คำพูดเหล่านี้จริงใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ ความรักอันลึกซึ้งราวกับมหาสมุทร ถ้าหากไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้นจริงๆ ก็คงจะประดิษฐ์ถ้อยคำเหล่านี้ออกมาไม่ได้แน่นอน
มั่วเชียนเสวี่ยปวดใจ ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา แต่กลับไม่อยากให้การที่ทั้งสองคนได้พบหน้ากันอย่างหาได้ยากมีความรู้สึกเศร้าโศกเช่นนี้ จึงใช้นิ้วหยิกเขาเบาๆ “รู้อยู่แล้วว่าเป็นความฝัน ยังฝันเสียสวยงาม เห็นข้าเป็นหมูที่พอคลอดก็คลอดเป็นคอก…”
หนิงเซ่าชิงเม้มปากถอนหายใจ ร้องเรียกออกมาว่า “โอ๊ย…เสวี่ยเสวี่ย เจ้าวางแผนจะฆ่าสามีหรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยจะไม่รู้แรงมือของตนเองได้อย่างไร นางเหลือบตามองหนิงเซ่าชิงแวบหนึ่ง หัวเราะเสียงเบา พลางเอ่ยว่า “อย่างมากที่สุดก็แค่ฆาตกรรมหัวหน้าตระกูลหนิงเท่านั้นเอง ยังไม่ใช่สามีสักหน่อย…”
นัยน์ตาหงส์ที่เหลือบมองขึ้นมายังคลอไปด้วยหยาดน้ำตาเล็กน้อย ในยามนี้กลายเป็นความเสน่หา มองจนหนิงเซ่าชิงรู้สึกคันยุบยิบบริเวณหัวใจ แขนที่ลงโทษกระชับแน่นขึ้น “เจ้ากล้าไม่ยอมรับสามีหรือ มั่วเชียนเสวี่ย ข้าจะบอกเจ้าว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าเป็นคนของข้าเท่านั้น ไม่เพียงแต่ชาตินี้ ชาติหน้า ชาติชาติหน้า เจ้าล้วนเป็นของข้า…”
มั่วเชียนเสวี่ยมองเขาอย่างขบขัน การประกาศที่ไร้เดียงสาเช่นนี้ทำให้หัวใจนางจมอยู่ท่ามกลางน้ำผึ้งอันหอมหวาน “ครั้งที่แล้วก็บอกท่านไปแล้วว่า ซูชีกับข้าเป็นเพียงสหาย ในใจข้าถงจื่อจิ้งเป็นเพียงน้องชาย…”
“เจ้ายังกล้าเอ่ยถึงพวกเขา…”
ต่อมา ปากของใครบางคนก็ถูกปิดอีกครั้ง
กุ่ยซาที่ขับรถม้าอยู่ด้านนอกหน้าแดงระเรื่อ และจำเป็นต้องชะลอรถม้าจากความเร็วราวกับเต่าคลานให้ช้าลงอีกนิด ขาดเพียงแค่จอดนิ่งเท่านั้น
หลังจากองค์หญิงอวี้เหอกลับมาจากตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ก็มีสีหน้าย่ำแย่มาก
ระหว่างที่เดินอยู่ในอุทยานอวี้ฮวา นางก็ไม่มีอารมณ์จะไปชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามในยามปกติ
ฮองเฮาคือผู้ใด ก่อนหน้านี้ก็ทำสงครามในจวนตระกูลเซี่ย และยังมาทำสงครามในวังหลังอีก กลอุบายระหว่างสตรีนั้นดูมาหลายสิบปีแล้ว องค์หญิงอวี้เหอเพียงแค่เกริ่นเล็กน้อย เอ่ยโยงไปถึงตัวหนิงเซ่าชิง ฮองเฮาก็รู้ความคิดนางแล้ว จึงได้ตำหนินาง
องค์หญิงอวี้เหอจิตใจยุ่งเหยิง เดินไปเดินมาก็หยุดนั่งกลางศาลาในอุทยานอวี้ฮวา สิ่งที่เสด็จแม่กล่าว แม้จะไม่น่าฟัง แต่กลับมีเหตุผล ปกติแล้วสตรีสูงศักดิ์ล้วนจะถูกเลี้ยงดูที่บ้านฝ่ายเจ้าสาวจนถึงอายุสิบห้าซึ่งเป็นวัยปักปิ่นจึงจะพูดคุยเรื่องแต่งงาน องค์หญิงส่วนใหญ่ล้วนเลี้ยงดูถึงสิบแปดถึงจะสมรส
องค์หญิงที่สมรสตอนอายุสิบห้าก็มี แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ ตำแหน่งของมารดาก็ต่ำต้อย เพื่อที่จะดึงขุนนางในราชสำนักมาเป็นพวกจึงจำเป็นต้องทำเช่นนั้น
ปีนี้นางอายุสิบสามกว่า อีกปีกว่าถึงจะถึงวัยปักปิ่นที่สามารถคุยเรื่องการสมรสได้ แต่ในหมู่ตระกูลขุนนางเก่าแก่ ไม่ว่าจะตระกูลใดก็ไม่มีทางสู่ขอบุตรีของฮ่องเต้เป็นภรรยา
ดังนั้น ไม่ว่านางจะมีท่าทีอย่างไร หนิงเซ่าชิงล้วนไม่มีทางแต่งนางเป็นภรรยา
ความจริงแล้ว นางจะไม่รู้เหตุผลเหล่านี้ได้อย่างไร เพียงแต่โอบกอดความหวังไปลองดูเท่านั้น
ทว่า ไม่ว่านางจะได้หนิงเซ่าชิงมาครองหรือไม่ ไม่ว่าใครจะเป็นฮูหยินของตระกูลหนิง นางล้วนไม่อนุญาตให้เป็นมั่วเชียนเสวี่ยผู้นี้…นังแพศยาที่ทำให้ตนเองอับอายขายขี้หน้าผู้นี้ได้เป็นเด็ดขาด
นางต้องวางแผนให้ดี…
หลังจากนั้นวันหนึ่งเกิดเรื่องขึ้นมากมาย
ภายในวังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ฮ่องเต้เสด็จไปที่ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาอย่างหาได้ยาก
ที่ยากยิ่งกว่าคืออยู่เสวยพระกระยาหารด้วย แต่ฮองเฮากลับขัดแย้งกับฮ่องเต้ในช่วงเสวย ทำให้น้ำแกงทั้งชามหกรดฉลองพระองค์ เสียมารยาทต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ฮ่องเต้ที่โกรธเกรี้ยวก็มีราชโองการประกาศกักบริเวณฮองเฮาในวังหลัง
องค์หญิงอวี้เหอเพิ่งจะกลับถึงตำหนักของตนเอง ยังไม่ทันจะได้พักหายใจ ก็ได้รับข่าวนี้ นางหยิบแส้ออกมาเฆี่ยนตีปี้หวนจนลมหายใจรวยรินด้วยตนเอง เสด็จแม่ถูกกักบริเวณ วันนี้นางก็กล่าวขอโทษสตรีนางหนึ่งต่อหน้าธารกำนัล ทั้งยังถูกให้คัดคัมภีร์สวดภาวนาต่อพระโพธิสัตว์อีก
ในวันหน้า นางจะต้องกระทำอย่างระมัดระวัง ถ้าหากว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เสด็จพ่อไม่มีทางให้อภัยโทษเด็ดขาด กลัวก็แต่คนในวังเหล่านั้นจะหันหางเสือตามทิศทางลม และไม่เห็นพวกนางสองแม่ลูกอยู่ในสายตาอีก
ไม่เพียงแต่ในวังเท่านั้นที่เกิดเรื่องขึ้น ในคุกของทางด้านเจ้าเมืองเมืองหลวงก็เกิดเรื่องขึ้นเช่นกัน
ตอนเย็นมีรายงานข่าวออกมา นักโทษที่เพิ่งจะจับเข้าไปในวันนี้ หนิงเซ่าชิงของตระกูลเซี่ยกับจ้าวเอ้อร์ต่างก็กล่าวโทษฝ่ายตรงข้ามกันในคุก และทะเลาะวิวาทกันขึ้นมา รอจนถึงตอนที่ผู้คุมมาพบและเข้าไปห้าม ทั้งสองคนก็ตายไปแล้วทั้งคู่
ภรรยาของจ้าวเอ้อร์ที่อยู่ในคุกทั้งตื่นตระหนกและตกใจ ถึงกับฆ่าตัวตายเพราะหวาดกลัวที่จะต้องโทษ
หลังจากหนิงเซ่าชิงส่งมั่วเชียนเสวี่ยกลับจวนกั๋วกงไปแล้ว ก็ไม่ได้เข้าไปในจวน เพียงแค่กำชับสองสามประโยค และกลับไปยังตระกูลหนิง โดยที่กระทั่งรถม้าก็ไม่ได้ลง
ถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันที่เขาได้ขึ้นครองตำแหน่งใหญ่ ต้องรับทุกอย่างของตระกูลหนิงเอาไว้ เรื่องที่ต้องจัดการย่อมมีมากมาย
แต่ว่าตอนที่เขาจากไปก็มอบกุ่ยซาให้นาง ให้ช่วยดูแลเรือนให้นาง
นี่คือการลงโทษที่รุนแรงที่สุดสำหรับกุ่ยซา
เดิมติดตามอยู่ข้างกายหัวหน้าตระกูลมีความสุขสบายมากเท่าใดก็เท่านั้น องครักษ์ข้างกายหัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่คนแรก เทียบเท่ากับตำแหน่งหัวหน้าราชองครักษ์ มีเกียรติมากเท่าใดก็มีมากเท่านั้น
ถึงขั้นที่เมื่อเทียบกับราชองครักษ์แล้วยังมีเกียรติและสบายยิ่งกว่า
ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ในวังราวกับกรงนกแห่งนั้น แต่หัวหน้าตระกูลกลับเดินทางไปมาจนทั่ว อีกทั้งยังไม่มีกฎระเบียบมากขนาดนั้นด้วย…
เจ้านายสามารถทุบตีเขา ลงโทษเขา เขาล้วนน้อมรับด้วยความยินดี แต่คราวนี้เขากลับติดยู่ในเรือนเพื่อปกป้องสตรีคนหนึ่ง เขาหดหู่ใจ
แต่ว่า กุ่ยซาไม่รู้สึกเสียใจในภายหลังเลยแม้แต่น้อย
เขาเพียงแค่กลัว!
เจ้านายเคยพูดเอาไว้ว่า หากคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วเส้นผมน้อยไปเพียงเส้นหนึ่ง จะให้เขาถลกหนังออกชั้นหนึ่ง
เจ้านายยังเคยพูดด้วยว่า ข่าวคราวเกี่ยวกับฮ่องเต้ ฮองเฮา องค์หญิง ฮูหยินเซี่ย ฮูหยินอันอะไรพวกนั้น ขอเพียงแค่เป็นคนที่คุณหนูใหญ่มั่วให้ความสนใจ ข่าวคราวความเคลื่อนไหวทั้งหมดล้วนต้องใช้ความไวสูงสุดให้เข้าหูคุณหนูใหญ่มั่วโดยไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าคุณหนูใหญ่มั่วเชียนเสวี่ยมีเรื่องอะไร ก็จำเป็นต้องรายงานเจ้านายอย่างเร็วที่สุดเช่นกัน
ถ้าหากว่าชักช้าจนพลาดไป จะผนึกวิทยายุทธ์ของเขา มัดเขาไว้และโยนไปเป็นเดือนเด่นในหอคณิกาชายส่วนตัวของเจ้านายหนึ่งเดือน
แน่นอนว่าเจ้านายยังคงเอาใจใส่เขา ส่งองครักษ์ลับมาให้เขากลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนแปดคนให้เขาสั่งการ
องครักษ์ลับสองคนที่ติดตามคุณหนูใหญ่มั่วก่อนหน้านี้ถูกส่งกลับไปแล้ว ได้ยินมาว่าส่งกลับไปยังหอลับ
คิดถึงจุดจบของสองคนนี้แล้ว เขาก็ขนลุกขึ้นมา เพียงแค่ปฏิบัติภารกิจภายนอกได้ไม่เรียบร้อย และถูกส่งกลับไปยังหอลับ ล้วนถูกปฏิบัติอย่างโหดเหี้ยมทารุณด้วยวิธีการของปีศาจ หลังจากนั้นก็จะส่งไปฝึกใหม่
เดิมมั่วเหนียงรออยู่นอกวัง เมื่อเห็นเจ้านายของตนขึ้นรถม้าของกูเหยียแล้ว ก็รีบกลับจวนไปจัดการให้เรียบร้อย
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยกลับถึงจวนกั๋วกง หลังจากที่หมัวมัวอาบน้ำชำระกายและแต่งตัวให้แล้ว หมัวมัวก็กดนางลงกับเตียงให้นางพักผ่อนให้สบาย
แม้นางจะเหนื่อยจริง แต่ในใจกลับไม่สงบ พลิกตัวกไปกมา นอนไม่หลับสักที
กุ่ยซ่ากอดกระบี่ยืนอยู่นอกเรือนเสวี่ยหว่านของจวนกั๋วกงด้วยสีหน้าเย็นชาราวกับเสาต้นหนึ่ง
หลังจากพักผ่อนบนตั่งครู่หนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน จึงลุกขึ้นตรงไปหากุ่ยซา ให้เขาพาตนไปเดินรอบจวนมหาองครักษ์สักรอบ หลังจากนั้นอารมณ์ก็ดีขึ้น เมื่อกลับมาก็ขึ้นเตียงนอนจนถึงตอนสายของวันนี้
ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น ภายในเมืองหลวงก็มีข่าวออกมาว่า นอกจากฮองเฮาจะถูกกักบริเวณ องค์หญิงถูกลงโทษให้คัดคัมภีร์สวดภาวนาต่อพระโพธิสัตว์ และนักโทษอีกหลายคนที่ใส่ร้ายบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอกจวนกั๋วกงล้วนตายหมดแล้ว ก็มีอีกสองเรื่องที่ทำให้ผู้คนขำขันในยามดื่มน้ำชาพักผ่อน
เมื่อคืนฮูหยินจวนมหาองครักษ์โดนอาถรรพ์กะทันหัน โวยวายจะถอดเสื้อผ้าตนเองตลอดทั้งคืนอย่างฟั่นเฟือน มหาองครักษ์อับอายเป็นอย่างมากหน้าตาของจวนป่นปี้เสียสิ้น