนอยู่ในใจของมั่วเชียนเสวี่ยก็คือฮ่องเต้มอบสมรสพระราชทานให้อย่างไม่เต็มใจ หลังจากนี้เกรงว่าจะมีเรื่องยุ่งยากไม่หยุด แม้ว่าจะแต่งเข้าตระกูลหนิงได้อย่างราบรื่น แต่เรื่องราวที่ไม่อาจบอกกล่าวต่อผู้คนภายในตระกูลใหญ่ เมื่อเทียบกับแผนการของฮองเฮาและอวี้เหอแล้ว ก็คงไม่ได้แย่ไปกว่ากันเท่าไร
เรื่องราวไม่คาดฝันเกิดขึ้นติดกันเป็นขบวน องค์หญิงอวี้เหอเบิกนัยน์ตากว้าง หัวใจเย็นยะเยือก ใบมีดที่ทิ่มแทงลงตรงหน้าอกเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะถูกดันเข้าไปอีกหลายนิ้ว บุรุษที่นางถูกใจเป็นครั้งแรกในชีวิต ถึงกับถูกนางแพศยาที่ตนเองเกลียดชังได้ไป นางไม่ยอม!
ทว่า ในเรื่องนี้นางกลับไม่มีสิทธิ์ที่จะกล่าววาจาใดแม้แต่คำเดียว
ฮ่องเต้พระราชทานเรื่องพิธีสมรสให้เสร็จ หนิงเซ่าชิงก็ประสานมือกล่าวขอบพระทัย มั่วเชียนเสวี่ยกลับทำได้เพียงแค่คุกเข่าลงกับพื้นและขอบพระทัยในความเมตตา
หนิงเซ่าชิงรู้สึกสงสาร แทบอยากจะแต่งนางเข้าตระกูลเร็วๆ รอนางเข้าประตูมา นางก็จะกลายเป็นอันฮูหยินดับหนึ่งของตระกูลขุนนางเก่าแก่ พบเจอผู้ใดก็ไม่ต้องคุกเข่าคารวะอีก แม้ว่าจะพบกับฮ่องเต้และฮองเฮา ก็คำนับด้วยท่าวั่นฝูหลี่[1]ก็พอแล้ว
เดิมมั่วเชียนเสวี่ยก็เป็นคนที่สง่าผ่าเผยมาก รูปโฉมงดงาม สงบนิ่งสง่างาม ยามนี้รูปโฉมนางดูเหมือนจะแฝงไปด้วยแววออดอ้อน งดงามเสียยิ่งกว่าสตรีในภาพวาดเสียอีก
หนิงเซ่าชิงเรือนผมยาวระแผ่นหลัง หน้าเชิดขึ้นสูงยืนตัวตรงอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าท่าทางอวดดี ในความสุภาพอ่อนโยนแฝงไปด้วยความแข็งแกร่งและเด็ดขาด เหมือนกับดอกบัวหิมะท่ามกลางเปลวเพลิง งดงามสูงส่ง เย็นชาหยิ่งยโสบีบคั้นผู้คน
มองคนงามคู่หนึ่งที่อยู่ในท้องพระโรงแล้ว ในใจฮ่องเต้ก็รู้สึกคลื่นไส้ราวกับกินแมลงวันเข้าไป ทว่ากลับไม่สามารถบันดาลโทสะได้ ทำได้เพียงแค่เอ่ยแสดงความยินดี และโบกมือให้ลุกขึ้นได้
แผนการที่วางเอาไว้อย่างรอบคอบ การแข่งขันในเรื่องเล่ห์กล กลับกลายเป็นเหตุผลที่ช่วยเหลือให้พวกเขาทั้งสองคนสมปรารถนา
น่าขบขัน น่ารังเกียจเสียจริง!
ยามนี้ฮ่องเต้แทบอยากจะบีบคอฮองเฮา สตรีที่ไร้ความสามารถในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง แต่ความสามารถที่จะทำลายแผนการนั้นมีเหลือเฟือผู้นั้นให้ตายเดี๋ยวนี้
ถูกคนเล่นละครครั้งใหญ่ภายใต้สายตาตนเองเช่นนี้ ฮ่องเต้ย่อมไม่อยากจะออกว่าราชการยามเช้าต่อ พระองค์เค้นรอยยิ้ม “ประชุมตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ร่างกายของข้าอ่อนเพลียแล้ว”
เอ่ยจบ ก็ทำมือเป็นสัญลักษณ์ให้กับหัวหน้าขันทีที่อยู่ข้างกาย หัวหน้าขันทีเข้าใจ ประกาศเสียงสูงว่า “มีเรื่องให้รีบกราบทูล หากไม่มีแล้วก็เลิกประชุมได้” ฮ่องเต้ที่สะบัดแขนเสื้อเลิกประชุมก็เข้าไปในห้องทรงพระอักษร เขวี้ยงถ้วยที่หัวหน้าขันทียกเข้ามาจนแตก ฉีกหนังสือกราบทูลบนโต๊ะหนังสือกองโต หลังจากนั้นก็ยิ้มเย็นยะเยือก
เวลานี้เป็นช่วงกลางเดือนสี่พอดี ห่างจากเทศกาลไหว้พระจันทร์อีกร้อยกว่าวัน มั่วเชียนเสวี่ยยังมีเวลาอีกร้อยกว่าวันถึงจะสามารถแต่งเข้าตระกูลหนิงของเขา ถ้าหากว่านางยังมีชีวิตผ่านวันนั้นไปได้ค่อยว่ากันเถอะ
เมื่อเลิกประชุมยามเช้า ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยก็เข้ามาแสดงความยินดีกับหนิงเซ่าชิงที่ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล หนิงเซ่าชิงไม่ได้ตอบกลับ มุมปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ปล่อยผ่านเหล่าขุนนางไป
หลังจากพระชายาจิ่งชินอ๋องแสดงความยินดีกับมั่วเชียนเสวี่ยแล้วก็ตามจิ่งชินอ๋องออกจากตำหนักไป
ฉังฮูหยินกับถานฮูหยินมาเอ่ยแสดงความยินดีหลังพระชายาจิ่งชินอ๋องก้าวหนึ่ง และจากไปเช่นกัน ตอนที่จากไปยังหันหน้ากลับมา รอยยิ้มบนใบหน้าจริงใจมากขึ้น
เซี่ยฮูหยินและอันฮูหยินก็มาแสดงความยินดี แต่สีหน้ากลับบิดเบี้ยวเล็กน้อย
เดิมจย่าฮูหยินคิดจะประคองมั่วเชียนเสวี่ยออกจากตำหนักไปพร้อมกัน แต่เห็นหนิงเซ่าชิงทิ้งฝูงชนแล้วเดินตรงมาทางมั่วเชียนเสวี่ย จึงยิ้มบางๆ ตบมือมั่วเชียนเสวี่ยเบาๆ อย่างปลอบประโลม และมองนางอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ถึงได้จากไปก่อนก้าวหนึ่งอย่างอาลัยอาวรณ์
หนิงเซ่าชิงเดินมาถึงแล้ว ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดมากมาย ความจริงแล้วเขาจะกล่าวสิ่งใดได้อีกเมื่ออยู่ต่อหน้าธารกำนัลในตำหนักจินหลวนเป่า
ฝูงชนจึงพากันจากไปก่อนอย่างรู้ความ
ซูชีสบตากับเฟิงอวี้เฉิน ทั้งสองคนล้วนมีสีหน้าโดดเดี่ยว เฟิงอวี้เฉินเป็นฝ่ายเอ่ยนัดซูชีไปร่ำสุราด้วยกัน ซูชีก็ยิ้มตอบตกลง
หนิงเซ่าชิงเหลือบมองเงาร่างของทั้งสองคนที่เชื้อเชิญกันจากไป และมองมาทางมั่วเชียนเสวี่ยเงียบๆ
สตรีผู้นี้คือผู้ที่ทรมานเขาจนนอนไม่หลับในทุกค่ำคืน คิดอยากจะอุ้มนางขึ้นมาแล้วรักนางอย่างทะนุถนอมสักรอบ อยากจะกักขังนางเอาไว้ นับแต่นี้ไปไม่ให้ใครคิดปรารถนาในตัวนางอีก
[1] ท่าวั่นฝูหลี่ เป็นท่าทำความเคารพของหญิงสาว โดยการใช้มือสองข้างวางซ้อนกันไว้ที่ด้านขวาแล้วย่อตัวลง เป็นท่าสัญลักษณ์ที่อวยพรให้มีความสุขและโชคดี