ตอนที่ 31 โชคมาเพราะรากช่วย
ในอนาคต เก้าเมืองฝั่งแม่น้ำแห่งนี้จะกลายเป็นเมืองส่งออก ทั้งซีอิ๊ว น้ำส้มสายชูและสินค้าอื่นๆ ของนางจะถูกกระจายไปยังเมืองเทียนฉีหรือแม้แต่ทั่วแว่นแคว้น หากไม่มีที่ทางของตัวเองบนท่าเรือจะได้อย่างไร
ที่ดินผืนนี้มีราคากว่าห้าร้อยตำลึง ช่วงระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีราคาจะเพิ่มสูงขึ้นและหากปล่อยผ่านไปสักสามถึงห้าปี ที่แห่งนี้จะกลายเป็นดินแดนสวรรค์ ไม่ว่าจะเสียสักกี่พันตำลึงก็ถือว่าคุ้มค่าหากได้มาไว้ในครอบครอง
แต่ภายในเจ็ดวัน! นางจะไปเอาเงินห้าร้อยตำลึงนี้มาจากไหน
ในคืนนั้น มั่วเชียนเสวี่ยนอนไม่หลับพลิกตัวไปมา จนกระตุ้นจุดสนใจของหนิงเซ่าชิง
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจ “ซื้อเถอะ!”
“ข้าก็อยากจะซื้อเหมือนกัน แต่เงินล่ะ” มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาอย่างกระวนกระวาย
หนิงเซ่าชิงพลันแสดงสีหน้าหนักอึ้ง ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่เขาต้องกังวลเรื่องเงินไม่กี่ร้อยตำลึง
แต่นี่คือสิ่งที่นางต้องการ ดังนั้น…
หนิงเซ่าชิงปลดสร้อยที่คอพลางหยิบหยกเม็ดหนึ่งออกมา เขาจ้องมันชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงดึงมือของมั่วเชียนเสวี่ยและวางมันลงบนฝ่ามือเล็กแล้วพูดขึ้น “เจ้าเอานี่ไป หยกนี้ถึงแม้จะไม่ใช่ของที่มีมูลค่ามากนัก แต่คงพอทำราคาได้กว่าพันแปดร้อยตำลึง”
อะไรกัน พันแปดร้อยตำลึงเชียวนะ! นี่ยังไม่เรียกว่าล้ำค่าได้อีกหรือ
เขาเป็นคุณชายของตระกูลใหญ่ที่แท้จริงไม่รู้ว่าฟืน ข้าว น้ำมันและเกลือมีราคาสูงลิ่วแค่ไหน
หยกสีเขียวสด ประกายแวววาวดูล้ำค่า ยามสัมผัสผิวอุ่นนั่น พลันรู้ทันทีว่านี่น่ะคือหยกน้ำงามโดยแท้!
มั่วเชียนเสวี่ยถือจี้หยกในมือ สายตาแพรวพราวพร่ำเพ้อในใจ ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความโลภ แต่เป็นความซาบซึ้งอันบริสุทธิ์ที่มาจากเบื้องลึก
ในภพปัจจุบัน แม้นางไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แม้ค่าใช้จ่ายรายเดือนจะนับว่าสาหัสสากรรจ์ แต่นางกลับไม่ใช่คนที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน พานพบสิ่งที่สวยงามและของล้ำค่าก็นับว่ามาก เฉกเช่นเดียวกับหยกเม็ดนี้ที่กำลังสะท้อนความงามในดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ย
ครั้นหนิงเซ่าชิงได้เห็นแววตาคู่นั้น แววตาจริงใจไร้ซึ่งความโลภ ยิ่งทำให้เขาแน่ใจว่าตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาวผู้นี้ต่างจากคนทั่วไป
……
วันรุ่งขึ้น มั่วเชียนเสวี่ยนั่งอยู่บนรถม้าของอาจ้าวที่กำลังมุ่งหน้าไปยังในตัวเมือง
อาจ้าวบังคับรถโดยไม่พูดอะไร มีเพียงเสียงเสี่ยวฉีจื่อเอ่ยดังเจื้อยแจ้วตลอดทาง จวบจนเมื่อรถม้าวิ่งเทียบข้างกำแพงเมือง เขาจึงเงียบลง ทำให้ทุกอย่างหวนคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
นางไม่ได้ตามพวกเขาไปที่ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวี ทันทีที่ถึงตัวเมือง มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวขอบคุณอาจ้าวและก้าวลงจากรถไป
เดินเตร็ดเตร่ไปตามถนน โรงรับจำนำอยู่แค่เอื้อม ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่เข้าไปเพราะความรู้สึกผิดที่เกาะกินในใจ
แม้หนิงเซ่าชิงตั้งใจมอบจี้หยกนี้ให้ แต่นัยน์ตาอาลัยอาวรณ์ของเขาทำให้นางรู้สึกเจ็บปวด
เขาไม่เคยยกย่องเงินและความลังเลใจในสายตาของเขานั้นไม่ใช่เพราะราคาอันสูงลิ่ว แต่เพราะมันมีความหมายพิเศษสำหรับเขามาก มิฉะนั้น หนิงเซ่าชิงคงไม่พกติดตัวไว้ ในเวลานี้มั่วเชียนเสวี่ยเดินไปมาอย่างไร้จุดหมาย ทุกครั้งที่ตัดสินใจและไปที่หน้าประตูบานนั้น กลับต้องผละตัวเองออกมาอย่างช่วยไม่ได้
อันที่จริง หากนางเดินทางไปที่ไป๋อวิ๋นจวีแล้วละทิ้งศักดิ์ศรีเพียงสักนิด ขอความเมตตาจากคุณชายเจ็ดก็ย่อมได้ แต่อีกใจหนึ่งคงไม่กล้าออกปากเช่นนั้นเพราะความละอายแก่ใจที่มีต่อหนิงเซ่าชิง
“พวกเจ้าแกะสลักงานชิ้นที่ใหญ่ไม่ได้เช่นนั้นหรือ ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยเช่นนี้ จะให้เจ้านายของข้านำไปเป็นของกำนัลได้อย่างไร!”
ในร้านข้าวของเครื่องใช้และเครื่องประดับนำสมัย…แผนกเครื่องเรือนไม้ มั่วเชียนเสวี่ยที่มองชื่นชมอยู่นานก็ได้เข้าไปในตัวร้าน แต่สถานการณ์ภายในร้านเวลานี้เห็นทีจะไม่ค่อยดีนัก มีคนที่ดูเหมือนเป็นบ่าวรับใช้กำลังโวยวายเสียงดังกับลูกจ้างในร้าน
ดูท่าไม่ดี มั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังเดินจากไป สายตาพลันเหลือบไปเห็นประติมากรรมแกะสลักไม้ขนาดสูงเท่าครึ่งลำตัวคนที่อยู่ตรงหน้า…ชิ้นงานแกะสลัก? งานแกะสลัก ชิ้นใหญ่? แสงแห่งความหวังผุดขึ้นในหัวของมั่วเชียนเสวี่ย นางต้องการคว้าโอกาสนี้ไว้ แต่ดันมีเวลาไม่มากพอ
“ใจเย็นก่อนพี่ชาย ความต้องการของเจ้านายพวกท่านนั้นสูงเกินไป สำหรับงานแกะสลักชิ้นมหึมาเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงร้านเล็กๆ ละแวกนี้ แม้แต่นายช่างใหญ่ในเมืองหลวงเองก็ไม่สามารถแกะสลักได้หรอก”
“อีกเจ็ดวันจวนถึงวันครบรอบวันเกิดของเจี่ยนเหล่าไท่จวิน[1] สามร้อยตำลึงเพื่อแลกกับผลงานแกะสลักชิ้นนี้เชียวนะ”
มั่วเชียนเสวี่ยพลันฉุกคิด สายตามองผลงานแกะสลักไม้ตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ดูเหมือนว่าผลงานชิ้นนี้จะทำขึ้นให้เป็นของขวัญแก่เด็กชายทั่วๆ ไป เนื่องจากวัสดุที่ใช้แกะสลักเป็นเพียงลำต้นของต้นไม้เท่านั้น ทำให้ผลงานที่ออกมาดูจำเจและแข็งทื่อไร้ชีวิตชีวา นอกจากนี้โทนสีที่ใช้ก็ยังดูไม่เข้ากัน เรียกได้ว่าเป็นผลงานที่ไร้ความงดงามและขาดจินตนาการในการสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก
หากวัสดุที่ใช้เป็นรากของต้นไม้ก็คงจะดี ทั้งให้ความรู้สึกพลิ้วไหวและทำให้ดูมีชีวิตมากกว่า
ใช่แล้ว! ราก! แกะสลักรากไม้!
ลำต้นที่ขรุขระ อาจทำให้ดูไร้ชีวิตชีวาและแผ่กว้างต่างจากรากไม้
ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้!
คุณปู่ที่ล่วงลับไปแล้วของนางก็เป็นช่างแกะสลักรากไม้เช่นเดียวกัน ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยยังเด็ก งานของท่านยังคงได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปสักปีหรือสองปี ภาพวาดจีนก็เริ่มเป็นที่นิยมขึ้นมาแทน ทำให้วิถีแห่งงานช่างฝีมือเหล่านี้สูญหายไป
ทั้งนี้ ในยุคปัจจุบันรากไม้ขนาดใหญ่นั้นมีให้เห็นน้อยลง แต่หาได้มากมายในยุคสมัยโบราณนี้ เมื่อวันก่อน ระหว่างทางไปท่าเรือ นางดันบังเอิญเห็นตอไม้ที่ถูกโค่นระหว่างการก่อสร้างท่าเรือ คำนวณดูแล้วคงมีจำนวนไม่น้อยกว่าสิบรากกองเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด
ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยเปล่งประกายอีกครั้ง นั่นก็หมายความว่านางไม่ต้องขายจี้หยกแล้ว!
โชคช่างเข้าข้างเสียจริง นี่แหละหนทางที่นางคู่ควร!
หลังจากชุลมุนพักใหญ่ คนที่โวยวายอยู่ก่อนหน้าพลันเดินพรวดพราดออกจากร้านไปอย่างโกรธเคือง มั่วเชียนเสวี่ยที่เห็นจึงเดินตามออกไป
ด้านนอกมีรถม้าคันหรูจอดอยู่ ประทุมหลังดูสง่า แม้มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีความรู้เกี่ยวกับรถม้ามาก่อน แต่ลักษณะพิเศษนั่น เห็นได้ชัดว่าเจ้าของรถม้าต้องไม่ใช่สามัญชนอย่างแน่นอน
บ่าวรับใช้ผู้นั้นเดินตรงไปที่รถม้าไม่พูดไม่จา เขากำลังเดินไปยังรถม้าแต่ไม่ทันจะถึงตัวรถ ร่างบางรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อเรียกชายผู้นั้น มั่วเชียนเสวี่ยยืนอยู่ข้างหลังเขาติดๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นเสียงดัง “พี่ชาย ข้าขอคุยอะไรด้วยสักครู่จะได้หรือไม่”
ชายผู้นั้นกำลังรายงานสถานการณ์กับคนในรถ ด้วยความที่ถูกมั่วเชียนเสวี่ยขัดจังหวะ เขาจึงหันกลับไปมองนางอย่างเหลืออด เมื่อพบว่าคนตรงหน้าเป็นหญิงสาว เขาจึงพยายามควบคุมสติอารมณ์ พลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เจ้าเป็นใคร”
“พี่ชาย ข้าคือคนที่พบท่านยืนมองผลงานประติมากรรมแกะสลักภายในร้านเมื่อครู่ ข้าสามารถแนะนำปรมาจารย์ด้านการแกะสลักให้กับท่านได้ ทักษะการแกะสลักของนางนั้นเป็นหนึ่งในใต้หล้า”
เสียงหนักแน่นของมั่วเชียนเสวี่ย ทำให้คนที่นั่งอยู่ในรถได้ยินแจ่มแจ้ง หารู้ไม่กลับยิ่งเป็นการเย้ยหยันชายที่อยู่ตรงหน้ากรายๆ
“ปรมาจารย์ที่ไหนกัน? ในเมืองนี้มีผู้ใดที่เก่งไปกว่าช่างใหญ่แห่งนี้ด้วยหรือ สาวน้อย อย่ามาล้อเล่นแถวนี้ เจ้านายข้ากำลังรีบต้องขออภัยด้วย” แม้สีหน้าของบ่าวรับใช้จะดูไม่เชื่อในสิ่งที่นางกล่าว แต่คำพูดของเขาที่ตอบกลับมานั้นยังคงสุภาพ บ่าวเป็นเช่นไร นายก็คงเป็นเช่นนั้น
“ในโลกใบนี้ บางสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง หากท่านไม่เปิดใจ ท่านก็คงเป็นเหมือนกบในกะลา” มั่วเชียนเสวี่ยตอบกลับ
บ่าวรับใช้ที่ได้ฟังเช่นนั้นพลันสำลัก ความขุ่นเคืองเมื่อสักครู่ดันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้า…นังคนอวดดี ”
“เกาหลั่ง อย่าหยาบคาย! สาวน้อย ช่วยบอกข้าที ท่านผู้นั้นอยู่ที่ใด หากธุระข้าสำเร็จ ข้าจะขอบคุณเจ้ามาก!” เสียงนั้นดังแทรกออกมาจากรถม้า ไพเราะและอ่อนโยนแต่ร้อนรน
“ท่านอาจารย์มักอยู่อย่างสันโดษและไม่ชอบถูกผู้ใดรบกวน บุญวาสนาทำให้ข้าได้รู้จักกับท่านอาจารย์ และท่านให้ข้าคอยรับคำสั่งแทน หากเป็นเรื่องของขวัญที่ได้พูดคุยกันในวันนี้ ในนามตัวแทนของท่านอาจารย์ ผลงานประณีตที่คุณชายเพิ่งสั่งมานั้น หากตีเป็นจำนวนเงินคงอยู่ที่ราวๆ ห้าร้อยตำลึงเห็นจะได้”
“ห้าร้อยตำลึง? เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ผลงานชิ้นเอกของช่างไม้ใหญ่ที่นี่มีมูลค่าเพียงสามร้อยตำลึง ทั้งวัสดุที่ใช้ยังเป็นไม้พะยูงหอมด้วย”
“ช่างไม้ใหญ่? ไม้แกะสลักทื่อนั่นยังมีมูลค่าถึงสามร้อยตำลึง ปรมาจารย์ที่ข้ารู้จักมีฝีมือดีกว่านัก ต่อให้เพิ่มราคาหนึ่งเท่าตัวยังนับว่าไม่มา แต่นี่ข้าคิดให้ท่านเพียงห้าร้อยตำลึง เมื่อเทียบกันแล้วก็นับว่าคุ้มค่ากว่ามากมิใช่หรือ” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ราคาที่ข้าเสนอนั้นถือว่าต่ำมากแล้ว!
[1] เหล่าไท่จวิน คือเป็นยศถาบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้ประทานให้แก่มารดาของญาติสนิทหรือมารดาของขุนนางที่มีผลงานเป็นที่น่าพอใจ