“หือ? ท่านพ่อข้าสิ้นชีพในสนามรบได้อย่างไร ต่อสู้กับผู้ใด ศัตรูคือผู้ใด” แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะรู้แต่แรกว่าสิ้นชีพในสนามรบ แต่กลับไม่ยินยอมที่จะเชื่อ
คนเช่นนั้น ได้ยินมาว่าวรยุทธ์โดดเด่นเหนือผู้คน มากความสามารถและไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ ทั้งยังสามารถเดินมาจนถึงขั้นนี้ได้ สติปัญญาย่อมไม่ด้อย จะสิ้นชีพในสนามรบอย่างไม่มีสาเหตุได้อย่างไร
ชังมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เงยหน้าขึ้นและตอบว่า “ท่านกั๋วกงสิ้นชีพในสนามรบจริงๆ แต่ทว่าสิ้นชีพในสนามรบเพียงลำพัง”
“เพราะเหตุใด” ไม่ใช่ว่ามีทหารหลายแสนนาย มีสองเมืองคอยปกป้อง มีทัพใหญ่อีกสองปีกที่มีทหารหลายแสนนายติดตามไปด้วยหรอกหรือ
“เป็นกับดัก!”
“เจ้าช่วยอธิบายให้ละเอียดหน่อย”
“ถึงคุณหนูใหญ่ไม่ถาม ชังมู่ก็จะอธิบาย ท่านกั๋วกง…ตายอย่างไม่เป็นธรรม…”
เมื่อได้ยินว่าเป็นแผนการ ได้ยินว่ากั๋วกงตายอย่างไม่เป็นธรรม หน่วยตามั่วเชียนเสวี่ยก็แดงระเรื่อ ตะคอกเสียงดังด้วยความสะเทือนใจว่า “พูดมา”
“เรื่องนี้พูดแล้วยาว ทิศตะวันออกเฉียงเหนือทั้งสองด้านของราชวงศ์เทียนฉีมีตระกูลซูตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ตลอดจึงค่อนข้างปลอดภัย ทว่าทางตะวันตกเฉียงใต้ แต่ก่อนล้วนมีท่านอ๋องสองสามคนที่เป็นเชื้อพระวงศ์เฝ้าระวัง และสิ้นชีพในสนามรบไม่หยุด นับตั้งแต่ที่ท่านกั๋วกงปรากฏตัวขึ้นก็ทำให้ชนเผ่าชางตกตะลึงและหวาดกลัว ท่านกั๋วกงปกป้องชายแดนตะวันตกเอาไว้ ชายแดนตะวันตกจึงสงบสุข แต่ว่าทางใต้นั้นยังคงมีสงครามไม่หยุดหย่อน วันนั้น มีแม่ทัพจากทางใต้นำรายงานผลการรบมาเชิญให้ท่านกั๋วกงเคลื่อนทัพ กล่าวว่าแคว้นหนานหลิงนำทัพมาโจมตี ต้านทานเอาไว้ไม่ไหวแล้ว และกำลังตกอยู่ในอันตราย คนของตระกูลซูสนใจเพียงแค่สองฝั่งที่ตนเองตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ จึงไม่ส่งทหารออกไปให้การสนับสนุน ฮ่องเต้สามารถสั่งการได้เพียงแค่ท่านกั๋วกง ดังนั้นท่านกั๋วกงจึงนำทหารออกไปทัพหนึ่ง เพื่อให้การสนับสนุนให้ยามค่ำคืนที่ดวงดาวสุกสกาว โดยไม่คิดเสียดายชีวิต ในกองทัพที่วุ่นวายนั้น ท่านโดดเด่นเหนือผู้คน เสี่ยงชีวิตเพื่อต้านทานศัตรู ท่านกั๋วกงคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า เป็นผู้รับผิดชอบหยุดการโจมตีของศัตรูในตอนท้าย ไปช่วยท่านอ๋องที่ถูกล้อมเอาไว้ฝ่าวงล้อมออกมา ให้เขาหนีไปก่อน ไปช่วยเหลือเหล่าทหารที่มาให้การสนับสนุน ทว่า หลังจากที่ท่านอ๋องผู้นั้นนำทหารฝ่าวงล้อมออกไปได้ ก็ลืมคำสาบานที่ได้กล่าวเอาไว้ในคราแรก ไม่เพียงแต่ไม่ไปช่วยเหลือเหล่าทหารที่มาให้การสนับสนุน แต่ยังตัดขาดเสบียงอาหารด้วย เบื้องหน้าท่านกั๋วกงมีทัพใหญ่ขวางอยู่ ด้านหลังมีทหารไล่ตามอยู่ จึงทำได้เพียงแค่ล่าถอยไปยังเมืองกู ยืนหยัดได้สิบวันสิบคืน รอจนพวกเรานำทัพสนับสนุนไปถึง ท่านกั๋วกงกลับสิ้นชีพเพราะใช้เรี่ยวแรงจนหมดสิ้น ฮูหยินเห็นท่านกั๋วกงสิ้นชีพ ก็ฆ่าตัวตายสังเวยแก่ความรักที่นั่น…”
นางคิดว่าท่านพ่อสิ้นชีพในสนามรบทางตะวันตกมาโดยตลอด ทั้งยังพะวงใจนึกว่าชนเผ่าชางทำร้ายท่านพ่อ
สุดท้ายกลับสิ้นชีพอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้
เห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นแผนการของเชื้อพระวงศ์ตระกูลกู เมื่อเห็นว่าท่านพ่อเป็นขวัญกำลังใจกองทัพและเป็นความหวังของชาวบ้าน กลัวว่าท่านพ่อจะมีใจคิดเป็นอื่น จึงอยากจะเอากำลังทหารทางชายแดนตะวันตกในมือของท่านมือกลับคืนไป
เพียงแต่เชื้อพระวงศ์ตระกูลกูกลับคิดไม่ถึงว่า แม้ว่าท่านพ่อจะสิ้นชีพ กองทัพทหารใต้บังคับบัญชาของเขากลับไม่ฟังราชสำนัก
แม้ว่าท่านพ่อจะไม่ได้สิ้นชีพจากแผนการของฮ่องเต้โดยตรง แต่กลับมีส่วนเกี่ยวข้อง
ท้องฟ้ามืดครึ้มจนน่าตกใจ อากาศเต็มไปด้วยความชื้น คล้ายกับว่าฝนจะตก…
มั่วเชียนเสวี่ยนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ฟัง อย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าสมมติฐานหนึ่งของหนิงเซ่าชิงในตอนนั้นจะแม่นขนาดนี้ ราวกับจำได้ว่า ดูเหมือนตอนนั้นเขาจะพูดว่า คนที่ต้องการให้ท่านพ่อตายมากที่สุดก็คือฮ่องเต้…
นางปฏิบัติตามกฎของยุคสมัยนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาหลักการของตนเองเอาไว้ ผู้อื่นไม่ทำร้ายนาง นางก็ไม่ทำร้ายผู้อื่น ผู้อื่นทำร้ายนาง นางก็จะเอาคืนให้สาสม
แต่มั่วเชียนเสวี่ยในตอนนี้กลับสุดที่จะอดรนทนได้
พวกคนเนรคุณคนกลุ่มหนึ่ง ตอนนี้ในฐานะหมากที่ถูกทิ้งของฮ่องเต้ ถูกส่งไปปราบปรามความชุลมุนวุ่นวายที่ทางตะวันตก ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ท่านพ่อนางเสี่ยงชีวิตไปช่วยเหลือ แต่ฮ่องเต้กลับปฏิบัติต่อลูกของเขาเช่นไร
ผู้ที่โหดเหี้ยมมากที่สุดคือเชื้อพระวงศ์นั้นไม่ผิดเลยจริงๆ ฮ่องเต้องค์ก่อนสามารถจัดการกับโอรสของตนเองได้เช่นนี้ พวกเขาเหล่าเชื้อพระวงศ์ยังสามารถปฏิบัติต่อคนในครอบครัวตนเองได้อย่างโหดร้ายเช่นนี้ นับประสาอะไรกับคนนอกเล่า
ตอนนั้นท่านพ่อมองผิดไปจริงๆ ต้องมาสิ้นชีพในสนามรบเพื่อช่วยชีวิตฮ่องเต้สุนัขที่รอดตายจากอันตรายมาได้ เพื่อปกป้องแว่นแคว้นแห่งนี้ไม่คำนึงถึงแม้แต่ชีวิตของตน
ความเคียดแค้นที่สุมอก ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยกัดฟันแน่น ในใจนางนั้นเห็นมั่วเทียนฟ่างเป็นบิดาในชาตินี้ไปแล้ว ส่วนเฟิงชิงอวี่เป็นมารดา แม้ว่าจะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่สายสัมพันธ์ทางสายเลือดนั้นได้แทรกซึมเข้าไปในกระดูกแล้ว
โลหิตในทรวงอกปะทุ แต่มั่วเชียนเสวี่ยยังคงครองสติเอาไว้…
“อ๋องผู้นั้นคือใคร” คำไม่กี่คำนี้แทบจะเอ่ยรอดไรฟันออกมา
ชังมู่เอ่ยด้วยสีหน้าเกลียดชัง “เจิ้นหนานอ๋อง” คำสามคำนี้ก็ถูกกัดฟันเอ่ยด้วยความแค้นเช่นกัน
เจิ้นหนานอ๋องคนปัจจุบันคือพระอนุชาที่มีบิดาคนเดียวกันทว่าต่างมารดากับฮ่องเต้ และเป็นพี่น้องเพียงคนเดียวที่ถูกปล่อยให้มีชีวิตอยู่หลังจากที่ฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์มังกร ทั้งยังเป็นผู้บัญชาการสูงสุดที่รักษาการณ์อยู่ทางใต้
คนที่ได้เป็นเจิ้นหนานอ๋องคนก่อนนั้น ได้ยินมาว่าเป็นอนุชาของฮ่องเต้รัชสมัยก่อน ตอนนี้หลังจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันครองราชย์ต่อแล้ว เสด็จลุงท่านนั้นก็สิ้นพระชนม์กะทันหัน ราชวงศ์ล้วนส่งต่อตำแหน่งให้กับผู้เป็นทายาท โอรสของเสด็จลุงก็ยังคงเป็นอ๋อง ทว่ากลายเป็นอ๋องที่ว่างงาน ไม่มีอำนาจอะไร
เรื่องพวกนี้ มั่วเชียนเสวี่ยล้วนรู้จากการที่ซูชีเอ่ยถึงขณะที่วิเคราะห์ทิศทางของกำลังทหารในใต้หล้าให้นางฟังในครั้งที่แล้ว เขาบอกว่าตอนนี้วรยุทธ์ของเจิ้นหนานอ๋องสูงส่งมาก ทั้งยังปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างโหดร้าย…
หากไม่ใช่เพราะยามที่ฮ่องเต้แย่งชิงบัลลังก์ เขายังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ไร้ซึ่งอำนาจที่จะแย่งชิง คาดว่าบัลลังก์คงจะไม่ได้เป็นของฮ่องเต้องค์นี้ แน่นอนว่า ถ้าหากไม่ใช่ว่าตอนนั้นอายุน้อยเกินไป ไม่ได้เข้าร่วมสงครามแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท ก็ไม่แน่ว่าวันนี้อาจจะเหลือเพียงแค่โครงกระดูกแห้งๆ กองหนึ่งนานแล้ว
ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทแล้ว ลมพัดใบไม้ที่อยู่กลางเรือน ต้นไม้ที่สั่นไหวอยู่กลางเรือนก่อให้เกิดแสงและเงาอันมืดมน คล้ายกับความลึกลับบางอย่างที่ไม่รู้มาก่อน
ตัดขาดเสบียงอาหาร? กองทัพที่ให้การสนับสนุนรอจนท่านพ่อต่อสู้จนเหลือทหารเพียงน้อยนิดแล้วถึงจะปรากฏตัวขึ้นมาสังหารศัตรู เช่นนี้ก็ไม่มีใครที่จะรู้ความจริงสักคน
นี่มันวางแผนมาแล้วอย่างเห็นได้ชัด!
มั่วเชียนเสวี่ยจัดการเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดภายในใจแล้ว ก็ถามด้วยตาแดงระเรื่อว่า “กั๋วกงสิ้นชีพในสนามรบที่เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ เหตุใดคนนอกล้วนนึกว่ากั๋วกงสิ้นชีพจากการทำสงครามกับชนเผ่าชางทางชายแดนตะวันตกกัน”
สีหน้าของชังมู่เปลี่ยนเป็นเย็นชาและจริงจังทันที นัยน์ตาคมราวกับใบมีดอาบย้อมไปด้วยประกายเย็นยะเยือก เจือไปด้วยกลิ่นอายโหดเหี้ยมอย่างน่าประหลาด
เขาสูดลมหายใจลึก เอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฮ่องเต้ไม่อยากแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ จึงทำได้เพียงแค่ปิดบังความจริงเอาไว้ เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน กลยุทธ์ในการใช้ทหารทำสงครามนั้นเป็นความลับสุดยอด ชาวบ้านธรรมดาจะรู้ได้อย่างไร”
ในใจของพวกเขา ท่านกั๋วกงเป็นราวกับเทพเจ้า เดิมเขานึกว่าจะไม่มีใครสามารถเอาชนะท่านกั๋วกงได้ พวกเขานึกว่าไม่มีใครกล้าแตะต้องท่าน
เมื่อได้รับข่าว เขาก็เคยลักลอบเข้าไปในจวนเจิ้นหนานอ๋อง แต่เจิ้นหนานอ๋องกลับกลิ้งกลอกเหลือเกิน ผู้ใต้บังคับบัญชาเต็มไปด้วยความสามารถมากมาย กระทั่งจะเข้าไปใกล้ ก็ยังทำไม่ได้
ไม่รอให้เขาได้ลงมือ ก็มีข่าวคุณหนูใหญ่ถูกลอบสังหาร
เรื่องเลวร้ายมักมาไม่หยุดหย่อน! ประกาศนิรโทษกรรมแก่พวกกบฏไม่สำเร็จ ฮ่องเต้ก็ยังส่งเจ้าเมืองใหม่สองคนไปรับตำแหน่งที่เมืองรั่วสุ่ยและเมืองเฮยมู่ในตอนนี้อีกครั้ง
ในเผ่ามีรายงานว่า เมื่อท่านกั๋วกงสิ้นชีพ ชนเผ่าชางที่อยู่บริเวณชายแดนก็มีท่าทีเตรียมก่อสงครามขึ้นมา…
ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงแค่ปล่อยวางความแค้น ในเวลาเดียวกันกับที่ส่งคนไปค้นหาคุณหนูใหญ่ อีกด้านหนึ่งก็นำคนกลับเฮยมู่ไปปกป้องคนในเผ่า
เมื่อนึกถึงความมั่นคงและหนักแน่นของคนในเผ่าเพื่อให้มีชีวิตรอดในยามสงครามอย่างยากลำบาก นึกถึงท่านกั๋วกงที่ตายอย่างไม่เป็นธรรม ชังมู่ที่พูดอยู่นั้น ก็มีหยาดน้ำตาอยู่ในนัยน์ตาสีดำนิลคู่นั้น
บุรุษไม่เสียน้ำตาง่ายๆ!
เขาแหงนหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตารินไหลลงมา และเอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “คนที่รู้เรื่องราวภายในย่อมมีไม่มาก คาดว่านอกจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ นอกจากพวกเราแม่ทัพชายแดนตะวันตก ก็ไม่มีใครรู้ว่าท่านกั๋วกงได้สิ้นชีพที่สงครามทางใต้ แต่ไม่ใช่สิ้นชีพในสงครามทางตะวันตก”
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศหนักอึ้งเช่นนี้ อวี่เสวียนก็ลุกขึ้นเอ่ยคำสาบาน “คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ รอถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ชาวรั่วสุ่ยและเฮยมู่ ทั้งสองเผ่าจะทวงคืนความยุติธรรมให้กับท่านกั๋วกงแน่นอน”